บทที่ 2 เทพบุตรหรือซาตาน 3
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหล่อน แล้วถามว่า “รู้ไหมว่างูอะไร”
“งูเขียว ต้องเป็นงูเขียวแน่ๆ มันกัดฉัน”
เบ็คชะงัก ก่อนเหลือบตาไปมองทางซ้ายมือเมื่อได้ยินเสียงแกรกกราก พบสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกำลังเลื้อยอยู่แถวนั้น จึงถามเสียงเบา
“ใช่งูตัวนั้นไหม”
หญิงสาวมองตามสายตาเขา ก่อนจะพยักหน้ารับ “ใช่ๆ ตัวนั้นแหละ”
เขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนตะคอกลั่น “บ้าเอ้ย ! นั่นแค่ลูกงูเขียวธรรมดาไม่ใช่เหรอไง ไม่ใช่งูเขียวหางไหม้ด้วย งูชนิดนี้มันไม่มีพิษ ร้องโวยวายอย่างกับถูกงูจงอางกัด ทำให้ผมพลอยตกใจไปด้วย !”
พิไลวรรณอ้าปากค้าง ก่อนตวาดแหวกลับ “แล้วเพราะใครล่ะที่ทำให้ฉันต้องมาล้มลุกคลุกคลานอยู่ในป่าแบบนี้”
“ผมให้รถหรูๆไปรับคุณถึงโรงพยาบาล แต่คุณอยากเปิดประตูรถออกมาวิ่งเล่นทำไมล่ะ”
“ฉันไม่ได้วิ่งเล่น แต่ฉันจะหนีคุณ”
“หนีผมเนี่ยนะ ?” เบ็คเงยหน้าขึ้นหัวเราะ ทั้งที่แววตายังวาววับอย่างเคืองขุ่น “โทษทีนะสาวน้อยที่ผมจำต้องบอกคุณว่า ต่อให้คุณหนีผมไปนอกประเทศ ผมก็ตามตัวคุณเจอ อย่าหวังว่าจะหนีรอดไปจากผมได้เลย”
“คนโรคจิต”
“เราก็จิตพอๆกันนั่นแหละ” เขาโต้กลับ ก่อนจะหันไปมองเบื้องหลังเมื่อได้ยินเสียงโวยวาย
“นั่นใครน่ะ คิดจะมาขโมยมะม่วงในสวนของฉันเหรอไง หนอย…อยากชิมลูกปืนเหรอไงวะเจ้าหัวขโมย”
“…!” พิไลวรรณตาค้างเมื่อเห็นชายวัยกลางคนเดินแบกปืนพาดบ่าตรงมาทางนี้ ด้วยความตกใจ หล่อนจึงรีบกระตุกมือคนที่อยู่ข้างๆทันที
“เขาหาว่าเราเป็นขโมยล่ะ คุณรีบไปอธิบายให้เขาฟังสิว่าเราไม่ใช่ขโมย”
“แต่ตอนนี้เราอยู่ในสวนของเขานะ แก้ตัวยังไงก็คงไม่ขึ้นหรอก แถมหน้าตาคนสวนยังบูดบึ้งยังกับไปกินรังแตนมา”
“แล้ว…แล้วเราควรทำยังไงดีคะ” หญิงสาวถามด้วยหน้าซีดๆ หล่อนช่างเคราะห์ร้ายเหลือเกิน ออกจากโรงพยาบาลมายังไม่ถึง 1ชั่วโมงก็โดนงูกัด แถมดีไม่ดีอาจจะไส้แตกเพราะถูกยิงอีกด้วย
“ถามได้นะ…” เบ็คส่ายหน้าไปมาช้าๆ ก่อนจะจับร่างบางขึ้นพาดบ่าแล้วออกแรงวิ่งทันที “ก็ต้องวิ่งหนีสิ จะอยู่ทำไมให้โง่ล่ะ”
พิไลวรรณหัวห้อยจนมึนเบลอ แต่ก็ไม่ยอมดิ้นรนเพราะกลัวถูกเขาเหวี่ยงทิ้งลงพื้น จึงได้แต่ทนเก็บกลั้นอาการคลื่นไส้เอาไว้ ก่อนจะหวีดร้องอย่างตระหนกเมื่อได้ยินเสียงกัมปนาทดังขึ้น
ปัง !
“เฮ้ย วิ่งหนีแบบนี้ ขโมยแน่ๆ อย่าให้เจออีกนะมึง จะยิงให้ไส้ทะลักเลย” เสียงตะโกนขู่ดังไล่หลัง แต่เบ็คไม่หันไปมอง เขาพาหล่อนมาจนพ้นสวนแห่งนั้น จากนั้นก็ตรงไปที่รถยนต์ราคาแพงสีดำซึ่งจอดอยู่ข้างทาง
ป่านนี้ชลคงกลับไปแล้ว เหลือแต่เขานี่แหละที่ต้องรับมือยัยฆาตกรตัวแสบจอมติ๊งต๊องนี่
เบ็คถอนหายใจเมื่อเปิดประตูรถแล้วยัดร่างบางให้เข้าไปนั่งฝั่งข้างคนขับ ก่อนที่เขาจะเดิมอ้อมรถไปนั่งอีกด้านหนึ่ง
“คุณนี่ร้ายเป็นบ้า พลอยทำให้ผมเดือดร้อนไปด้วย” ชายหนุ่มบ่นด้วยสีหน้าบึ้งตึง ขณะที่หล่อนค้อนขวับ
“แล้วใครใช้ให้คุณวิ่งตามฉันล่ะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ทางปล่อยคุณให้หนีพ้นไปได้แน่ๆ จำไว้พิม” เขาทำเสียงเข้ม ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อหล่อนเอียงหน้าเข้ามาใกล้
“เป็นอะไร”
“ฉัน…ฉันเวียนหัวจังคะ คงเป็นเพราะตื่นเต้นมากเกิน แถมถูกคุณแบกแบบนั้นอีก”
“งั้นก็ปรับเบาะแล้วนอนพักสักแป๊บสิ เผื่อจะดีขึ้น” เขาเอื้อมมือมาแตะบ่าเล็ก เพื่อจะดันให้หล่อนเอนตัวลงนอนพิงพนักเบาะ แต่ทว่ากลับเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเสียก่อน เมื่อหล่อนก้มหน้าลงแล้วอาเจียนใส่เขาชนิดไม่เกรงใจ
“อ้วก !”
“เฮ้ย !” เบ็คอุทานลั่น หน้าคมซีดเผือด กลิ่นเปรี้ยวของของเสียที่ออกจากปากหล่อนทำให้เขาแทบเป็นลม ได้แต่เค้นเสียงใส่อย่างไม่พอใจ
“ซวย…ซวยเป็นบ้า เพราะคุณคนเดียวที่ทำให้ผมซวยแบบนี้”
“อ้วก !” หล่อนตอบเขาด้วยการโก่งคออาเจียนอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง แล้วบอกทั้งๆที่ท้องไส้ยังปั่นป่วนไม่หาย “ขะ ขอโทษค่ะ ฉันจะไม่อ้วกรดคุณอีก จะโผล่หน้าออกไปนอกหน้าต่าง”
เบ็คชักสีหน้า บดกรามกรอด ก่อนว่าเสียงกระแทก
“ไม่ทันแล้วล่ะ…มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณไม่ต้องคิดเกรงใจผมหรอกพิม !”