บทที่ 2 เทพบุตรหรือซาตาน 2
“อย่าโวยวายสิครับคุณพิม” ชลปราม ก่อนใช้มือซ้ายจับแขนหล่อนไว้ ส่วนมือข้างที่เหลือก็ควานหาโทรศัพท์มือถือแล้วโทรรายงานเจ้านาย
“ฮัลโหล คุณเบ็ค ช่วยมาที่นี่ด่วนเลยได้ไหมครับ คุณพิมเธอดื้อไม่ยอมไปบ้านคุณ”
พิไลวรรณตาวาว หล่อนหวีดร้องเหมือนจงใจให้เสียงดังทะลุไปถึงหูของเบ็ค “กรี๊ดด ! ฉันไม่ยอมไปอยู่กับผู้ชายอันตรายอย่างเบ็คแน่ คนอย่างหมอนั่นเป็นปิศาจชัดๆ !”
ปลายสายพูดอะไรมา หญิงสาวไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือชลได้บอกสถานที่ให้เบ็ครู้ก่อนจะกดวางสายไป
“หยุดทำเสียงดังเสียทีเถอะครับ ผมแสบแก้วหูไปหมดแล้ว” ชายสูงวัยหย่อนมือถือลงกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะขับรถมาจอดแอบที่ข้างทาง
“ลุงก็ปล่อยฉันไปสิ นะคะ ได้โปรด…” หล่อนอ้อนวอนเสียงสั่น พยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของชล แต่ไม่เป็นผล …เห็นอายุมากจนผมสีขาวโพลนแบบนี้ แต่เรี่ยวแรงมีไม่น้อยเลยทีเดียว
“ขอโทษครับ ผมทำตามหน้าที่”
ด้วยความโมโห หญิงสาวจึงสวนกลับไปว่า “แล้วถ้าเขาสั่งให้ลุงไปตายล่ะ”
ชลหัวเราะเหมือนเห็นเป็นเรื่องตลก “คุณเบ็คคงไม่สั่งอะไรงี่เง่าแบบนั้นหรอกครับ เพราะเขาเป็นคนมีเหตุผลมากพอ”
“แล้วที่จะใช้ศาลเตี้ยกับฉัน เขามีเหตุผลตรงไหนคะ”
“แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรไปคิดร้ายกับคุณเอลิซ่าจนถึงขั้นผลักท่านตกบันไดล่ะครับ”
เจอสวนด้วยประโยคแบบนี้เข้าไป หญิงสาวก็ถึงกับอึ้ง แต่นาทีต่อมาหล่อนก็ตวัดเสียงสูงอย่างคนที่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตาที่คนแปลกหน้าหยิบยื่นให้
“แต่ตอนนี้ฉันจำอะไรไม่ได้ เรื่องจริงเท็จแค่ไหนก็ไม่รู้ ฉันไม่มีทางยอมถูกคนอย่างเบ็คเล่นงานง่ายๆแน่” และหล่อนก็อาศัยช่วงจังหวะที่ชลเผลอ รีบหันไปเปิดประตูรถแล้ววิ่งลงข้างทางอย่างรวดเร็ว โดยมีเสียงอุทานของชลดังลั่น
“เฮ้ย คุณพิม จะไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เรื่องอะไรจะยอมหยุดให้โง่ หญิงสาวฝืนพาร่างกายที่อ่อนเพลียของตนลัดเลาะเข้าไปในป่า…ต้นหญ้าสูงถึงต้นขาจนน่ากลัวว่าจะมีสัตว์เลื้อยคลานแฝงอยู่ แต่เพราะอยากหนีให้พ้นเรื่องบ้าๆทำให้หล่อนไม่คิดอะไรให้รอบคอบ สมองสั่งแต่เพียงว่า หล่อนต้องรีบไปให้ไกลที่สุด แม้จะเหนื่อยก็ต้องทน
หวังว่าคนแก่อย่างชลคงตามหล่อนมาไม่ทันนะ
วิ่งไปวิ่งมา หล่อนก็โผล่มาที่สวนผลไม้ของใครสักคนที่รกครึ้มไปด้วยไม้ใหญ่และต้นหญ้าที่ขึ้นบ้างประปราย ขณะที่ยืนคว้างอย่างงุนงงอยู่นั้น สองหูก็แว่วได้ยินเสียงสวบสาบมาทางด้านหลัง
หรือว่าชลตามหล่อนมาทันแล้ว !
ตากลมเบิกกว้าง รีบพาตัวเองไปหลบหลังพุ่มไม้ใหญ่แล้วปิดปากตัวเองไว้แน่น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ยังไงซะหล่อนก็ไม่มีวันทำเสียงดังให้ชลรู้แน่ๆว่าหล่อนหลบอยู่ตรงนี้
หญิงสาวนั่งใจเต้นระทึกตึกตัก ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเสียวแปลบบริเวณข้อเท้า ครั้นก้มลงมองก็เห็นงูขนาดเล็กตัวหนึ่งกำลังเลื้อยหนีไปอีกทาง
ตรงข้อเท้ามีรอยคมเขี้ยวสองจุด เลือดไหลซึมเล็กน้อย แต่ใจของหล่อนกลับตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม พลางแหกปากร้องลั่น
“กรี๊ด…ช่วยด้วย งู งูกัดฉัน”
เสียงของหล่อนทำให้ร่างสูงวิ่งมาที่เกิดเหตุได้ทันเวลาพอดี เห็นหญิงสาวนั่งจุมปุกบนพื้นดิน หน้าตามอมแมมด้วยคราบฝุ่น มือเล็กข้างหนึ่งจับเท้าตัวเองไว้ น้ำตาไหลอาบแก้ม
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงคุ้นเคยดังจากด้านหลัง หญิงสาวจึงหันไปมองก่อนจะขมวดคิ้วอย่างแปลกใจที่พบว่าเป็นเบ็ค ไม่ใช่ชลอย่างที่หล่อนคิด
“งู…ฉันโดนงูกัด ฮือๆ ช่วยฉันที ฉันยังไม่อยากตาย” เสียงร่ำไห้มาพร้อมเสียงเล่าแบบกระท่อนกระแท่น ขณะที่เบ็คปราดเข้ามานั่งคุกเข่าใกล้ๆ ก้มดูบาดแผลแล้วฉีกชายเสื้อตัวเองมาผูกรัดบริเวณเหนือแผลให้หล่อนอย่างรวดเร็ว
ไม่มัวถามอะไรอีก เขาก้มลงดูดพิษออกจากปากแผลอย่างไม่นึกรังเกียจข้อเท้าสกปรกเลอะฝุ่นดินของหล่อนเลยแม้แต่น้อย
วูบหนึ่งที่พิไลวรรณใจกระตุกวูบ ตากลมหลุบลงมองเส้นผมตัดสั้นสีดำสนิทของเขา…แม้แววตาจะร้ายกาจ แต่เขาก็ช่วยเหลือหล่อนหลายครั้ง
ครั้งแรกก็ช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้ ส่วนครั้งที่สองก็ช่วยหล่อนจากการถูกงูกัด