บทที่ 2 เทพบุตรหรือซาตาน 1
บทที่ 2
เทพบุตรหรือซาตาน ?
พิไลวรรณใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล หล่อนพักฟื้นร่างกายที่บอบช้ำภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ เป็นเวลา 15วันแล้วที่หล่อนได้เพียงนั่งๆนอนๆอยู่บนเตียงสีขาวแคบๆ
ในทุกๆวันหล่อนจะถูกพาไปทำกายภาพบำบัดจนสามารถเดินเหินได้อย่างเป็นปกติอีกครั้ง อาจเป็นเพราะได้รับอุบัติเหตุไม่รุนแรงมากนัก หล่อนจึงฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว มีเพียงแผลบริเวณข้างขมับที่ยังคงเจ็บแปลบในบางครั้ง
และมักจะปวดหัวอย่างรุนแรงทุกครั้งที่พยายามนึกอะไรให้ออก…
ไม่ว่าจะเพียรนึกสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือความว่างเปล่า
ความทรงจำของหล่อนไม่กลับคืนมา…
และนั่นก็ทำให้หล่อนเกิดอาการกังวลมากยิ่งขึ้น แม้ว่านายแพทย์สมชายจะให้กำลังใจหล่อนก็ตาม
“อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยครับ ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา ร่างกายคุณดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปก็เหลือแค่ความทรงจำที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่หมอเชื่อว่าสักวันคุณจะหายดีอย่างแน่นอน”
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พิไลวรรณจมอยู่กับความทุกข์…เป็นใครบ้างล่ะจะไม่เครียดเมื่อในวันหนึ่งต้องลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมความทรงจำที่ขาดหาย หนำซ้ำยังถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรเลือดเย็น
เบ็ค คาร์ชิงตัน…ชายหนุ่มหน้าตาดี เสียงเซ็กซี่น่าฟัง แต่แววตาดุดันเปี่ยมด้วยไฟแค้น
แต่ก็นับว่าเขามีน้ำใจพอสมควร อย่างน้อยก็ยังออกค่ารักษาพยาบาลให้หล่อน ซ้ำยังให้อยู่ห้องพักพิเศษที่ต้องจ่ายค่าห้องคืนละหลายร้อยอีกด้วย
หญิงสาวถอนหายใจเฮือก…ไม่สิ หล่อนไม่ควรชมว่าเขาใจดี เพราะเขาคงรอวันแก้แค้นหล่อนอยู่ หากหล่อนหายดีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคงไม่พ้นต้องเสียน้ำตาทุกวันเป็นแน่
จะว่าไปหล่อนก็ไม่ได้เห็นหน้าเบ็คมาครึ่งเดือนแล้ว นับจากวันที่หล่อนฟื้นคืนสติ เขาก็หายหน้าหายตาไปเลย ราวกับไม่มีตัวตน…
วันต่อมา…พิไลวรรณได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ คนที่มารับหล่อนคือชายสูงวัย ใบหน้ายับย่นบ่งชัดถึงอายุที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาค่อนชีวิต ทว่าดวงตายังคงแจ่มใสไม่ต่างจากหนุ่มๆ เขาแนะนำตัวว่าชื่อ‘ชล’
“ใครให้ลุงชลมารับฉันจ๊ะ” หญิงสาวออกปากถาม และอีกฝ่ายก็ตอบอย่างนอบน้อม
“คนที่คุณสนิทครับ”
“คนที่ฉันสนิท ?” คิ้วเรียวขมวดมุ่น เอ…หรือว่าจะเป็นญาติคนใดคนหนึ่งของหล่อนกัน
แม้จะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า แต่เมื่อมองไปรอบตัวก็รู้ในทันทีว่าตนไม่มีที่พึ่ง ไม่รู้จักใคร ไม่มีอาชีพ และ…ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอนาคตจะทำอย่างไรต่อไป หล่อนจึงจำต้องนั่งรถยนต์คันสีขาวที่มีลุงชลเป็นผู้ขับ
เส้นทางที่ไม่คุ้นเคยปรากฏชัดแก่สายตา ชวนให้อดหวาดระแวงไม่ได้
“นี่ลุงชลจะพาฉันไปที่ไหนเหรอจ๊ะ”
“…” ไม่มีคำตอบ มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่ส่งมาให้
“ช่วยบอกฉันทีเถอะค่ะ ฉันกลัว…” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ และนั่นก็ทำให้ชายชราใจอ่อนจนยอมไขข้อข้องใจให้หล่อนแต่โดยดี
“พาคุณไปบ้านคุณเบ็คครับ”
“เบ็ค คาร์ชิงตัน…” ตากลมโตเบิกกว้าง ภาพผู้ชายหน้าหล่อเหลาผุดขึ้นมาในมโนนึก พร้อมคำพูดประโยคหนึ่งที่ก้องในหัว
“เป็นทุกอย่าง ทั้งคนรับใช้ เมียเก็บ คนสวน แต่สิ่งที่คุณจะไม่มีทางได้เป็นคือ…การได้เป็นคนสำคัญของผม จำไว้”
ไม่… หล่อนจะไปบ้านเขาไม่ได้ หล่อนต้องหนี !
ความกลัวสั่งให้พิไลวรรณตะโกนเสียงดัง “จอดรถ…ฉันบอกให้จอดรถไงลุงชล”
“ขอโทษครับ คนที่มีสิทธิ์สั่งผมได้ คือคุณเบ็คซึ่งเป็นคนจ้างเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“จอด…จอดเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่มีทางไปที่บ้านตานั่นแน่ๆ” หญิงสาวโวยวาย เล็บแหลมจิกที่ท่อนแขนของชายขับรถเพื่อหวังให้เขาทำตามความต้องการ ทว่าชลกลับถอนหายใจแล้วตั้งหน้าตั้งตาบังคับพวงมาลัยต่อไป โดยไม่สนใจหล่อนเลยแม้แต่น้อย
พิไลวรรณหันซ้ายเหลียวขวาล่อกแล่ก ก่อนตัดสินใจยอมเสี่ยงด้วยการหันไปเปิดประตูฝั่งตนเอง เพื่อเตรียมกระโดดหนี
ถึงอาจจะตกข้างทางจนเจ็บตัว ก็ยังดีกว่าไปเจอหน้าคนอย่างเบ็ค คาร์ชิงตัน
เอี๊ยดดดดด…
ล้อรถบดเบียดพื้นผิวถนนส่งเสียงดังแสบแก้วหู พร้อมตัวรถเก๋งที่หยุดการเคลื่อนที่อย่างกะทันหัน
โชคดีที่ถนนสายนี้ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา ไม่เช่นนั้นคงเกิดอันตรายขึ้นแน่ๆ