บทที่ 1 เพียงเสียงกระซิบจากอสูร 3
หญิงสาวเม้มปากแน่น ยังไม่หายจากอาการเหนื่อย หล่อนหลับตาเพื่อทบทวนความจำ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาช้าๆเมื่อหยาดน้ำทิ้งตัวหล่นจากหางตา
“ฉัน…จำอะไรไม่ได้เลย”
“นั่นไง…สุดท้ายคุณก็อธิบายไม่ได้ เพราะสิ่งที่ผมพูดไปมันคือความจริงทุกอย่างไงล่ะพิม”
“ไม่…” ยังแก้ตัวไม่ทันจบประโยค ประตูห้องพักพิเศษก็ถูกเปิดออกก่อนที่ร่างในชุดขาวของนายแพทย์หนุ่มก็ก้าวเข้ามาพร้อมนางพยาบาลที่ถือประวัติของพิไลวรรณเข้ามาด้วย
“รู้สึกตัวแล้วหรือครับ คุณหมดสติไปนานมาก มิสเตอร์คาร์ชิงตันเป็นห่วงคุณ เขามาดูอาการของคุณบ่อยๆ” หมอหนุ่มพูดขึ้นด้วยสีหน้าใจดีหวังให้คนไข้หายประหม่า ก่อนตรวจดูแผลที่ข้างขมับของหญิงสาวอย่างละเอียด
“ห่วงงั้นเหรอคะ” พิไลวรรณเหลือบตามองคนที่ถอยออกไปยืนห่างๆ แว่บหนึ่งที่ได้สบนัยน์ตาสีเข้มคู่นั้น ก่อนที่หล่อนจะหันหน้าไปอีกทาง “ฉันว่าเขาคงแค่มาคุมมากกว่าจะห่วงค่ะ”
ตอนที่หล่อนไม่ได้สติก็เคยคิดว่าเจ้าของเสียงคงเป็นผู้ชายใจดีที่เป็นห่วงหล่อนอย่างเหลือแสน ทว่าในความเป็นจริงแล้ว…เขาแตกต่างจากสิ่งที่หล่อนคิดไว้เสียลิบลับ
คนไร้หัวใจ อยู่ดีๆมากล่าวหาว่าหล่อนไปฆ่าแม่ของเขา สิ่งที่เขาว่ามาต้องเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดแน่ๆ
“ไข้ก็ไม่มี แผลก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร แต่ต้องหมั่นทำแผลทุกวัน ขาของคุณก็ยังเดินได้ไม่ดีนัก คงต้องทำกายภาพบำบัด พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกสักพักดีกว่านะครับ จะได้มั่นใจว่าปลอดภัยแล้วจริงๆ”
ฟังหมอสมชายพูดแบบนี้แล้ว เบ็คที่ยืนเงียบมานานก็ขัดขึ้นทันที
“บอกหมอเขาไปสิพิมว่าคุณความจำเสื่อม” ประโยคนี้เต็มไปด้วยความขบขันระคนเหยียดหยามจนหญิงสาวถึงกับสะอึก ขณะที่สมชายหันมามองหน้า
“คุณความจำเสื่อมหรือครับ”
“มีทางเป็นไปได้ไหมครับหมอ” เบ็คถาม
“มีครับ ถึงอุบัติเหตุครั้งนี้จะไม่ร้ายแรงนักเพราะคนขับเบรกได้ทัน แต่ศีรษะของคุณพิไลวรรณก็กระแทกก้อนหินข้างทางอย่างแรง มีทางเป็นไปได้ว่าความจำอาจจะหายไป”
เบ็คขยับตัวเล็กน้อย ก่อนถามต่ออย่างกระชั้นชิด
“จะเป็นแบบนี้ไปนานแค่ไหนครับหมอ”
“อาจแค่ชั่วคราว หรือไม่ก็ถาวรครับ แต่ยังไงตอนเย็นๆหมอจะให้คุณพิไลวรรณเอ็กซเรย์สมองอีกครั้ง ตอนนี้ให้คนไข้พักผ่อนก่อนดีกว่าครับ แล้วตอนกลางวันพยาบาลจะนำอาหารและยามาให้ หมอขอตัวก่อนนะ” สมชายออกจากห้องไปแล้ว ตามด้วยพยาบาลสาวที่จดบันทึกลงในประวัติคนไข้แล้ววิ่งตามหมอหนุ่มออกไป เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เบ็คก็ถอนหายใจ
“คุณนี่โชคดีเป็นบ้า หากความจำเสื่อมขึ้นมาจริงๆ ตำรวจจะทำอะไรคุณได้”
“ตำรวจ ?” พิไลวรรณใจหายวาบ หมายความว่าเขาจะจับหล่อนส่งตำรวจอย่างนั้นหรือ ไม่…หล่อนยังสาวอยู่เลย จะให้ไปกินข้าวแดงในคุก ขาดอิสระ หล่อนคงยอมไม่ได้ “คุณจะแจ้งความจับฉันเหรอคะ”
ชายหนุ่มก้าวเท้ามายืนชิดริมขอบเตียง ก่อนจับปลายคางหล่อนยึดไว้แน่น
“ตอนแรกก็คิดแบบนั้น แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจ”
หญิงสาวผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะตาเหลือกค้างเมื่อได้ฟังประโยคถัดมาจากปากเขา
“อยู่ในคุกก็จะสบายเกินไป มีที่ให้อยู่ มีข้าวฟรีๆให้กิน มันไม่สาสมกับสิ่งที่คุณทำให้ผมเสียใจหรอก”
“คุณจะฆ่าฉันเหรอไงคะ อย่ามาเล่นศาลเตี้ยกับฉันนะ ถ้าจะฆ่าฉันล่ะก็…ช่วยส่งฉันไปให้ตำรวจเถอะค่ะ” พิไลวรรณพยายามหันหน้าหนีปลายนิ้วแข็งแรงนั่น แต่เขากลับไม่ยอมให้หล่อนทำตามอำเภอใจได้ เพราะเขายึดไว้แน่นจนหล่อนเจ็บ
“เสียดายหน้าสวยๆน่ารักๆของคุณ จะฆ่าทิ้งก็ดูโหดร้ายเกินไปหน่อย คุณต้องอยู่ในสายตาของผมจนกว่ามี๊จะหายดี”
“ให้ฉันอยู่ในฐานะอะไร” ถามอย่างหวาดหวั่น และเขาก็ตอบเสียงเรียบ
“เป็นทุกอย่าง ทั้งคนรับใช้ เมียเก็บ คนสวน แต่สิ่งที่คุณจะไม่มีทางได้เป็นคือ…การได้เป็นคนสำคัญของผม จำไว้” เขาปล่อยมือออกจากคางหล่อน ก่อนจะหันหลังเตรียมเดินออกจากห้อง โดยมีเสียงแหลมๆหวีดร้องไล่หลัง
“ไอ้บ้า…ฉันไม่ใช่เชลยของคุณนะ คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับฉัน”
เบ็คหันกลับมามองหล่อนเล็กน้อยแล้วยิ้มหยัน
“ฆาตกรอย่างคุณมีสิทธิ์ต่อรองด้วยเหรอพิม !”
จากนั้นก็ออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูลงไว้เหมือนเก่า ทิ้งให้พิไลวรรณนอนนิ่ง ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆก่อนจะไหลลงมาอีกระลอกเมื่อรู้แน่ชัดถึงอนาคตเบื้องหน้า
แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตในคุกตะราง แต่กลับถูกจองจำในคุกล่องหนที่มองไม่เห็น หล่อนไม่มีทางหนีได้เลยหรือ…
แต่สิ่งที่อึดอัดอยู่ในใจคงเป็นความสงสัยที่ว่า…หล่อนอำมหิตถึงขั้นจะฆ่าคนได้จริงๆหรือ
คุณพระช่วย หากนั่นเป็นความจริง หล่อนก็ไม่อยากให้ความทรงจำกลับมาอีกเลย หากเรื่องราวในอดีตหล่อนจะเคยทำผิดอย่างมหันต์เช่นนั้น
หล่อนควรจะทำอย่างไรต่อไปดีกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะผู้ชายที่ชื่อเบ็ค คาร์ชิงตัน เขาไม่ต่างจากซาตานร้ายจอมบงการที่หล่อนไม่อยากเห็นหน้าอีกต่อไป !