กระชากรักคุณชายเย็นชา 2
เช้าวันรุ่งขึ้น
ก๊อกๆ ๆ
“หนูดี ตื่นรึยังลูก ออกมาหาม๊าหน่อย ม๊ามีเรื่องจะคุยด้วย”
“อืม......” ใครมาเคาะประตูแต่เช้านะ ฉันบิดขี้เกียจไปมาอยู่บนที่นอน เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบสว่าง
“หนูดี ตื่นๆ ม๊ามีเรื่องจะคุยด้วย”เสียงม๊านี่นา
“คร้าๆ ๆ” ฉันพูดตอบรับออกไปแล้วสะลึมสะลือลุกขึ้นไปเปิดประตู
“พึ่งตื่นเหรอลูก”
“ใช่ค่ะ ม๊ามีอะไรรึเปล่าคะ” ฉันถามออกไปด้วยท่าทางง่วงๆ พร้อมกับเกาหัวไปด้วย
“ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงไปหาม๊าข้างล่างม๊ามีเรื่องจะคุยด้วย”
“ได้ค่ะ รอแป๊บนะคะ” ม๊าฉันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ฉันเลยตกปากรับคำออกไป แล้วรีบเดินเข้าไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็เดินลงมาด้านล่างก็เห็นป๊ากับม๊านั่งอยู่
“มาแล้วเหรอ อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนไปเที่ยวมา” เสียงป๊าเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นฉันก้าวลงมาจากบันได
“แหมป๊าขา นิดหน่อยเองหนูดีบอกม๊าแล้วนะ” ฉันเข้าไปกอดป๊าด้วยท่าทางอ้อนๆ เพราะกลัวท่านดุ แต่จริงๆ ท่านก็ไม่ดุฉันหรอกออกจะตามใจด้วยซ้ำ เพียงแต่ท่านบอกว่าไปเที่ยวที่แบบนี้ต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าปล่อยตัวให้มาก
“เอาล่ะม๊าจะเข้าเรื่องที่จะพูดกับลูกเลยแล้วกัน” ม๊าฉันพูดด้วยท่าทางจริงจัง
“ค่ะ ม๊ามีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“คือว่า ม๊ากับป๊าจะต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามเดือน” ม๊าพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“อ้าว ทำไมล่ะคะ หนูดีพึ่งกลับมาเองนะ แทนที่จะได้อยู่กับป๊ากับม๊าให้หายคิดถึงนี่จะไปอีกแล้วเหรอคะ” ฉันถามออกไปด้วยความน้อยใจ ปกติฉันก็ไม่ได้อยู่กับท่านอยู่แล้ว พอจะอยู่ด้วยกัน ท่านกลับจะมาหนีฉันไปอีกแล้ว
ครอบครัวของฉันทำธุรกิจหลายอย่างและหลายประเทศ ป๊ากับม๊าเลยต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆ ไม่ค่อยอยู่กับที่
“อย่าน้อยใจเลยน่า ม๊าสัญญาว่าจะโทรหาทุกวัน แต่ม๊าเป็นห่วงเรา เพราะมันใกล้จะเปิดเทอมแล้ว บ้านเรายังอยู่ไกลมหาลัยที่หนูดีเรียนอีก ม๊าเลยอยากให้หนูดีไปอยู่กับคนรู้จัก ซึ่งเขามีคอนโดอยู่ใกล้มหาลัย” ม๊าพูดออกมายาวเหยียด
“ใครคะคนรู้จัก” ฉันถามออกไปด้วยความอยากรู้ ใครคือคนที่ม๊าจะให้ฉันไปอยู่ด้วย เพราะฉันคิดไม่ออกเลยว่าคนที่ม๊ารู้จักเป็นใคร
“เอ่อ......” ม๊ามีท่าทีอึกอัก
“บอกลูกไปเถอะคุณสักวันลูกก็ต้องรู้” ป๊านี่ก็อีกคนเหมือนมีเรื่องอะไรปิดบังฉันอยู่
“ป๊ากับม๊ามีเรื่องอะไรปิดบังหนูดีรึเปล่าคะ” ฉันถามออกไปด้วยความสงสัย
“คือคนที่เราจะให้ลูกไปอยู่ด้วยน่ะเป็นคู่หมั้นของลูกจ๊ะ” ม๊าฉันพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
คู่หมั้นนี่ฉันไปมีคู่หมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันอ้าปากค้างตกใจทันทีที่ได้ยิน
“ม๊าว่าอะไรนะคะ คู่หมั้นเหรอ หนูดีไปมีคู่หมั้นตั้งแต่ตอนไหน” ฉันร้องถามด้วยความตกใจ
“ก็ตั้งแต่เด็กๆ”
“ม๊านี่มันยุคไหนกันแล้วคะ หนูดีไม่อยากจะเชื่อว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่” ฉันโว้ยวายออกไปหลังที่ม๊าพูดแบบนั้น นี่มันหมดยุคคลุมถุงชนแล้วนะ
“โถ่ หนูดีลูก ม๊ารับปากเขาไว้แล้วนี่ลูก ถือซะว่าทำเพื่อม๊าหน่อยนะ ม๊าไม่อยากเสียเพื่อน ถือว่าไปศึกษาดูใจกัน ถ้ามันไม่โอเคหนูดีไม่รักเขาหรือทั้งสองคนไม่ได้รักกัน ลูกค่อยมาว่ากันอีกที ม๊าจะไม่ขัดใจลูกเลยนะ” ม๊าใช่น้ำเสียงออดอ้อนกับฉัน แล้วฉันจะไปไหนรอด ศึกษาดูใจกันแล้วมันจำเป็นไหมที่ต้องไปอยู่ด้วยกัน
“แล้วม๊ากับป๊าไม่เป็นห่วงหนูดีหรือคะที่ให้หนูดีไปอยู่กับผู้ชายแบบนั้น” ท่านทั้งสองไม่ห่วงฉันเลยรึไงนะ
“เป็นห่วงมันก็เป็นห่วงอยู่หรอก แต่ทำไงได้เรารับปากทางนั้นไปแล้วด้วย และม๊าเชื่อว่าหนูดีของม๊าดูแลตัวเองได้ และม๊าเชื่อในการตัดสินใจของลูก” ผู้ชายคนนั้นไม่มีปัญญาหาเมียรึไงนะถึงยอมให้ผู้ใหญ่จับคู่ ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“แล้วเขาไม่มีแฟนเหรอคะ” ฉันถามออกไปอย่างที่ใจคิด
“ไม่มีจ๊ะ” ฉันทำหน้าเศร้าทันที แล้วเรื่องคุณชายเย็นชาของฉันล่ะ ฉันยังไม่เริ่มเลยต้องหยุดแล้วเหรอ โอ๊ย ฝันสลาย
“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าเราสองคนไม่ได้รักกันม๊าต้องยกเลิกเรื่องหมั้นทันทีเลยนะคะ” ฉันยอมรับเงื่อนไขของม๊า เรื่องแบบนี้ฉันไม่ยอมให้มาบังคับกันหรอก ตอนนี้ฉันพึ่งจะเจอคนถูกใจแต่ต้องมาหมั้นกับใครก็ไม่รู้ ทำไมชีวิตฉันมันช่างอาภัพแบบนี้
“โอเคจ๊ะ”
“แล้วหนูดีต้องย้ายไปเมื่อไหร่ค่ะ”
“พรุ่งนี้เลยจ้ะ เพราะป๊ากับม๊าต้องเดินทางพรุ่งนี้และอีกอย่างอาทิตย์หน้าหนูดีก็เปิดเทอมแล้วด้วย” พรุ่งนี้เลยเหรอไวจัง
“ค่ะ” ฉันตอบออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา
ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับฉัน
“นี่พวกแก ฉันให้พวกแกมาช่วยขนของนะไม่ได้ให้มาเม้ามอย” ตอนนี้ฉันกำลังขนของเพื่อที่จะย้ายไปอยู่กับว่าที่คู่หมั้น ม๊ากับป๊าใจร้ายกับฉันมากเลยอ่ะ แม้แต่หน้าคู่หมั้นก็ไม่ให้เห็น ให้แค่ที่อยู่ ชื่อ แล้วก็เบอร์ห้องแค่นั้นเอง ม๊าบอกว่าทางนั้นเขารู้แล้วว่าฉันจะไปอยู่ด้วย
เริ่ดค่ะ ง่ายๆ เนาะ ฉันจะต้องคุยกับหมอนั่นให้รู้เรื่องบอกว่าฉันไม่อยากหมั้นเพื่อที่จะคิดแผนการจีบคุณชายต่อ และตอนนี้เพื่อนตัวดีของฉันที่ฉันชวนมันมาช่วยขนของแต่พวกมันกับเม้ากันอย่างเดียว
“คุณอภิเดชค่ะ ฉันให้พวกคุณมาช่วยขนของนะคะ ไม่ใช่มาเม้ามอยค่ะ” ฉันพูดออกไปด้วยเสียงติดรำคาญ
“อ๊าย ยัยหนูผี ฉันบอกว่าอย่าเรียกชื่อจริงฉันในที่สาธารณะ” เมื่อฉันเรียกชื่อจริงมันก็แว๊ดๆ ใส่ฉันทันที
“พวกแกก็เหมือนกัน” แต่ฉันไม่สนใจมันหันไปพูดกับยัยสองแสบต่อ
“แกก็ ป่ะๆ ๆ ขึ้นไปกัน” พวกมันเปลี่ยนเรื่องชวนฉันขึ้นคอนโดสูงที่อยู่ตรงหน้า ใช่ค่ะตอนนี้พวกเราได้มาอยู่หน้าคอนโดสุดหรูของว่าที่คู่หมั้นฉันเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ต้องอ่ะ พวกแกกลับไปได้แล้ว” ฉันไล่พวกมันกลับ
“ทำไมอ่ะ”
“ก็ม๊าน่ะสิบอกว่า ว่าที่คู่หมั้นฉันไม่ชอบให้ใครวุ่นวาย ฉันเลยกลัวว่าถ้าให้พวกแกขึ้นไปมันจะเป็นเรื่อง เอาเป็นว่าฉันขึ้นไปเองถ้ามีอะไรเดี๋ยวจะไลน์บอก” ฉันร่ายออกไปยาวเหยียดเพื่อไม่ให้พวกมันไม่ถามมาก
“แล้วมันไว้ใจได้เหรอวะ” ยัยอินพูดขึ้นด้วยสีหน้าหวาดๆ ฉันก็กลัวอยู่เหมือน มาอยู่กับคนที่ไม่รู้จักไม่เคยแม้แต่เห็นหน้า ไม่รู้จักนิสัยใจคอกันมันจะเป็นยังไง แต่ม๊าบอกว่าเขาไว้ใจได้ไม่ต้องเป็นห่วงฉันก็เบาใจขึ้นมานิดหน่อย
“ไม่น่าจะมีอะไรหรอกม๊าบอกว่าเขาไว้ใจได้”
“เออๆ เคๆ แล้วแกเอาขึ้นไปหมดเหรอวะ” ยัยอินถามฉัน
“หมด แค่นี้เอง ตอนพวกแกเม้าฉันยังขนคนเดียวได้เลย” ไม่วายที่ฉันจะจิกกัดพวกมัน ทีตอนนี้มาห่วงตอนให้ช่วยขนไม่ช่วย ฉันได้แต่คิดค่อนขอดพวกมันในใจ
“ใครวะ ไปดีกว่า พวกเรากลับกันเถอะ เราช่วยมันมามากแล้ว รู้สึกเหนื่อยจัง” ยัยอินพูดแล้วทำท่าทำทางเหมือนเหนื่อยสะเต็มประดา พวกเพื่อนเวร พูดเสร็จมันก็ขึ้นรถแล้วขับออกไปทันทีโดยที่ฉันไม่มีโอกาสอ้าปากด่าพวกมันอีก เหลือแค่ฉันที่ยืนเหมือนหมาหลงทางอยู่หน้าคอนโด
สู้ๆ ว่าแล้วฉันก็หอบสัมภาระอันมากมายมหาศาลของฉันขึ้นคอนโด
ทำไมต้องอยู่สูงขนาดนี้ด้วยนะ ฉันขึ้นลิฟต์แล้วมุ่งตรงขึ้นไปชั้นที่ 25 คอนโดนี้มี 30 ชั้น ไม่นานเสียงลิฟต์ก็เปิดออกแล้วฉันก็เดินออกไปอย่างทุลักทุเล ห้อง 30113 อยู่ไหนนะ อ๊ะ เจอแล้ว เอาไงดีวะ มือไม่ว่าง ของก็ขี้เกียจวาง ฉันเลยตัดสินใจจะใช้อวัยวะทั้งสามสิบสองให้เป็นประโยชน์
หนึ่ง สอง สาม
ฉันกำลังยกเท้าขึ้นถีบประตู แต่ต้องชะงัก อ้าปากค้าง ด้วยความตกใจเพราะอยู่ๆ ประตูก็เปิดออกมา
“ทำอะไร” เสียงทุ้มเรียบดังออกมาจากปากคนที่เปิดประตู ตอนนี้ปากฉันยังไม่งับลงมาเลยก็ว่าได้
โอ้โน.... อยากจะร้องเป็น ภาษาประกิตที่ฉันไปร่ำเรียนมา เมื่อฉันได้สติก็รีบเก็บขางับปากแล้วถามเขาออกไป
“เอ่อ คุณอยู่ห้องนี้เหรอคะ” ฉันถามออกไป มันเป็นคำถามที่ปัญญาอ่อนเปล่าวะ ก็เขาออกมาจากห้องนี้ก็ต้องอยู่ห้องนี้สิ
อ๊าย... อย่าบอกนะว่าคนนี้คือว่าที่คู่หมั้นฉาน...
ฉันได้แต่คิดด้วยหัวใจที่ลิ่งโรดอยากจะกระโดดสักสิบตลบแล้วแหกปากร้องดังๆ อ๊ายยยยย
“ยิ้มอะไร” กึก เสียงเย็นๆ เรียบๆ ที่ออกมาจากปากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทำให้ฉันหยุดมโนแล้วยิ้มอ่อนให้กับเขาด้วยท่าทางเขินอาย
หัดอ่อยแป๊บ
“เอ่อ.... ฉันชื่อหนูดีเป็นว่าที่คู่หมั้นของนาย บดินทร์ คุณรู้จักรึเปล่า พอดีว่าฉันจะต้องย้ายมาอยู่กับเขา” พอฉันพูดจบเหมือนเขาจะสตั้นไป แล้วขมวดคิ้วมองหน้าฉันด้วยสายตางุนงง ฉันเลยทำตามเขาบ้าง เขาทำหน้างงฉันก็ทำหน้างงเหมือนกัน ฉันแค่ลองถามดูเผื่อใช่เขา ฉันจะไม่ปฏิเสธเลยล่ะ
“คนบ้ารึเปล่า” แต่อยู่ดีๆ เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แสนเจ็บแสบ หาว่าฉันเป็นคนบ้า ฉันได้แต่อ้าปากค้างกับคำพูดที่ออกจากปากนั้น บ้าเหรอ มองยังไงว่าฉันเป็นคนบ้า สวยซะขนาดนี้
“นี่คุณฉันไม่ได้บ้า แล้วก็บอกมาว่ารู้จักคนที่ชื่อ บดินทร์รึเปล่า ฉันหนักอยากวางของ” ฉันพูดออกไปด้วยอารมณ์ที่เริ่มจะเสียเล็กน้อย หน้าเรียบๆ ไม่แสดงอารมณ์นั่นมันทำให้ฉันหงุดหงิด แต่ไม่เป็นไรให้อภัยหล่อ
“รู้จัก” สั้นๆ ง่ายๆ แล้วไงต่อ
“เอ่อ แล้วห้องนี้ใช่ห้องเขารึเปล่า ถ้าใช่ขอเข้าไปหน่อยหนัก” ฉันรวบรัด แล้วเอาของที่ถือมาดันร่างหนาให้ออกจากการขวางหน้าประตู พาตัวเองเดินเข้ามาข้างใน พอฉันเดินเข้ามาข้างในแล้วก็มองหาที่วางของ ซึ่งเป็นโซฟานั่นเอง ว่างเสร็จก็บิดขี้เกียจซะหน่อย อ๊ะ แล้วพ่อคุณชายเย็นชาของฉันไปไหนนะ
ใช่แล้วค่ะทุกคนฟังไม่ผิดหรอก คนที่มาเปิดประตูให้ฉันก็คุณชายเย็นชาหวานใจของฉันนั่นเอง นี่เขาเรียกว่าพรหมลิขิตรึเปล่านะตอนนี้ฉันดีใจจนเนื้อเต้นเลยละ ถ้าพวกเพื่อนตัวแสบฉันรู้มันต้องกรี๊ดๆ ใส่ฉันหูแตกแน่
“ทำอะไร” นั่นไงแค่นึกถึงเสียงเย็นๆ ก็ลองมากระทบหู
“บิดขี้เกียจไง เมื่อยชะมัด” ฉันตอบออกไปแบบมึนๆ อยากเห็นหน้าตายๆ นั่นแสดงอารมณ์อื่นชะมัด
“แล้วตกลงว่า นายบดินทร์คนนั่นอยู่ไหนอ่ะฉันอยากคุยกับเขาหน่อย” ฉันถามออกไป ถึงแม้จะแน่ใจแล้วก็เถอะว่าเป็นเขา เพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ก็ยังไม่เห็นใคร ตอนแรกฉันยังไม่มั่นใจเพราะเขาอาจจะเป็นเพื่อนเจ้าของห้องก็ได้ แต่พอเข้ามาก็ยังไม่เห็นใคร คุณชายต้องเป็นว่าที่คู่หมั้นฉันชัว
“ฉันเอง” ในที่สุดเขาก็ตอบออกมา ฉันยิ้มกว้างขึ้นทันที แต่พอคิดได้ฉันก็รีบเก็บอาการหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“นายเหรอ ว่าที่คู่หมั้นฉันอ่ะ” ฉันพูดออกไปตามใจคิด บอกเลยตอนนี้หัวใจของฉันเต้นเหมือนมันจะเด้งออกมาข้างนอก สงสัยแผนการยกเลิกงานหมั้นของฉันคงต้องล้มเลิก คงต้องเปลี่ยนมาเป็นแผนจับว่าที่คู่หมั้นจอมเย็นชาของตัวเองซะแล้ว อย่างงี้ต้องยั่วต้องอ่อย ฮ่าๆ ๆ
ฉันถามเขาออกไปแต่เขาไม่ตอบ คือไร ไม่เป็นไรฉันมโนเอาเองก็ได้ ฮ่าๆ ๆ
“แล้วนายจะให้ฉันนอนห้องไหนอ่ะ ห้องนายเลยป่ะ” ฉันออกตัวแรงสุดๆ แต่พ่อเทพบุตรสุดหล่อของฉันยังคงไม่ตอบเขาเอาแต่มองหน้าฉัน จะนิ่งไปไหนพ่อคุณ
“ออกไป” และแล้วก็มีเสียงตอบกลับมา แต่ไม่ใช่ตอบกลับธรรมดา ไล่ด้วย พูดน้อยพูดตรงไปไหมพ่อคุณ
“ไม่เอา ป๊ากับม๊าเราให้เรามาอยู่ด้วยกันนะ นายมาไล่ฉันแบบนี้ได้ไง ไม่เชื่อใช่ไหมโทรหาม๊านายดิ” ฉันเห็นเขาทำหน้างง และเหมือนจะข่มอารมณ์บางอย่างเอาไว้ ทำเหมือนไม่เชื่อเรื่องที่ฉันพูด ฉันเลยเสนอทางออกให้ เพียงอึดใจเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกจริงๆ
“ม๊า ให้ใครมาอยู่กับบีม” น้ำเสียงฟังดูเหมือนอ่อนลง แต่ยังคงติดเย็นชาของเขากรอกเข้าไปในโทรศัพท์ คงจะเป็นม๊าเขาแน่ๆ เขาว่ากันว่าผู้ชายเย็นชามักจะมีอีกด้านกับครอบครัวเสมอ ท่าจะจริง
“เฮ้อ แล้วเรื่องคู่หมั้น” พอเขาถามประโยชน์นั้นออกไปก็หันหน้ามามองฉันที่ยืนตัวลีบอยู่กลางห้อง ฉันได้แต่มองหน้าเขาตาปริบๆ
“ครับ ไม่รับปาก” และไม่นานเขาก็วางสายไปแล้วมองหน้าฉันแบบเต็มๆ ตา แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร ฉันเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้เขา เอาไงต่ออ่ะ เพราะเขาน่าจะรู้แล้วว่าฉันไม่ได้โกหก
“ห้องเธอ” เงียบอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้นแล้วชี้มือไปทางประตูสีขาวที่อยู่ฝั่งขวามือ โอ๊ย เย็นชาจริง ฉันจะไม่อกแตกตายก่อนที่ฉันจะได้เขาเป็นสามีเหรอ อิหนูดีปวดเฮด
“อ่อ โอเค งั้นฉันเอาของไปเก็บก่อนนะ” พูดจบฉันก็รีบขนของอันมากมายมหาศาลที่ฉันหอบขึ้นมาเข้าห้องไปทันที