บทที่ 5
กว่าที่หญิงสาวต่างภพผล่อยหลับ ก็ย่างดึกสงัด และเช่นเคยเจ้าหล่อนก็ยังนอนดิ้น นอกจากจะถีบผ้าห่มผืนน้อยออกจากตัว ยังพลิกมานอนเบียดไอ้ต้าวสามี..จนคนอายุมากกว่าตกใจตื่น..ดวงตาคมกริบฉายแววเหนื่อยล้า ก่อนจะหรี่ตามองยัยตัวเล็กที่นอนคุดตัวในอ้อมกอด..มือใหญ่ค่อยๆ ดันร่างบอบบางไปตรงกลางเตียง..ผ้าห่มผืนบางที่ถูกถีบถูกจัดแจงห่มใหม่อีกรอบ
เสียงไก่ขันบ่งบอกเวลาใกล้เช้า ร่างสูงโปร่งตัดสินใจลุกขึ้นอาบน้ำเตรียมไปโรงพยาบาล โดยปล่อยภรรยาตัวร้ายนอนทับตะวันเหมือนเฉกเช่นทุกวัน
จวบจนเวลาล่วงเลยเกือบแปดโมง คนที่ตื่นเช้ามาตลอดชีวิตก็สะดุ้งตกใจตื่น มือเรียวสวยขยี้หูขยี้ตาเรียกสติ ดวงตาคมหวานซึ้งกวาดตามองรอบห้องๆ คาดหวังว่าให้เรื่องเมื่อวานเป็นเพียงฝันไป...แต่ความจริงก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ เธอได้ย้อนมาอยู่ในอีกยุคสมัยหนึ่งจริงๆ!!
เมื่อได้นอนหนึ่งตื่น คนที่ถูกสอนมาให้แก้ปัญหา เริ่มเรียบเรียงความคิด..สิ่งแรกที่เธอควรทำ...คือการพิจารณาสถานการณ์ของตัวเองให้รอบคอบ อาจเพราะความทรงจำของร่างเดิมที่ขาดๆ แหว่งๆ ชวนให้หงุดหงิดใจ..สิ่งที่ทำได้คือการอยู่ปัจจุบัน
คิดได้ดังนั้น..คนตัวเล็กก็จัดแจงพับผ้าห่ม เก็บที่นอนให้เรียบร้อย ตามประสาคนเจ้าระเบียบ
ร่างบอบบางอาบน้ำแต่งตัว หญิงสาวเลือกเสื้อกี่เพ้าสีฟ้าอ่อนลายดอกไม้น่ารัก กับกางเกงสีกรมท่าพอดีตัว....ผมดำยาวสลวยถูกรวบเป็นหางม้าง่ายๆ บนโต๊ะเครื่องแป้ง เธอเลือกแค่ครีมทาผิวเพื่อความชุ่มชื้น บนโต๊ะเตี้ยๆ ข้างเตียงนอนฝั่งคุณสามี...มีเหรียญหนึ่งบาท ผสมเหรียญสิบบาทหลายเหรียญถูกวางไว้ ดารินหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความสนใจ นึกอยากรู้ค่าเงินสมัยนี้เสียเหลือเกิน บนโต๊ะนอกจากเงิน ยังมีกระดาษแผ่นเล็ก ถูกเขียนไว้ว่า 'เงินสำหรับใช้จ่ายในบ้าน'
เรียกรอยยิ้มมุมปากของภรรยาตัวเล็กได้ไม่น้อย นิ้วเรียวสวยใช้นิ้วไล้ไปตามตัวอักษร...รายมือของชายหนุ่มเป็นตัวหนาเต็มไปด้วยความหนักแน่น...ที่น่าแปลกใจคือมันเป็นลายมือที่คล้ายกับนายคีรีคู่หมั้นของเธอราวแปดสิบเปอร์เซ็น ชวนให้คิดว่าสองคนนี้เป็นคนเดียวกัน แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกันละ...ถ้าคู่หมั้นของเธอย้อนเวลากลับมา เขาต้องจำได้ซิว่าเธอคือใคร?
เมื่อคิดไปก็ไม่ได้อะไร ดารินจึงหยิบเหรียญบนโต๊ะเพียงไม่กี่เหรียญติดตัวออกจากบ้านไปด้วย ก่อนที่ร่างเพรียวระหงเดินลงมาชั้นล่าง เวลาที่ปรากฏในนาฬิกาชี้บอกแปดนาฬิกา วันนี้ดารินเองก็มีภารกิจหลายอย่างที่ต้องทำ...โดยเฉพาะการสำรวจยุคสมัยที่ตัวเองหลงเข้ามาอยู่ แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือหาอะไรทาน
หญิงสาวจัดแจงปิดประตูบ้าน ก่อนจะเดินไปทางตรอกหมายเลขที่สี่ ที่เดียวกับคุณสามีพาไปทานมื้อเย็น หลังจากที่เธอเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านเมื่อวานนี้ จินจินค้นพบความจริงข้อหนึ่งคือที่บ้านแทบไม่มีอุปกรณ์ทำครัว แม้แต่ตะหลิว กะทะ หม้อ ไห มีเพียงแต่จานชามช้อนซ้อมไม่กี่ชิ้น นั่นแสดงให้เห็นว่าร่างเดิมของเธอแทบไม่เคยใช้ครัว
ดังนั้นมื้อเช้าคงต้องฝากกับร้านอาหารข้างทาง แต่ตรอกหมายเลขสี่ที่เธอคาดหวังว่าจะมีร้านอาหารตามสั่ง ปรากฎว่าบรรยากาศเงียบกริบ ใบหน้าสวยหวานมีเสน่ห์เต็มไปด้วยร่องรอยผิดหวัง...จินเยว่ตัดสินใจไม่ย้อนกลับทางเก่า แต่เลือกจะเดินเลี้ยวไปที่ซอยถัดไป ตึกแถวโบราณต่างทำจากไม้เรียงกันยาวจนสุดซอย ณ เวลานี้ ส่วนใหญ่ถูกปิดเงียบ มีบางหลังที่มีผู้สูงวัยนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน
คนต่างยุคเดินสำรวจพลางจดจำแผงผังของชุมชน จนทะลุมายังถนนใหญ่ เส้นเดียวกับวันแรกที่เธอเคยวิ่งทะลุออกมา...ดวงตาสวยหวานเบิกกว้างเล็กน้อย บรรยากาศฝั่งนี้คึกคักกว่าเส้นที่เธอเดินมา ผู้คนแต่งตัวคล้ายๆ กันไปหมด ถ้าเป็นผู้หญิงไทยส่วนใหญ่จะตัดผมสั้นดัดปลาย เสื้อที่สวมใส่ค่อนข้างเรียบร้อย และยังคงนิยมใส่ผ้าถุงลายดอก แต่ก็มีสาวๆ สวยๆ ที่ดูมีฐานะหน่อย ใส่ชุดเดรสสีหวานสดใส ราวกับหลุดมาจากหนังยุค 50
สิ่งที่เห็นมันบอกกับเธอว่า เธอไม่ได้ฝันไป..หน้าร้านใกล้ๆ หัวมุมมีร้านขายน้ำเต้าหู้ กับปาท่องโก๋ ขาเรียวสวยจ้ำอ้าวเข้าไปที่ร้านทันที ก่อนจะตัดสินใจซื้อปาท่องโก๋ใส่ถุงกระดาษห่อโต กับน้ำเต้าหู้ ...เช้านี้เธอไม่อดแล้ว หลังจากจ่ายเงินคนตัวเล็กเดินกลับบ้านทันที วางแผนว่าถ้ากินอะไรเรียบร้อยแล้ว จะนั่งรถรางสำรวจรอบๆ เมือง...ถ้ารู้ยุคสมัยย่อมรู้ว่าควรจะจัดการกับชีวิตยังไงดี
ตอนมาถึงบ้าน...เจ้าของบ้านคนสวยวางของกินไว้บนโต๊ะกลมกลางบ้าน ก่อนจะเดินไปล้างมือด้วยความเคยชินในห้องน้ำ แต่สิ่งสุดท้ายที่เธอคิดหลังจากล้างมือในบ้านตัวเองก็คือ...จะเจอหัวขโมยในเวลากลางวันแสกๆ!!!
แถมขโมยอะไรไม่ขโมยดันขโมยกินปาท๋องโก๋ที่เธอพึ่งซื้อมา!!
ดวงตาสองคู่สบกัน...แขกผู้ไม่รับเชิญเป็นเด็กผู้ชายรูปร่างผอมแห้ง โดยเฉพาะใบหน้าที่ตอบอย่างคนอดอาหาร...ดวงตาเฉลียวฉลาดชั้นเดียวชี้ขึ้น พอเห็นว่าเธอออกมา...หัวขโมยเด็กตัวแสบรีบยัดของกินใส่ปาก ไม่พอยังยัดที่เหลือใส่กระเป๋ากางเกง และใส่เกียร์หมาวิ่งออกจากบ้านทันที
เล่นเอาเจ้าของบ้านคนสวยผู้กำลังหิว ยืนมองอึ้งๆ พอได้สติเท่านั้น ร่างบอบบางรีบวิ่งกระโจนออกจากบ้านตามร่างผอมแห้งนั่นไปทันที
"หยุด!!!!!!! ไอ้หัวขโมย ฉันบอกให้แกหยุดไง หนอยยยย อย่าให้ฉันจับได้นะ แกตายแน่"ไอ้ต้าวตัวเล็กหลงยุควิ่งไปตะโกนด่าไป แต่ร่างเล็กนั่นก็วิ่งไวทานยาด ทำเอานักกีฬาวิ่งของโรงเรียนหัวร้อน...เพราะรอบนี้ดันวิ่งแพ้เด็กเสียอย่างงั้น ถ้านายคีรีผู้เป็นคู่หมั้นรู้เข้า เป็นต้องเยาะเย้ยถากถางเธอเป็นแน่ สองหนึ่งเด็ก หนึ่งผู้ใหญ่วิ่งไล่ตามกันบนซอกซอย จนดารินเองก็เกือบจะจำทางกลับบ้านไม่ได้
จวบจนเลี้ยวหัวมุมตึกเธอก็ตามไอ้เด็กแสบไม่ทัน เล่นเอาคนตัวเล็กเจ็บใจ ดวงตาคมหวานซึ้งกวาดตามองรอบๆ ตึกแถวฝั่งนี้ดูสกปรกกว่าซอยที่เธออยู่ไปซะหน่อย ข้าวของหลายๆ บ้านกองพะเนินเถินถึกล้นมาตรงทางเดิน
ร่างเพรียวระหงเดินตามทางมาเรื่อยๆ ตั้งใจจะหาถนนใหญ่ให้เจอก่อน แต่แล้วเมื่อโชคชะตาจะเล่นตลก ไอ้คนที่เธอวิ่งไล่ตาม ดันอยู่ตรงหน้า แต่รอบนี้ไอ้เด็กแสบกำลังโดนคนรุม...ร่างผอมเกร็งถูกล้อมด้วยเด็กชายตัวโตอายุราวๆ สิบสองสิบสาม และมีลูกน้องที่ดูอายุน้อยกว่าอีกสองคน ทั้งยังมีชายวัยรุ่นเดียวกับเธอนั่งมองอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก ในขณะที่หญิงวัยกลางคนกำลังเท้าสะเอวชี้นิ้ว และสบถด่าเป็นภาษาจีนเสียงดังขรมไปทั้งซอย
"ไอ้เด็กหัวขโมย ลื้อนี้เกิดมาก็เสียชาติเกิด ไอ้ชิงหมาเกิดเอ้ย"
"เปล่านะ อั้วไม่ได้เอาไป อั้วยังไม่เห็นเงินที่ว่าเลย"ร่างผอมเกร็งยืนหลังค้อมมือเล็กพยายามบังหัวไม่ให้ถูกตี แต่เด็กชายที่อายุมากกว่าหายอมไม่
"พูดแบบนี้ ลื้อจะหาว่าอั้วโกหกรึ หนอย อั้วเห็นลื้อขโมยเงินม๊าอั๊ว ตอนม๊าอั้วไปเข้าห้องน้ำ ไอ้เด็กขี้ขโมย"
"อั้วไม่รู้จริงๆ อั้วพึ่งวิ่งมา"
"แล้วนี้อะไร"คนอายุมากกว่ายังไม่ยอมแพ้ เขาชูเหรียญห้าบาทขึ้นมาโชว์พาลยิ้มเยาะ เด็กชายลูกคู่อีกสองคนรีบสำทับ
"ใช่ๆๆๆ พวกอั๊วเห็นลื้อขโมย"
"อั๊วไม่ได้ทำ ฮึก...จริงๆนะ"น้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ราวกับจะร้องไห้ เด็กชายนึกรู้วันนี้เขาไม่รอดแน่ คงต้องโดนทุบตีเป็นที่ระบายอารมณ์โกรธของหัวโจก
"หนอย ไอ้เด็กเหลือขอมานี้ ถ้าอั๊วไม่ได้ตีลื้อ อย่าเรียกอั๊วว่าม๊าเหมย!!!"น้ำเสียงตะโกนด้วยความโกรธ ก่อนจะกระชากแขนคนอายุน้อยกว่าเตรียมจะฟาดไม่ยั้ง
"หยุด!!!!"เสียงห้ามของหญิงสาวหลงยุค เรียกความสนใจต่อกลุ่มคนตรงหน้าให้หันมามอง..โดยเฉพาะเจ้าหัวขโมยตัวแสบ..พอเขาเห็นเธอ..ดวงตาเล็กหยีเต็มไปด้วยความหวัง
"เจ่เจ้จินจิน!"