เคลียร์รัก - 01
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงประตูห้องถูกเคาะขึ้นสามครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงแหลมสูงของผู้หญิงวัยกลางคน
"ยัยรัก แต่งตัวเสร็จหรือยัง" ฉันได้แต่ถอนหายใจฟืดยาวเมื่อเสียงนั้นสิ้นสุดลง "รักขอเวลาอีกแปบค่ะแม่"
ตะโกนออกไปก่อนจะหมุนซ้ายแลขวาดูเสื้อผ้าหน้าผมและชุดราตรีสีขาวสะอาดตาแต่ดูวับๆ แวมๆ เกินความพองาม
วันนี้เป็นวันเกิดของคุณหญิงท่านหนึ่งที่อยู่ในสังคมไฮโซของคุณแม่ฉัน ก็ไม่มีอะไรมากที่พวกคุณหญิงคุณนายเขาทำกันในงานฉลองต่างๆ นอกจากวางแผนจับบรรดาลูกสาวลูกชายของตัวเองคู่คนนั้นทีคนนี้ที
อืม... อย่างที่ทุกคนเข้าใจนั่นแหละ
ฉัน 'แสนรัก ศริญญา พิมพ์พิมุกต์' ก็คือหมากคนหนึ่งในนั้น
แอ้ดดดดด เสียงประตูห้องฉันถูกเปิดเข้ามาอย่างถือวิสาสะหลังจากที่เสียงแม่เงียบไปได้ไม่ถึงสิบนาที
"ว้าย! คุณลุงเข้ามาได้ยังไงคะ" ฉันร้องลั่นเมื่อจู่ๆ ห้องนอนที่จำได้ว่าตัวเองลงกลอนดิบดีแล้วถูกเปิดเข้ามาจากคนนอก
"พ่อเห็นรักแต่งตัวนาน เผื่อมีอะไรให้ช่วยเลยเข้ามาดู" เสียงที่เปล่งออกมาช่างน่าเกลียดเหมือนความหมายที่แอบแฝง
"คุณลุงลงไปเถอะค่ะ รักไม่มีอะไรให้ช่วย" ฉันกอดอกแน่นเมื่อสายตาหื่นกระหายของชายอายุห้าสิบต้นๆ ตรงหน้ามองมาที่ไหปลาร้าเปลือยเปล่าผ่านชุดเดรสที่ฉันสวมอยู่
"เอ๊ะ! นั่นตัวอะไรเกาะอยู่ตรงไหล่หนูน่ะ มาๆ เดี๋ยวพ่อเอาออกให้"
"ว้าย! ออกไปนะ ไอ้แก่โรคจิต!"
ฉันใช้มือดันร่างใหญ่ที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาหาฉันพร้อมมือไม้ที่เอื้อมมาคว้าสะเปะสะปะไปตามเนื้อตัว
หวังได้ไต่แตะเนื้ออ่อนตามร่างกายสายแรกแย้มรุ่นลูก
"เสียงอะไรเอะอะดังไปถึงข้างล่าง"
ตุ้บ....
"โอ้ย! รักผลักพ่อทำไมลูก"
"ตายแล้ว! คุณโอภาเป็นอะไรไหมคะ"
ตาแก่โรคจิตที่เมื่อกี้คิดจะลวนลามฉันเริ่มแสดงละครอีกครั้ง จู่ๆ เขาก็แกล้งล้มลงไปเองดื้อๆ หลังจากที่แม่ฉันส่งเสียงมาจากด้านนอก
"ผมไม่เป็นไร ว่าแต่หนูรักผลักพ่อทำไมลูก"
น้ำเสียงแลดูไม่เข้าใจถูกเอ่ยออกมาถามฉันพร้อมแววตาที่น่าสงสาร แต่สำหรับฉัน มันคือแววตาที่แสนจะน่าขยะแขยงสิ้นดี
"ทำไมลุงไม่ถามตัวเองดูล่ะว่าทำไมถึงไปนอนบนพื้นแบบนั้น"
ฉันเสียงแข็งแถมยังติดสบ่นเพราะยังตกใจและหวาดกลัวกับเหตุการณ์ก่อนหน้าอยู่
"แกอย่ามาใช้น้ำเสียงแบบนั้นกับคุณโอภานะ อย่าลืมว่าเขามีศักดิ์เป็นพ่อแกนะยัยรัก!" แม่ขึ้นเสียงใส่ฉันอีกแล้ว
ท่านมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ผู้ชายในอ้อมกอดท่านแสดงละครเป็นพ่อ(เลี้ยง) ที่แสนประเสริฐ
"แม่ไม่สงสัยเหรอคะว่าทำไมลุง... พ่อเลี้ยงโอภาถึงเข้ามาอยู่ห้องรักได้" ฉันเกือบถูกดุไปแล้วถ้าเมื่อกี้เผลอเรียกผู้ชายคนนั้นว่าลุงต่อหน้าแม่
"ก็ฉันให้คุณโอภามาตามแกไง" แม่แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ให้ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
กี่ครั้งแล้วนะที่แม่เชื่อผู้ชายคนอื่น แก้ตัวให้เขายิ่งกว่าลูกในไส้อย่างฉัน "เหรอคะ หึ งั้นวันหลังรักคงต้องลงกลอนสามชั้น คุณพ่อเลี้ยงโอภาถึงจะมีมารยาทเคาะประตูเข้ามา"
ฉันเน้นย้ำเสียงแข็งทุกคำในประโยคที่เอ่ยออกไป หวังว่ามันจะไปสะกิดต่อมความสงสัยของแม่บ้าง แต่เปล่าเลย แม่ปิดหูปิดตาทุกครั้งที่ฉันกับผู้ชายคนใหม่ของท่านเกิดเรื่องทะเลาะกันแบบนี้
"นับวันแกยิ่งปากกล้าเหมือนพ่อแกไม่มีผิด"
ฉันเม้มปากแน่น มือทั้งสองข้างกำจิกจนเจ็บแสบไปหมด
เงยหน้าขึ้นมองฝ้าเพดานด้านบนเพื่อไม่ให้หยดใสๆ ไหลลงให้ใครเห็น "รักไม่ไป" ฉันเอ่ยขึ้นสามคำอย่างชัดเจน "อะไรของแก" แม่ถามเสียงขุ่น
"วันนี้รักขอไม่ไปงานนี้กับแม่" ฉันพูดกับท่านก็จริง แต่กลับไม่มองหน้าท่านสักคำ
"อย่ามาพยศใส่ฉัน วันนี้วันเกิดคุณหญิงมาลีเพื่อนสนิทฉันแกต้องไปร่วมอวยพร"
ก็แบบนี้ทุกที... ไม่ว่าจะคุณหญิงคุณนายคนไหนก็เพื่อนสนิทแม่ทั้งนั้น แต่เคยถามฉันบ้างไหมว่าสนิทกับพวกเพื่อนๆ ของท่านหรือเปล่า งานไฮโซที่วันๆ เอาแต่คลุมถุงชนลูกหลานพวกนั้นฉันอยากร่วมฉลองซะที่ไหน
"รักปวดท้อง" ฉันโกหก
"จะปวดท้อง ปวดหัวแกก็ต้องไป!" นี่คงเป็นคำสั่งเด็ดขาดสินะ
"แต่รักเป็นรอบเดือน แม่ก็รู้ว่ารักเป็นหนักขนาดไหน" ฉันอ้าง
ถ้าท่านยังจำได้เวลาฉันเป็นรอบเดือนทีไรร่างกายจะป่วยง่ายจนถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลท่านจะต้องหยุดบังคับฉัน
"จะเป็นหนักสักแค่ไหนกันก็แค่เป็นเมน"
น้ำตาที่กักกั้นไว้ล้นปริ่มขอบม่านตาเล็กน้อย
แม่ไม่เคยจำหรือจำได้ แต่แค่ทำเป็นลืม?
"รักไม่ไหว ให้รักอยู่บ้านเถอะนะคะ" เสียงฉันอ่อนยวบ อ่อนชนิดที่ว่าไร้เรี่ยวแรงจะพูดอีกต่อไปแล้ว
"แต่แก.."
"คุณหญิงสุขศรี ปล่อยหนูรักเถอะ ลูกอาจจะไม่ไหวจริงๆ" เสียงแหบติดยานตามวัยเอ่ยปรามแม่ ไม่ต้องให้ฉันบอกได้ไหมว่าคำตอบต่อมาของแม่ฉันคืออะไร
"งั้นแกก็พักผ่อนให้เต็มที่ งานหน้ายังมี อย่าคิดว่าจะหนีฉันได้ทุกครั้ง"
เห็นไหม แม่เชื่อคนนอกมากกกว่าฉันอีก
น้ำตาที่ปริ่มในตอนแรกถูกปล่อยให้ล่วงลงอย่างช้าๆ หลังจากสองร่างหายออกไปจากห้องๆ นี้
"อึก พ่อคะ รักคิดถึงพ่อ" ฉันทิ้งตัวลงพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบด้วยร่างกายที่หมดเรี่ยวแรง ปากได้แต่เอ่ยเรียกหาพ่อแท้ๆ ที่จากลาโลกนี้ไปตั้งแต่ฉันอายุย่างสิบสี่
อืม... มันก็ผ่านมาเกือบจะเข้าปีที่ห้าแล้วสินะที่ทำให้แม่ผู้ใจดีของฉันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ขอเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความเป็นมาของครอบครัวฉันนิดหนึ่ง...
เมื่อเกือบห้าปีที่แล้ว ครอบครัวพิมพ์พิมุกต์ที่มีเหมืองแร่หลายร้อยไร่ต้องสูญเสียหัวหน้าครอบครัวด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกอย่างไม่คาดคิด ทำให้แม่แท้ๆ ของฉันต้องอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว
วันที่สูญเสียพ่อในวันนั้นแม่ไม่เคยเสียน้ำตาเลยสักหยดเดียว เพราะสาเหตุที่พ่อต้องบินไฟลท์นั้นคือการทะเลาะเบาะแว้งกันของพวกท่าน
ฉันไม่รู้ว่าพวกท่านทะเลาะอะไรกันแต่ได้ยินประโยคหนึ่งที่พ่อถูกกล่าวหาว่า 'นอกใจ'
และตั้งแต่ที่ครอบครัวเราสูญเสียเสาหลัก ฉันก็เหมือนแพะรับบาปที่ดันมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับผู้เป็นพ่อที่ล่วงลับไปแล้วโดยเฉพาะแววตาที่ทำให้แม่เกลียดชังฉันเวลาที่มองหน้ากัน
และหลังจากท่านแต่งงานใหม่เมื่อหนึ่งปีก่อนกับ 'โอภา' นายหน้าค้าที่ดินที่เบื้องหลังชอบอ่านกินและหวังขืนใจลูกเลี้ยงอย่างฉัน นิสัยแม่ฉันก็เปลี่ยนไปยิ่งกว่าเดิม
ฉันในสายตาแม่คือตัวแทนของพ่อที่จากไปด้วยความไม่เข้าใจกัน แม่ยังต่อว่าพ่อที่จากไปแล้วว่าสมควรแล้วที่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเพราะคิดจะบินไปหาเมียน้อย
แต่เบื้องลึกเบื้องหลังฉันกลับไม่รู้อะไรเลยว่ามันคือเรื่องจริงหรือแค่เข้าใจผิด แต่ฉันเชื่อมั่นในตัวพ่อ... เพราะพ่อในความทรงจำตลอดสิบสี่ปีของฉันท่านเป็นผู้ชายที่รักครอบครัวและเป็นคนดีมากในสายตาฉัน
Rrr
เสียงแผดร้องของเครื่องมือสื่อสารดังขึ้นทำให้ฉันปล่อยวางเรื่องในอดีตหันมาสนใจเสียงที่ดังลั่นห้องในตอนนี้แทน
"หนม?" ฉันเอ่ยชื่อเพื่อนสนิทคนเดียวที่มีอยู่แผ่วเบาก่อนจะกดรับสายที่ดังอยู่ "ว่าไงหนม" กรอกเสียงลงไปให้ดูปกติที่สุด
[ถึงงานหรือยัง] เสียงหวานใสเอ่ยถาม
อ้อ จำได้แล้ว ก่อนเลิกเรียนวันนี้ฉันเล่าให้ 'ขนม' ฟังว่าต้องไปงานวันนี้กับแม่ "ไม่ได้ไปแล้ว" เสียงฉันดังอู้อี้เล็กน้อย
[เสียงแกแปลกๆ ไม่สบายเหรอ] ขนมถามอย่างเป็นห่วง
"นิดหน่อย ปวดหัวน่ะ" ตอนแรกโกหกแม่ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกแบบนั้นเข้าจริงๆ
[เหรอ มีใครอยู่บ้านไหม ให้ฉันไปนอนเป็นเพื่อนเปล่า] ฉันยิ้มเล็กน้อย
อย่างน้อยตอนนี้ก็มีเพื่อนคนนี้แหละที่เป็นห่วงฉันยิ่งกว่าแม่ตัวเอง
"ไม่เป็นไร กินยานอนพักคงดีขึ้น" ฉันตอบก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่รู้เลยเพื่อนฉันโทรมาทำไม "ว่าแต่หนมโทรมามีอะไรหรือเปล่า"
[อ้อ พอดีอยู่บ้านเหงาๆ ว่าจะออกไปเที่ยวสักหน่อย]
ฉันส่ายหัวไปมากับคำว่า 'เที่ยว' ของเธอ
"จะแอบไปดริ้งค์อีกแล้วล่ะสิ"
[แฮะๆ รู้ทัน] ขนมหัวเราะแห้งๆ กลับมา
แต่ก็ดีนะ วันนี้ฉันรู้สึกอยากเมาเหมือนกัน เมาให้ลืมเรื่องเลวร้ายวันนี้
"ไปสิ ร้านเดิมใช่ไหม" ฉันถามเสียงร่าเริงขึ้น
[เฮ้ย จริงดิ! นี่ใช่แสนรักเพื่อนฉันเปล่าเนี่ย]
"หรือจะไปคนเดียว" ฉันแกล้งงอน
[ไปสิ ไปๆ เดี๋ยวหนมไปรับ] ทีงี้รีบเชียวนะ
"เจอกันที่ร้านดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาวนรถไปมา" ฉันบอก
ร้านที่ว่าตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างทางบ้านฉันกับขนมพอดี ถ้าให้ยัยเพื่อนคนนี้ขับรถมารับก็ต้องวนกลับไปทางเดิมอีก เสียเวลาน่ะ
[เอางั้นเหรอ งั้นอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะ]
หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อยฉันก็วางสาย ก่อนจะเดินไปหยิบชุดมาเปลี่ยน ถึงตอนนี้จะอายุแค่สิบเก้าแต่ฉันก็เริ่มเข้าร้านเหล้าเป็น ดื่มได้
ไม่ใช่ผู้หญิงโลกสวยแต่ไม่ได้หมายความว่าเจนจัดเช่นกัน