ตอนที่ 1 : การกลับมา
'หากต้องรอเจ้าชั่วชีวิต ข้าจะขอรอตราบสิ้นลมหายใจสุดท้าย'
'ข้ายังยึดมั่นในคำสัญญาที่เจ้าให้ไว้ แม้ตัวเจ้าจะไม่อยู่ในโลกแห่งนี้แล้วก็ตาม'
______________________________________
ท่ามกลางสงครามยืดเยื้อยาวนานมาถึงเจ็ดปีของทหารแนวหน้ารักษาการเขตชายแดน ในที่สุดสงครามห้ำหั่นก็ถึงจุดสิ้นสุด
ในขณะที่ทุกคนกำลังยินดีกับชัยชนะแสนยิ่งใหญ่ ใครจะคิดว่าจู่ๆ 'เฉินอี้หลิน' หัวหน้าหน่วยทีมเหินเวหาจะถูกลอบยิงกลางอกขณะร่วมยินดีกับเหล่าเพื่อนทหารด้วยกัน แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าการถูกลอบยิงคือตื่นขึ้นมากลับพบว่าตนกำลังอยู่ท่ามกลางสงครามอีกครั้ง
มันจบแล้วไม่ใช่เหรอ?
แม้ในใจจะคิดขัดแย้งกับเหตุการณ์ แต่พอรู้ว่าตนกำของบางอย่างไว้แน่น ยิ่งสร้างความตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ในมือผมตอนนี้มีกระบี่สีขาวเล่มยาว ด้ามแกะสลักลวดลายคล้ายนกฟีนิกซ์ ข้างกันนั้นเป็นมังกรตัวยาวกำลังพัวพันม้วนกันเป็นเกลียวคลื่น พู่หยกสีขาวพริ้วไหวประดับปลายด้าม เงากระบี่สะท้อนต้องแสงอาทิตย์จนทำให้คนที่เผลอมองตาพร่ามัว ความแวววาวของมันคล้ายดึงดูดพลังจากแสงสว่างมารวมเป็นจุดเดียว ขุมพลังนั่นทำให้กำลังภายในเอ่อล้นออกจากร่างกาย
"มันอยู่นั่น ฆ่ามัน!"
เสียงตะโกนกู่ร้องก้องดังจากใครสักคนในสนามรบ ทำให้ปลายกระบี่นับสิบพุ่งเป้าเข้ามา...ผมเบี่ยงตัวหลบอย่างฉิวเฉียด ถ้าเมื่อกี้หลบไม่ทันคงถูกเสียบเต็มๆ
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนแปลกหน้าเหล่านั้นถึงได้หันกระบี่มีคมหมายจะเอาชีวิตให้ได้
โลกนี้ต้องมีบางอย่างบิดเบี้ยว เพราะโลกที่ผมเคยอยู่สงครามเขตชายแดนเพิ่งสงบลง แต่ที่นี่เห็นทีเพิ่งเริ่มต้น
ถอยตั้งหลักก่อนแล้วกัน
ผมตัดสินใจวิ่งหนีเข้าป่า พอสมองปะติดปะต่อได้ว่าหลงเข้ามาในห้วงของกาลเวลา นี่อาจจะเป็นยุคของสงคราม แย่งชิงอำนาจ หรือการบำเพ็ญเพียรทำนองนั้น
แต่ชีวิตจริงผมเคยผ่านสงครามนับครั้งไม่ถ้วน เห็นเพื่อนทหารบาดเจ็บล้มตายมากมาย เครื่องมือที่ใช้มีทั้งอาวุธสงครามและอาวุธชีวภาพ รวมทั้งศิลปะการต่อสู้หลายแขนง ทักษะเหล่านั้นขัดเกลาทหารรับใช้ชาติให้แข็งแกร่ง
ตัวผมเวลาคับขันยามหลงเข้ามาในยุคโบราณ มีเพียงกระบี่เล่มยาวไว้ใช้ป้องกันตัว หาได้มีเครื่องทุ่นแรงอย่างอื่น
แล้วผมมาทำอะไรที่นี่ ผมมีวรยุทธ์ที่ไหนกัน!
"ตามไป! มันต้องอยู่แถวนี้เป็นแน่!"
เสียงฝีเท้าจำนวนไม่น้อยไล่หลังมา ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองถูกตามล่าเพราะอะไร มาถึงก็ถูกโจมตีแถมถูกไล่บี้อย่างกับจะฆ่าให้ตาย
ผมเป็นเพียงวิญญาณในโลกปัจจุบัน ลอยละลิ้วมาเข้าร่างใครไม่รู้ หรือที่พวกนั้นตามล่าอาจเพราะดันเข้ามาอยู่ในร่างอาชญากรของโลกนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นการเอาตัวรอดคงยุ่งยากเข้าไปอีก
แต่เมื่อสังเกตชุดที่ใส่...มันเป็นชุดขาวอมเขียว เนื้อผ้านุ่มลื่น เครื่องประดับศีรษะงดงาม ดูราคาแพง การแต่งตัวน่าจะคล้ายพวกเทพเซียนหรือผู้ฝึกยุทธสูงส่งมากกว่า
แม้จะดูสง่างามตามฉบับยุคโบราณ...แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าร่างนี้จะเป็นคนดี!
"มันอยู่ตรงนั้น!"
บ้าเอ้ย! ยังหนีไม่ได้เท่าไหร่เลย!
คนกลุ่มใหญ่จำนวนไม่น้อยเข้าล้อมพื้นที่ ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยชุดขาว กระบี่เล่มยาวชี้มาเบื้องหน้าเรียงราย แต่ละคนสีหน้าทมึงทึงพร้อมหาเรื่อง
แล้วจะหาเรื่องอะไร ยังไม่รู้เลยว่าไปทำอะไรให้พวกเขาโกรธ
"ลงมือ!"
"เดี๋ยว! ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะฆ่าจะแกง ผมทำอะไรผิด!"
"พูดจาพิลึกอะไรของเจ้า"
ขอโทษที่ใช้ภาษาผิดยุค
"พวกเจ้ามีความแค้นอันใดกับข้าถึงต้องทำร้ายกัน"
"ก็ได้...ข้าจะตอกย้ำความผิดให้เจ้าฟังอีกรอบ เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์กลับทำตัวคลุกคลีกับมาร ลักลอบมีความสัมพันไม่อายฟ้าดิน ทรยศสำนัก ขัดหลักคำสอน สมควรจัดการให้สิ้นซาก!"
หรือว่าเจ้าของร่างนี้จะเป็นฆาตกร แอบเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน หักหลังเพื่อนฝูง!
มาโลกใหม่ทั้งทีก็ให้มีดีกว่านี้หน่อยสิเว้ย!
"พวกคุณ...ไม่สิ พวกท่านใจเย็นก่อน เอ่อ...ข้ามิรู้ด้วยซ้ำว่าตนเองก่อเหตุอันใดไว้"
"อย่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ ทำผิดแต่ไม่กล้ายอมรับ!"
จะให้ยอมรับอะไรวะ ไม่รู้ๆ ก็คือไม่รู้!
"เจ้าว่าข้าทำผิด ไหนล่ะหลักฐาน หากไม่มีหลักฐานก็หุบปากไป เอาคนที่คุยรู้เรื่องมาพูดกับข้า!"
"พี่ใหญ่ดูมัน! ทำความผิดแท้ๆ กลับปัดป้องออกจากตัว หน้าด้านไร้ยางอาย!"
เอ้าไอ้นี่! เดี๋ยวพ่อก็เอากระบี่ยัดปากเลย!
ผมถลึงตาใส่ไอ้พวกเสือกเรื่องชาวบ้าน คนที่เป็นพี่ใหญ่เมื่อถูกกล่าวถึงจึงเดินแหวกฝูงชนขึ้นมา ใบหน้าของชายผู้นั้นงดงาม ร่างกายสูงใหญ่ ให้ความรู้สึกของเทพเซียน แต่งกายดูดีกว่าใครในกลุ่มนั้น
"กลับไปรับโทษเถอะ หากเจ้าไม่คิดหนีมีหรือศิษย์พี่ศิษย์น้องจะทำร้ายเจ้า"
น้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนแลดูอบอุ่น ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มจางๆ แต่แววตากลับหม่นแสง
"ได้อย่างไรกัน คนทรยศไม่มีสิทธิ์กลับสำนัก จะกลับได้ก็ต่อเมื่อลมหายใจดับสิ้น!"
จะไม่เหลือทางรอดให้เลยใช่มั้ย!
สายตาของผมกวาดมองรอบตัว ที่แห่งนี้เป็นป่าทึบ พุ่มไม้สูงขนาดเท่าเอวคน พอเป็นที่กำบังและหลบภัยชั่วคราวได้ หากมีโอกาสหันเหความสนใจคนพวกนี้สักนิด รับรองได้ว่าต้องหนีพ้นแน่
แต่ต้องทำยังไงให้พวกเขาเผลอสักระยะหนึ่ง หรือจะลุยไปดี ไม่ได้ๆ คนมากขนาดนี้ต่อให้เก่งขนาดไหนใช่ว่าจะฝ่าวงล้อมง่ายๆ ยังไงก็ต้องมีบาดเจ็บ
"พี่ใหญ่อย่ามัวเสียเวลาเลย กว่าเราจะเจอตัวมันต้องใช้เวลาถึงสองเดือน พอเจอแล้วจะปล่อยไปง่ายๆ อย่างนี้หรือ ข้าไม่ยอมเด็ดขาด!"
สองเดือน...สองเดือนทำไม จริงสิ!
"เจ้าพูดเรื่องอันใด สองเดือนอะไรข้าไม่เห็นเข้าใจสักนิด ตัวข้ายังไม่รู้ชื่อแซ่ตนเองด้วยซ้ำ จู่ๆ พวกเจ้าก็บอกว่ารู้จักข้า ตามล่าข้า หมายจะเอาชีวิตข้า บอกว่าข้าคลุกคลีกับมาร มีความสัมพันไม่อายฟ้าดิน ทรยศสำนัก ตัวข้ายังไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย"
หาทางออกยากนักแกล้งความจำเสื่อมเลยแล้วกัน ไม่เสียแรงที่ดูซีรีย์ย้อนยุคมาเยอะ เป๊ะทุกคำพูดเหมือนเป็นคนเขียนบท
"งั้นหรือ...เจ้าจำชื่อตนเองไม่ได้หรือ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า"
ชายที่ถูกเรียกว่า 'พี่ใหญ่' เดินเข้ามาใกล้แต่ก็เว้นระยะห่างไว้หลายก้าว สายตาหม่นแสงพลันเปล่งประกายขึ้น
"ข้าก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีข้าหลงเข้ามาในสนามรบ ผู้คนเอาแต่ฆ่าฟัน พวกท่านเองเมื่อเห็นข้ายังหมายจะเอาชีวิต ถึงชีวิตข้าจะไร้ประโยชน์ อย่างน้อยพวกท่านควรทำให้ข้าเข้าใจบ้าง ข้าทำสิ่งใดลงไป ผิดมากหรือ ร้ายแรงจนให้อภัยกันมิได้เชียว"
อี้หลินเอ๋ย...ถ้านายไม่เป็นทหารก็ควรจะยึดอาชีพนักเขียน
"พี่ใหญ่ อย่าไปฟัง! คนจิตใจชั่วช้าสมคบกับมารย่อมใช้วิถีมารเพื่อหลอกให้ท่านใจอ่อน!"
ไม่ต้องเป็นมารก็ใช้ได้โว้ย! คนธรรมดาอย่างอี้หลินหัวหน้าทีมเหินเวหานี่แหละจะทำให้ดู มารตนไหนจะสู้ได้!
"วิถีมารงั้นหรือ วิถีมารแล้วอย่างไร ใครบังอาจต่อว่าภรรยาของข้า!"
เสียงคำรามดังก้องป่าอย่างกับฟ้าจะถล่ม ลมแรงพัดโหมกระหน่ำพร้อมเสียงความเคลื่อนไหวมุ่งตรงมายังจุดที่ผมยืนอยู่
พวกคนชุดขาวถูกเสียงคำรามดึงความสนใจจนหมด และนี่คือโอกาสเอาตัวรอดของผม!
แต่ยังไม่ทันก้าวเท้า...กลับถูกเงาร่างของชายผู้หนึ่งบังไว้เบื้องหน้า เขาสวมชุดตัวนอกสีดำส่วนตัวในเป็นสีแดงเพลิง ชวนให้นึกถึงความร้อนแรงของผู้สวมใส่
ผมมองชายคนนั้นด้วยความตกตะลึง ไม่ใช่เพราะความเร็วที่เขาเข้าหา แต่เพราะใบหน้างดงามยิ่งกว่าใครของคนๆ นี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคย
"คุณเป็นใคร"
คำพูดติดปากอย่างการใช้คำของคนยุคปัจจุบันถูกเอ่ยขึ้น เขาไม่เพียงไม่แปลกใจ แต่กลับย่อเข่าลงข้างหนึ่งก่อนใช้มือของตนดึงมือผมเข้าไปจรดริมฝีปาก ดวงตาของเราทั้งสองสบประสานเข้าด้วยกัน
"ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้า...เฉินอี้หลิน"