ตอนที่ 4 ผลการตัดสิน (2)
“อย่างนั้นขอให้หายไว ๆ นะคะ” รู้ดีว่าคุณแซ้งค์กำลังพูดในทำนองประชดประชัน
แต่ถามหน่อยเถอะว่าเขามีสิทธิ์อะไรมาพูดจาแบบนี้ใส่ฉัน ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุ นี่เรียกว่าแพ้แล้วพาลหรือเปล่า
ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง หลังได้ยินเสียงพอหันไปมองอีกทีรถของเขาก็สะบัดไปมาจนพุ่งชนเข้ากับขอบสนามเสียแล้ว
“เราไปกันเถอะครับ” พี่กัสพูดแทรก พร้อมกับคว้าหมวกกันน็อคจากมือฉันไปถือไว้เสียเอง
“จะรีบไปไหนล่ะครับ” เสียงทุ้มเข้มโพล่งขึ้นมาทันควัน “ผมอยากจะเลี้ยงฉลองชัยชนะให้คุณเอวาสักหน่อย ไม่ทราบว่าสะดวกมั้ยครับ?”
มาไม้ไหนอีกล่ะ เมื่อกี้ยังทำท่าเหมือนจะกินหัวฉันอยู่เลย…
“ไม่ได้รีบไปไหนค่ะ แค่คิดว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องอยู่ตรงนี้นาน ๆ” ในยามที่เอื้อนเอ่ยใบหน้ายังคงประปรายไปด้วยรอยยิ้มหวาน “แต่ถ้าคุณแซ้งค์ออกปากว่าจะเลี้ยง ฉันคงไม่กล้าปฏิเสธ”
“จะดีเหรอครับคุณหนู”
“ดีสิครับ” เป็นคุณแซ้งค์ที่โต้ตอบพี่กัสกลับไป
สองคนนี้น่าจะบวกกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ เห็นขัดแข้งขัดขากันทุกที เข้าใจแหละว่าพี่กัสคงเป็นห่วงฉัน ส่วนคุณแซ้งค์ก็กวนบาทาใช่ย่อย
“จะพาไปเลี้ยงที่ไหนเหรอคะ?” ฉันเอียงคอถามด้วยท่าทางใสซื่อสุด ๆ
“ผับใกล้ ๆ สนามนี่เองครับ ว่าแต่คุณเอวาดื่มเป็นหรือเปล่า”
เลี้ยงสาวทั้งทีพาไปผับ อะไรกันคะเนี่ย…
“ดื่มเป็นค่ะ แต่ฉันค่อนข้างคออ่อน” หางตาสังเกตเห็นว่าพี่กัสมองมาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่า ‘ใช่เหรอ?’
ใครจะบอกล่ะว่าดื่มเก่งมาก ขืนพูดออกไปคุณแซ้งค์คงได้พาฉันย้ายไปเลี้ยงฉลองที่อื่นพอดี แบบนี้ฉันจะถลุงเงินเขาได้อย่างไรกัน ระดับเจ้าของสนามแข่งรถคงไม่เปิดเหล้าราคาถูก ๆ หรอก เพราะงั้นถือว่าเป็นลาภปากของฉัน
“อย่างนั้นผมจะสั่งแบบเบา ๆ ให้แล้วกันนะครับ” คุณแซ้งค์สรุปเสร็จสรรพ ไม่ถามฉันสักคำเลยว่าต้องการรับความหวังดีนี้ไหม “คุณเอวาจะไปรถผมหรือว่ายังไงครับ”
“เดี๋ยวฉันขับรถตามไปดีกว่าค่ะ” ไม่อยากเออออตามเขาไปเสียหมด เดี๋ยวพี่กัสจะดุเอา แค่นี้ก็ตั้งท่าแยกเขี้ยวขู่ฟ่อใส่แล้ว
“เจอกันที่ผับ...นะครับ” คนตัวสูงบอกสถานที่นัดหมาย ก่อนที่เราจะแยกย้ายกัน
ฉันกับพี่กัสเดินกลับไปยังห้องพัก เพื่อที่ฉันจะได้อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิมที่ใส่มาที่นี่
“คุณหนูไม่ระวังตัวเลยนะครับ” ครั้นได้อยู่กันตามเพียงลำพังพี่กัสจึงเริ่มเปิดประเด็น น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความดุดันเล็กน้อย
“เขาไม่กล้าทำอะไรวาหรอกค่ะ” บอกอย่างมั่นอกมั่นใจ ทั้งที่ก็ยังไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอเขามากนัก
“คุณหนูไว้ใจเขามากเกินไป” ร่างสูงข้างกายพูดย้ำขึ้นมาอีก
“เพราะพี่กัสอยู่ด้วยต่างหาก วาเลยไม่จำเป็นต้องกลัวเขา” ฉันพูดอย่างเอาใจ “ถ้าคุณแซ้งค์คิดจะทำอะไรไม่ดีกับวา พี่กัสก็แค่ทำเหมือนอย่างทุกที”
ปืนที่พกติดตัวไม่ได้มีไว้แค่ประดับกายเสียหน่อย...
“ยิ่งโตคุณหนูยิ่งดื้อรั้นมากขึ้นทุกวัน” พี่กัสถึงกับบ่นอุบ
“ใครเป็นคนเลี้ยงวามาล่ะคะ?” ฉันย้อนถามพลางฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี
ตั้งแต่ที่พี่กัสมาเป็นบอดี้การ์ดให้ฉัน ก็ไม่ใช่เขาหรอกเหรอที่คอยสอน และคอยดูแลฉันเสมอมา
ส่วนป๊าทำอะไรบ้างล่ะนอกจากให้แค่เงินและสิ่งของ แทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าฉันใช้ชีวิตเป็นอยู่ยังไง
“คุณหนูจะโทษผมแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
“ไม่ได้โทษค่า~ แค่ถามเฉย ๆ” ลากเสียงยาวอย่างทะเล้น
บอดี้การ์ดสุดหล่อได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมไปเปิดประตูให้เมื่อเดินมาถึง
“เดี๋ยวผมมานะครับ”
“ค่ะ” รับคำเพียงสั้น ๆ
ร่างสูงล็อกห้องไว้ให้แล้วจึงเดินกลับออกไป ฉันไม่รอช้าที่จะตรงเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ไม่นานนักก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิมเหมือนอย่างตอนขามา
ครั้นเห็นว่าพี่กัสไม่อยู่ภายในห้อง มือบางจึงคว้าหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อกดโทรหา
ทว่าดวงตากลมโตพลันสะดุดกับสายที่ไม่ได้รับเป็นสิบ ๆ สาย แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากป๊าที่โทรเข้ามา
“ท่าทางน่าจะโกรธจริงจัง” มุมปากยกยิ้มไร้ความสำนึกผิด ขณะที่นิ้วเล็กปัดรายการนั้นทิ้งอย่างไม่แยแส แล้วจึงเลื่อนหาเบอร์พี่กัสเพื่อกดโทรออก
(“ผมรออยู่ด้านล่างครับ คุณหนูลงมาได้เลย”) เสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงไม่นานปลายสายก็กดรับ พร้อมด้วยประโยคนี้
“ค่ะ” เมื่อรับคำเรียบร้อยจึงวางสาย แล้วยัดเครื่องมือสื่อสารราคาแพงกลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม
พอเดินลงมาแล้วก็เห็นว่าพี่กัสนั่งสตาร์ทเครื่องยนต์รออยู่ สองจึงเท้ารีบเดินเข้าไปหา เพื่อเปิดประตูขึ้นนั่งยังฝั่งด้านข้างคนขับ
“ผับนั้นไม่ได้เป็นของป๊าใช่มั้ยคะ” ถามเพื่อความแน่ใจ ฉันไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ป๊าเป็นเจ้าของผับที่ไหนบ้าง
“ไม่ใช่ครับ แต่เป็นของศัตรูคุณท่านต่างหาก” พี่กัสตอบหน้าตาย
ได้ยินแบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย...ยังไงนะ?
“แบบนี้เราจะโดนเก็บหรือเปล่าคะเนี่ย” ฉันถามอย่างทีเล่นทีจริง
“ถ้ากลัวก็ไม่ต้องไปสิครับ”
ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ ป่านนี้คุณแซ้งค์คงเดินทางไปถึงแล้วล่ะมั้ง
“คงไม่มีใครรู้หรอกมั้งคะว่าวาคือใคร” ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่มือกลับค้นหาปืนที่เคยเก็บไว้ตรงคอนโซลหน้ารถไปด้วย
“ยังไงก่อนเข้าไปด้านในเขาก็ต้องตรวจอยู่ดีแหละครับ” พี่กัสพูดดักคอ
อ่า ฉันก็ลืมไปเสียสนิท…
“...” ถึงกับนิ่งเงียบเพื่อใช้ความคิดว่าจะเอายังไงต่อไปดี
“ถ้าคุณหนูยืนยันว่าจะไปให้ได้ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องศัตรูของคุณท่านหรอกครับ หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”
“มันต้องแบบนี้” ฉันปรบมือระรัว แสดงอาการกระดี๊กระด๊าออกนอกหน้าจนอีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจพรืด
เจ๋งมากคุณบอดี้การ์ด ดูน่าเกรงขามกว่าเจ้านายอย่างฉันเสียอีก…
