ตอนที่ 1 ท้าทาย (1)
จนแล้วจนรอดฉันก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นอะไร ถึงได้เดินดุ่ม ๆ ออกจากลิฟต์ไป และคงไม่ใช่เพราะเหม็นกลิ่นอะไรด้วย เพราะทั้งฉันและพี่กัสต่างไม่มีใครรับรู้ถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์เลยสักอย่าง
ฉันสะบัดศีรษะเพื่อไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป พร้อมบอกกับตัวเองว่าให้เลิกสนใจเขาซะ
“คุณหนูกินข้าวก่อนนะครับแล้วค่อยลงไป” ร่างสูงเดินเข้ามาภายในห้องพัก พร้อมกับถาดไม้ที่มีอาหารวางอยู่บนนั้น
“ใกล้ได้เวลาแล้วเหรอคะ” ดวงตากลมโตหลุบมองนาฬิกาบนข้อมือ
ก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้นต้องมีการซ้อมสักรอบสองรอบเพื่อสำรวจพื้นผิวแทรค* (*เส้นทางวิ่งในสนาม) ซึ่งประเภทการแข่งที่ฉันลงก็คือการแข่งดริฟต์ เป็นการแข่งที่ไม่ต้องเน้นความแรง และการไปถึงเส้นชัยเป็นอันดับแรก
เนื่องจากผลตัดสินแพ้หรือชนะขึ้นอยู่กับว่าผู้เข้าแข่งขันสามารถเข้าโค้งได้อย่างสวยงามหรือไม่ รวมถึงลูกเล่นต่าง ๆ มุมองศาไลน์เข้าโค้งและความเร็วตอนเข้าโค้ง ผู้แข่งขันจะต้องเลี้ยงความเร็วให้คงที่ พร้อมกับควบคุมไม่ให้รถหลุดออกจากโค้ง เพียงเท่านี้ก็สามารถเป็นผู้ชนะได้
ดูเหมือนจะง่าย แต่ก็ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิด ถ้าขาดประสบการณ์และฝึกฝนมาไม่ดีพอ หรือหากเกิดข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้รถสูญเสียการทรงตัวจนเป็นเหตุทำให้พลิกคว่ำได้
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ควรมีก็คือสติและการฝึกฝน…
ในเรื่องประสบการณ์ส่วนตัวฉันเองก็ไม่ได้มีมากมายอะไรนัก ทุกวันนี้ยังคงต้องหาเวลาฝึกซ้อมอยู่บ่อย ๆ นับว่าโชคดีที่พอจะรู้จักคนในวงการนี้เยอะ จึงให้รุ่นพี่ช่วยสอนเทคนิคการแข่งรถประเภทต่าง ๆ ได้
“ครับ” พี่กัสตอบรับเพียงสั้น ๆ เพื่อยืนยัน
เวลาที่ปรากฏบนหน้าปัดนาฬิกาก็บ่งบอกเฉกเช่นนั้น ฉันลงมือถอดเครื่องประดับที่สวมใส่วางไว้ด้านหน้ากระจกบานใหญ่ แล้วรูดซิปชุดแข่งรถจนมิดลำคอ แน่นอนว่าชุดนี้ย่อมผลิตมาได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของนักแข่ง
ทุกอย่างบนร่างกาย ณ ตอนนี้ ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ฉันได้รับอันตรายหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยร้อยเปอร์เซ็นต์กระนั้นมันก็สามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่ง
ดวงตากลมโตกวาดมองสำรวจตนเองครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินไปทรุดกายนั่งบนเบาะโซฟาหนังตัวใหญ่ เพื่อลงมือรับประทานอาหารที่พี่กัสเอามาให้
มื้อนี้นับเป็นมื้อที่อร่อยมากเลยก็ว่าได้ อาจจะเป็นเพราะฉันกำลังอารมณ์ดี แต่หลังจากการแข่งสิ้นสุด ไม่รู้จะอารมณ์ดีได้เหมือนอย่างตอนนี้หรือเปล่า ช่างเถอะ...ถือซะว่าทำให้เต็มที่ ผลออกมายังไงก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น
ยอมรับว่าฉันไม่ใช่คนเก่ง รางวัลที่เคยได้มาในแต่ละครั้งล้วนเกิดจากความพยายามทั้งสิ้น ฉันเป็นเพียงแค่น้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในวงการนี้ได้ไม่กี่ปี ก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะเจอรุ่นใหญ่หรือเปล่า เพราะนี่ไม่ใช่การแข่งขันที่มีกติกาเข้มงวดมากนัก ดังนั้นต่อให้กระดูกคนละเบอร์มากแค่ไหนก็สามารถลงแข่งร่วมกันได้
ยกตัวอย่างเวลาไม่ชอบหน้าใครก็ท้าแข่งกันในสนามไปเลย ไม่ต้องพูดให้เปลืองน้ำลาย ทว่าฉันไม่เคยเจอใครมาท้าหรอกนะ อย่างว่า…เป็นนักแข่งสาวสุดฮอตประจำสนาม ใคร ๆ ก็เอ็นดู
“ถ้าแข่งรถเสร็จเราจะไปอยู่ที่ไหนกันคะ” ฉันเปิดปากถาม ขณะที่แก้มกำลังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ เต็มปากเต็มคำ
“แล้วคุณหนูอยากไปที่ไหนล่ะครับ” พี่กัสย้อนถามกลับ
“วาให้พี่กัสช่วยคิดอยู่นะคะ”
“ผมไม่รู้ว่าจะพาคุณหนูไปที่ไหนดี”
“งั้นไปคิดมาค่ะ ไว้แข่งเสร็จวาจะมาเอาคำตอบ” บอกอย่างเอาแต่ใจ
มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพี่กัสนักหรอก เดี๋ยวเขาก็คิดออกเองนั่นแหละ…
หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย ฉันกับพี่กัสก็ลงลิฟต์ไปยังชั้นล่าง แล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลังเพื่อเข้าสู่เขตสนามแข่งรถ
“สวัสดีครับคุณเอวา” ผู้จัดการที่นี่อย่าง ‘คุณเจียง’ เดินตรงเข้ามาทักทายฉันทันทีที่เห็นหน้า
“สวัสดีค่ะ” รับคำพร้อมรอยยิ้มหวาน ที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับมองตาเคลิ้ม
เราควรต้องใช้มารยาหญิงให้เป็นประโยชน์ ยิ่งเขาเป็นถึงผู้จัดการของสนามก็ยิ่งต้องสนิทสนมกันเอาไว้ เผื่อวันหน้าจะได้พึ่งพา
“คุณเอวารีบไปซ้อมหรือเปล่าครับ”
“ทำไมเหรอคะ?” หากเขาถามแบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไร
“พอดีว่าเจ้าของสนามเขาอยากพบคุณเอวาน่ะครับ” คำตอบที่ได้รับทำให้คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน
ฉันพอจะรู้จักเจ้าของสนาม แต่ไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน รู้เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายอยู่ประเทศไทย นาน ๆ ทีถึงจะบินมาที่นี่ ดังนั้นเราจึงคลาดกันอยู่บ่อย ๆ เลยไม่ได้พบกัน เหมือนพี่กัสจะเคยบอกชื่อไว้อยู่ แต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว
“ได้ค่ะ” ฉันรับคำอย่างว่าง่าย
“คุณหนูครับ” ร่างสูงข้างกายทำท่าเหมือนจะห้ามฉันเอาไว้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แป๊บเดียวเอง” เขาคงไม่ล่อลวงฉันไปฆ่าหรอก อีกอย่างพี่กัสก็อยู่ด้วยทั้งคนจะกลัวอะไร
ตามติดฉันจนแทบจะสิงแบบนี้ ใครมันจะกล้าเข้ามาทำอะไรฉันได้
“อย่างนั้นเชิญทางนี้เลยครับ” มือหนาผายเชื้อเชิญให้เดินไปอีกทางหนึ่ง
ซึ่งระหว่างทางต้องเดินผ่านกลุ่มผู้ชมที่เป็นผู้ชาย เสียงทักทายและเสียงให้กำลังใจตะโกนดังขึ้น ราวกับกลัวว่าฉันไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น มือบางยกขึ้นโบกมือให้พวกเขา พลางโปรยรอยยิ้มเหมือนอย่างทุกที
“กองเชียร์เยอะนะครับ” คุณเจียงเอ่ยปากแซว หลังจากพวกเราเดินพ้นตรงจุดนั้นมาแล้ว
“ธรรมดาค่ะ” ฉันบอกอย่างถ่อมตัว
“ทั้งสวยทั้งเก่งแบบนี้ใคร ๆ ก็คงอยากเป็นแฟนคลับ”
ฉันได้แต่ยิ้มรับในคำชมนั้น หางตาเหล่มองพี่กัสเล็กน้อย ซึ่งอีกฝ่ายเอาแต่ทำหน้าเฉยชาไม่รับแขก
