ตอนที่ 3 หน้าที่ใหม่ (1)
บทสนทนาระหว่างฉันกับพี่กุ้งนางไม่ยืดเยื้อ เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการแล้วฉันจึงไม่ได้ซักถามอะไรเธออีก เราทั้งสองต่างพากันเดินตามหลังคุณซาน เพื่อลงไปยังชั้นล่าง
“อาซานเดินถนัดแล้วเหรอคะ” ทันทีที่หันมาเห็น เรย์วี่ก็เอ่ยปากถามอย่างไม่รอช้า พร้อมด้วยสีหน้างุนงง
ดูท่าทีของเพื่อนสนิทแล้ว เธอเองคงไม่รู้เหมือนกันว่าอาการของคุณซานดีขึ้นเสียจนเกือบเป็นปกติ กระนั้นเขาก็ยังคงใช้ไม้เท้าเพื่อช่วยพยุงอีกแรง
“ใช่ แล้วนี่เจย์ไม่มาด้วยเหรอ” คุณซานเอ่ยถามถึงคนรักของเรย์วี่ ก่อนจะทรุดกายนั่งลงยังเก้าอี้หัวโต๊ะ
“มีประชุมเช้าน่ะค่ะ…ดีใจมานั่งนี่สิ” เรย์วี่หันมากวักมือเรียก ซึ่งฉันก็เดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ด้านข้างเธอแต่โดยดี “นี่เพื่อนสนิทของหนูที่บอกว่าจะให้มาดูแลอาซานค่ะ”
“อืม อาหารพวกนี้น้องเรย์ซื้อมาใช่มั้ย” ร่างสูงตอบรับในลำคอเพียงสั้นๆ ก่อนเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
“ใช่ค่ะ” เรย์วี่ตอบรับเสียงใส พร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เดี๋ยวอาเอาเงินคืนให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ทั้งหมดนี่เป็นเงินของอาเจย์” ก่อนที่คุณซานจะหันไปเรียกใช้งานพี่กุ้งนาง เรย์วี่ก็โพล่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อ๋อ งั้นอาไม่คืนแล้ว” มุมปากหนายกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทานข้าวเถอะ เดี๋ยวมันจะเย็นซะหมด”
“พี่กุ้งนางไม่ทานด้วยกันเหรอคะ” เมื่อเรย์วี่หันไปเห็นคุณพยาบาลทำท่าจะปลีกตัวเดินออกไปจึงเอ่ยถาม
“พี่ทานมาแล้วน่ะค่ะ เชิญตามสบายเลย ยังไงพี่ขอตัวไปจัดยาไว้ให้คุณซานก่อนนะคะ”
“ฉันว่า...ฉันไปกับพี่กุ้งนางด้วยดีกว่า” เมื่อสบโอกาสที่จะหลีกหนีจากแววตาคมกริบดุจใบมีดคู่นั้น ฉันจึงไม่รอช้าที่จะปลีกตัวออกมาบ้าง
“เดี๋ยว” ทว่าก็จำต้องชะงัก หลังเสียงทุ้มเข้มโพล่งขึ้นมา “นั่งลง ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
ได้แต่หันไปมองเรย์วี่เพื่อขอความเห็น พอเธอพยักหน้าคล้ายจะให้ทำตามคำสั่งนั้น ฉันจึงทรุดกายนั่งลงที่เดิม
“คุณซานมีอะไรเหรอคะ”
“เธอทานข้าวเสร็จเมื่อไหร่ฉันถึงจะคุย” ข้อต่อรองจากปากเขาทำเอาฉันถึงกับกัดฟันเพื่อระงับอารมณ์
“ฉันทานมาแล้วค่ะ”
“สงสัยไม่อยากทำงาน” ร่างสูงที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเริ่มหันไปตักอาหารมาวางใส่จานข้าวของตนเอง ประโยคนั้นราวกับพูดลอยๆ หากแต่ทุกคำพูดกลับสะเทือนเข้ามาในสมองของฉัน
ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากคุณซานกำลังข่มขู่ฉันอยู่ หากยังดื้อรั้นที่จะออกไปจากตรงนี้เขาคงไม่ให้ฉันทำหน้าที่ดูแลเขา
“อาซานอย่าแกล้งเพื่อนหนูสิคะ” เรย์วี่เห็นท่าไม่ดีก็เลยช่วยพูด คงเป็นเพราะสีหน้าของฉันแสดงออกไปอย่างเด่นชัดล่ะมั้ง
“อาไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย” เขาเถียงข้างๆ คูๆ สายตามองตรงมาที่ฉัน หนำซ้ำยังแฝงเร้นไปด้วยความยียวน
น้อยไปสิ ไม่รู้ว่าทำกรรมอะไรไว้ถึงต้องมารับมือกับผู้ชายขี้แกล้งอย่างเขา...
“ไม่เป็นไรเรย์วี่ ฉันยอมทานแล้วก็ได้” ฉันไม่อยากให้เพื่อนต้องเหนื่อยเปล่ากับการต่อปากต่อคำกับเขา ดังนั้นควรที่จะยอมทำไปให้จบเรื่องจบราว
อันที่จริงตอนทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่ร้านอาหารฉันเจอคนมาหลายรูปแบบ ก็ยังสามารถอดทนอดกลั้นได้ตั้งหลายปี นี่แค่รับหน้าที่ดูแลเขาไม่กี่เดือนฉันควรอดทนให้มากๆ เพราะผลตอบแทนใช่ว่าจะน้อยเสียเมื่อไหร่ ท่องไว้ว่าเงิน เงิน เงิน เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง
หลังมื้อเช้าสิ้นสุดลงพี่ภูมิก็เข้ามาเก็บจานไปล้างในครัว พอคุณซานทานยาเสร็จเรียบร้อย เขาก็หยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“อาจะขึ้นไปทำงานบนห้อง น้องเรย์กลับเลยก็ได้”
“ไหนคุณซานบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับฉันหลังทานข้าวเสร็จคะ” ฉันพูดเตือน เพราะกลัวว่าเขาจะลืม
“ไม่อยากคุยแล้ว” ร่างสูงไหวไหล่ ดวงตาคมจับจ้องมาที่ใบหน้าฉันด้วยแววตากวนประสาท “ไปเรียนรู้งานจากกุ้งนาง อย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง เพราะต่อไปเธอต้องมาดูฉันแทนเขา”
กล่าวจบร่างสูงก็เดินหนีจากไป โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาสนใจด้วยซ้ำว่าฉันกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดตามหลังเขา
“ฉันขอพูดตรงๆ ได้มั้ย” พออยู่กันตามลำพังกับเรย์วี่สองคน จึงไม่รอช้าที่จะระบายความในใจของตนเองออกมา “อาของเธอกำลังกวนประสาทฉันอยู่”
“ปกติอาซานไม่เป็นแบบนี้เลยนะ” แม้แต่เพื่อนสนิทก็ไม่เข้าข้าง หนำซ้ำยังหัวเราะขำขันใส่ฉันอีก “สงสัยเห็นว่าดีใจน่าแกล้งล่ะมั้ง”
“เจอแบบนี้ทุกวันฉันคงต้องไปหาจิตแพทย์แล้วล่ะ ตอนอยู่บนห้องคุณซานก็แกล้งฉัน” บอกไว้แล้วว่าจะฟ้อง เพราะฉะนั้นฉันไม่ควรทำให้ตัวเองเสียความตั้งใจ
