บทย่อ
เราไม่สามารถรักใครสองคนพร้อมกันได้หรอกแต่ผมยังหาคำตอบไม่ได้เท่านั้น ว่าผมขาดใครไม่ได้ โดยปกติของมนุษย์ทั่วไป ถ้าร่างกายคุณขาดน้ำ คุณจะตายภายใน 3 วัน แต่ถ้าขาดอากาศ..เพียงแค่ 3 นาที คุณก็จะตาย.... " เราไม่สามารถรักใครสองคนพร้อมกันได้หรอก ... แต่ผมยังหาคำตอบไม่ได้เท่านั้น ... ว่าผมขาดใครไม่ได้ ..." BY KINTA Kinta l คินตา ลูกชายคนเดียวของ ฟาร์มม้าและรีสอร์ท ในเขาใหญ่ ถ้าวันหนึ่งคนที่รักเคยรักมากๆ เดินกลับมาเข้ามา ในวันที่เรากำลังเริ่มรักใครอีกคน? " คิน...เรากลับรักกันเหมือนเดิมนะ " แอริน Airlin เด็กสาวโลกสวย " อย่ามายุ่งกับฉัน" " ไม่ยุ่งไม่ได้คะ พี่คินจะทำร้ายตัวเอง เพื่อคนที่ทิ้งพี่คินไปทำไมคะ ? " " อย่าทำมาเป็นรู้จักฉันดีนะ ออกไปให้พ้นหน้าเลย ไป!!! " " ทำไมต้องไล่ด้วยละ แอรินจะนั่งเป็นเพื่อนพี่คินตรงนี้ จะด่า จะว่า จะตียังไง ก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น " Num น้ำ "หมดเวลาสำหรับตัวสำรองแล้วละแอริน ตัวจริงของเขากลับมายืนตรงนี้แล้ว "
Ep.1First hug
“เราเลิกกันเถอะ...”
......
...
..
“เลิกทำไม? ”
“น้ำต้องการอนาคต ไม่ใช่คนรักสัตว์ รักโลก คินควรเข้าใจนะ ”
และนั่นแหละครับ คือของขวัญแสดงความยินดีในวันรับปริญญาของผม..
เพียงแต่ผมไม่เคยคิดว่า เราได้เลิกกันแล้วจริง ๆ ... เพราะบางทีเราอาจจะแค่ต้องการเวลาเว้นช่องว่าง... เพื่อคิดทบทวนซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง...
ครอบครัวของผมมีธุรกิจฟาร์มม้าแข่งที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และพื้นที่อีกหลายร้อยไร่... ทุกคนคงไม่แปลกใจถ้าผมจะเลือกเรียนสัตวแพทย์... ผมคิดว่าปรัชญาทางเศรษฐศาสตร์หรือ วิธีบริหารงานเราสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองจาก text book ที่มีอยู่ทั่วไป แต่การรักษาหนึ่งชีวิตต่างหากที่เราไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง...แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่แฟนของผมคิด...
ฮื้อออ ฮื้ออออ เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นทำให้ผมต้องกดรับสายผ่านระบบบลูทูธในรถคู่ใจ
“สวัสดีครับ แม่...” ผมรับสายทันที
“ฮัลโหลพี่คินลูก... ขับรถถึงไหนแล้วจ้ะ” แม่ผมถามอย่างเป็นห่วงเพราะผมบอกกับท่านว่า อยากจะกลับมาอยู่บ้านสักพักจริง ๆ แม่กับพ่อก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมกำลังมีปัญหา
“อีกครึ่งชั่วโมงคงถึงบ้านนะครับ” ผมตอบไปก็เหยียบคันเร่งไป
“งั้นพอดีเลย... แม่ฝากแวะรับน้องแอรินด้วยได้มั้ย? ” แม่พูดเสียงนิ่มๆ
“แอริน....” ผมกำลังนึกถึงชื่อนั้นอยู่นาน...
ภาพเด็กผมม้าตัวเล็ก ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในฟาร์มม้าก็ลอยมาในหัวทันที
แอรินคือลูกของเพื่อนสนิทของพ่อซึ่งเป็นคู่สอนฝึกม้าแข่งของฟาร์มเรา แต่ท่านเพิ่งจากไปก่อนวัยอันควรด้วยอุบัติเหตุ เมื่อ 3 ปีก่อน แม่กับพ่อของผมจึงรับแอรินมาอุปการะไว้เอง ส่งเสียเรียนและดูแลเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง...โดยส่วนตัวแล้วผมไม่เจอแอรินมานานมาก ๆ
เพราะตอนมอปลายผมก็ไปเรียนไฮสคูลที่อเมริกา...ก่อนจะกลับมาต่อมหาลัยในกรุงเทพ..ในตอนที่ผมกลับมาเยี่ยมบ้านก็ไม่ค่อยเจอเด็กคนนี้ซักเท่าไหร่ คงเพราะเวลาไม่ค่อยตรงกันและมั้งครั้งสุดท้ายที่ผมเจอ..ก็คงเป็นงานเผาศพของคุณอาดำรงหรือพ่อของแอรินนั่นแหละ
“...คินๆ ..คิน ได้ยินแม่มั้ยลูก..” เสียงแม่ทักขึ้นเมื่อเห็นผมเงียบไป
“อ่อๆ ครับ รับตรงไหนครับแม่” ผมถามอย่างสุภาพ
“หน้าโรงเรียนเลยจ้ะ เดี๋ยวแม่ให้น้องยืนรอที่หน้าโรงเรียน”
“ได้ครับ แล้วเจอกันที่บ้านครับแม่” ผมตอบรับทันที
“โอเคจ๊ะลูกรัก...เออ...แม่ทำกับข้าวรอพี่คินไว้เยอะเลยนะลูก ไม่ต้องซื้ออะไรเข้ามาละ” แม่รีบบอกก่อนจะวางสายไป…
ผมขับรถมาสักพัก ก็ถึงหน้าโรงเรียนสหศึกษาแห่งหนึ่งและมีเพียงที่เดียวในย่านนี้ เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดดีเด่นเลยละ แต่เด็กนักเรียนเยอะแยะเต็มไปหมดแบบนี้ จะหาเจอได้ยังไงเนี้ย...
“แอริน ๆๆ ” ผมท่องชื่อนั้นและก้าวลงจากรถเพื่อมองหาไปทั่ว ๆ
ผมพยายามนึกๆ และคิดถึงหน้าของแอรินที่ผมจำได้
จำได้ว่า...มีหน้าม้า....
ตาโต....
ผมยาว....
และก็......
“ชานมไข่มุกมั้ยคะ ...พี่คิน ”
เสียงใสแจ๋วพร้อมกับแก้วชานมไข่มุกหน้าโรงเรียนก็ถูกยื่นมาตรงหน้าของผมทันที
“แอริน?? ” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย.. ผมมองเธออย่างไม่เชื่อสายตา เด็กคนนี้แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กสาวซนๆ คนนั้นเลย
“อร่อยนะคะ...จริงจริ๊ง!!” แอรินยังคงยื่นแก้วชานมไข่มุกของเธอและทำหน้าชวนๆ ให้ผมกิน
“ไม่ละ เธอกินไปเถอะ ” ผมตอบแบบยิ้มๆ เพื่อรักษาน้ำใจก่อนจะดันแก้วกลับไป และเดินไปขึ้นรถทันที
แอรินยังคงยืนเด๋อด๋า ดูดชานมของเธออย่างร่าเริงๆ
“ขึ้นรถสิ..... แม่รอทานข้าวอยู่ ” ผมพูดขณะที่เปิดประตูรถฝั่งคนขับ
“อ่อๆ ค่ะๆๆๆ ” แอรินรีบพยักหน้าและวิ่งตามมาขึ้นรถทันที
อย่างที่บอก... ผมกับแอรินแค่คนรู้จักกัน ไม่ได้สนิท และแทบจะไม่ค่อยได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ ด้วยวัยที่ห่างกันถึง 5 ปี และเวลาที่ไม่เคยตรงกัน..
ไม่แปลกถ้าบรรยากาศบนรถจะเงียบเป็นพิเศษ...
รึเปล่า !! เสียงดูดชานมอย่างเอร็ดอร่อยของเด็กนักเรียนมอปลายที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ
“ฮู้ !!...รถสวยมาก ๆ เลยนะคะ ” แอรินมองไปรอบ ๆ อย่างตะลึงๆ
“คาดเบลล์ก่อน ” ผมชี้ไปที่เบลล์เพราะรถมันแจ้งเตือนขึ้นทันที
“ฉลาดเวอร์รู้ด้วยว่ายังไม่ได้คาดเบลล์ ” แอรินยกนิ้วให้กับรถคู่ใจของผมอย่างชื่นชม
ถ้าแม่ไม่บอกว่ารับมาเลี้ยงจริง ๆ ผมคงคิดว่าเด็กนี้อยู่บนภูเขา หรือในป่าแล้วนะ
“มันจับเซนเซอร์จากน้ำหนักบนเบาะ ” ผมอธิบายไป เพราะไม่อยากให้เธอตื่นเต้นมากไปกว่านี้
“งั้นถ้าแอรินยกตูดขึ้นมันจะไม่ร้องเตือนใช่มั้ยคะ ” ว่าแล้วเธอก็ลองยื่นย่อๆ แบบไม่เอาตูดวางกับเบาะทันที เพื่อทดสอบความอัจฉริยะของรถสุดหรูของผม
???????!!!!!!!
“นั่งลงดี ๆ !!อย่าซนได้มั้ย!!” ผมดึงเสื้อนักเรียนของเธอเบาๆ เพื่อบังคับให้ยัยเด็กต๊องนี่ ให้นั่งลง
“คาดเบลล์และนั่งเฉยๆ ” ผมหันไปออกคำสั่ง
เคยเรียนแต่ในห้องว่าสัตว์ที่สมาธิสั้นที่สุดคือ ลิง... แต่ผมว่าคงไม่ใช่...น่าจะเป็นแอรินมากกว่า
พอเธอนั่งลงคาดเบลล์เสร็จสรรพก็หันมาก่อกวนผมต่อทันที...
“...พี่คิน..เป็นหมอสัตว์หรอคะ ...” แอรินถามไปก็ค้นๆ แก้วชาไข่มุกไปด้วย
“อ่อ...ใช่..” ผมตอบไปสั้นๆ
“เท่สุดๆ เลยอะ .. หล่อทั้งข้างนอก และข้างใน......” เด็กน้อยดูตื่นเต้นกับการเป็นสัตวแพทย์ของผมน่าดู
“เท่ตรงไหนหรอ ” ผมถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ เพิ่งรู้ว่าคุยกับเพื่อนต่างวัยมันก็จะมึนหัวหน่อยๆ
“ทุกตรงเลยค่ะ...จริงๆ นะ ” พี่คิน...แอรินดูดชานมไข่มุกก็หันมาพูดกับผมไป....
.....
..
.
“แค่กๆๆ คั่กๆๆ พี่คิน ”
ผมก็มัวแต่มองทาง แต่ผิดสังเกตที่เสียงของเด็กจอมจุ้นเงียบไป
“แอริน...” ผมหันไปก็เจอแอรินนั่งหน้าซีดมือกดที่คอของตัวเอง... ผมรีบหักรถเข้าข้างทางทันที
ใช่ครับ...ไข่มุกคงติดคอเพราะเธอทั้งกินทั้งพูดนั่นแหละ
“หันหลัง !!!” ผมรีบปลดสายเบลล์ของตัวเองและหันไปปลดของเธอทันที
ฟุบ.. ผมจับตัวของแอรินนั่งหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง
ก่อนจะโอบกอดบริเวณเอวเธอจากด้านหลัง และกดรัดตัวแน่นๆ ตามหลักปฐมพยาบาลเมื่อมีบางสิ่งติดคอผู้ป่วย...
ผมกอดรัดเพื่อช่วย แอรินอยู่นาน
“เธอกลืนลงไปรึยัง? ” ผมถามแอรินที่ยังคงนั่งนิ่งๆ ไม่ตอบอะไร จนผมเริ่มใจเสียเบาๆ
“ฮึ๊บบบ ” ผมออกแรงกอดรัดช่องท้องเธอแน่นกว่าเดิม
“นี่เธอโอเครึยัง?? ” ผมถามย้ำอีกครั้ง
“แอริน.. แอริน!!!” ผมเขย่าไหล่เรียกแอรินที่ยังคงนั่งนิ่ง แข็งทื่อ
“คะ” ...ในที่สุด วิญญาณก็กลับมาเข้าร่างยัยเด็กต๊องอีกครั้ง
“โอเคขึ้นรึยัง? ” ผมคิดว่าเธอคงกลืนมันลงไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
แอรินก็พยักหน้าตอบเบาๆ
“หน้าเธอยังแดงอยู่เลยนะ ตอนนี้หายใจสะดวกมั้ย ? ” ผมถามคนในอ้อมแขน
“เออ....คือ..ไม่ค่อยสะดวกค่ะ เพราะพี่คินกอดแน่นเกินไป”