ครอบครัว 1/5
“แหมมึงนี่มันยังไงนักหนาวะ ชอบขัดกูเสียจริงๆ เลย”
บุรฉัตรจิ้มแตงโมตรงหน้ามายื่นให้พ่อ เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อเริ่มอารมณ์ไม่ดี
“เอา เอา กินแตงโมไปก่อนพ่ออย่าเพิ่งอารมณ์เสีย”
เพราะถ้าอารมณ์เสียขึ้นมาเดี๋ยวจะพาลทะเลาะกับแม่อีก เธอขี้เกียจฟัง
“เนี่ยแกดูสิตาแก่ บลูมันก็ต้องออกจากโรงเรียนแล้ว แกไม่คิดจะช่วยหาเงินมาให้มันเรียนบ้างหรือไง เงินที่หามาได้ ก็อย่าเอาไปลงแต่กับขวดเหล้า กับ หวยให้มันมากนัก อย่าลืมว่าแกมีลูกอยู่ตั้งสามคน เดี๋ยวบีมมันก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัย ถ้ามันสอบหมอขึ้นมาได้จริงๆ จะเอาเงินที่ไหนมาส่งมันเรียนห๊าเคยคิดบ้างไหม”
พูดเรื่องนี้แล้วขึ้น วันๆไม่เคยคิดอะไรนอกจากหาแต่เลขเด็ด
ถ้าเงินไม่หมดก็ไม่เคยคิดจะดิ้นรนออกไปหางานทำ นี่ดีนะไม่มีหนี้มีสินที่ไหนให้ต้องกังวล แต่ไอ้ผัวตัวดีมันจะเคยคิดบ้างไหมว่าบ้านก็ยังต้องเช่า ข้าวก็ยังต้องซื้อ ค่าเทอมลูกก็ยังต้องจ่าย
ทุกวันนี้ออกไปขายของทุกวันไม่เคยมีวันหยุด แต่ถึงขนาดนั้นลำพังแค่หาเงินให้ลูกไปโรงเรียนในแต่ละวันก็ลำบากจะแย่แล้ว
ยิ่งมาปีนี้เศรษฐกิจมันแย่มาก ขายอะไรก็ไม่ได้เงินเหมือนแต่ก่อน ของเหลือทุกวันทุนหายกำไรหดไปหมดแล้ว
“โอ๊ย แม่มึง มึงจะบ่นไปทำไม มันต้องใช้เงินวันพรุ่งนี้เสียเมื่อไหร่ ถ้ามันสอบติดก็อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงกำหนดจ่ายค่าเทอม มีเวลาหาถมเถไป”
มีเวลาหาถมเถไปงั้นเหรอ มันขึ้น พอได้ฟังแล้วมันขึ้น
“ไอ้แก่ มีเวลาหาถมเถไปอะไรห๊า ถ้าบีมมันสอบติดอีกไม่เกินสองเดือนก็ต้องจ่ายแล้ว เรียนหมอมันต้องจ่ายกี่บาทแกรู้หรือยัง ฉันหามาทั้งชีวิตฉันยังไม่มีเงินเก็บสักบาท แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปหาเงินหมื่นมาจ่ายค่าเทอมให้ลูก ไหนแกบอกมาสิ”
พลาดจริงๆที่เอาคนแบบนี้มาเป็นผัว ตอนนั้นไม่น่าหลงรูปหลงคารมมันเลยจริงๆ เห็นว่ามันหล่อพูดจาดีเลยใจง่ายเอามันมาเป็นผัว
นี่ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้นะ จ้างให้เธอก็ไม่เอา
“โอ๊ยมีเวลาซื้อหวยอีกตั้งหลายงวด งวดหน้าเนี่ยเดี๋ยวรางวัลที่หนึ่งเลย”
เพล้ง! เสียงจานสังกะสีที่ใส่แตงโมงลอยไปอยู่ที่พื้น เมื่อเดือนเพ็ญทนไม่ไหวกับตรรกะทางความคิดของคนเป็นผัว ไม่เคยคิดจะทำงานทำการ หวังแต่จะรวยทางลัด
“แม่! ใจเย็นๆ”
บุรฉัตรดึงแขนแม่ให้นั่งลง เมื่อจานแตงโมลอยละลิ่วไปลงที่พื้นทางฝั่งผู้เป็นพ่อ ไม่อยากให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันเดี๋ยวบ้านข้างๆจะด่าเอา เพราะทะเลาะกันบ่อยเหลือเกิน
ความอายไม่มีแล้วทุกวันนี้ เพราะหน้ามันหนาขึ้นเรื่อยๆ หน้าบางอยู่แถวนี้ไม่ได้ เพราะนี่มันสังคมชาวบ้านแบบที่ใครทำอะไรรู้กันไปหมด
สภาพแวดล้อมทำให้คนอย่างอีบลูต้องแกร่ง
“มันจะใจเย็นไหวได้ยังไงล่ะบลู ดูพ่อแกสิ มันมีความคิดบ้างไหม วันๆคิดแต่เรื่องจะรวยเพราะหวย มันเคยรู้บ้างไหมว่าค่าน้ำค่าไฟค่าข้าวที่ต้องใช้กินอยู่แต่ละวันเนี่ยมันเท่าไหร่ พรุ่งนี้จะมีเงินให้ลูกไปโรงเรียนไหม มันเคยรู้หรือเปล่า”
เดือนเพ็ญทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้วยความท้อใจ ร้องไห้น้ำตาไหลรินด้วยความทดท้อ
หันไปมองลูกชายคนเล็กที่นั่งนิ่งมองพ่อกับแม่ตาแป๋วก็สงสาร หมอบอกว่าลูกชายคนเล็กของเธอพัฒนาการช้า ให้พาไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านพัฒนาการเด็กเพื่อดูเรื่องพัฒนาการเพื่อประเมินอาการ
พาไปแล้วหมอบอกว่าแค่พัฒนาการช้าอาจจะไม่ถึงขั้นเป็นออทิสติกเพราะช่วยเหลือตัวเองได้และยังพูดคุยรู้เรื่อง เพียงแค่ไม่ชอบเข้าสังคมเท่านั้นเอง
คุณหมอแนะนำให้พาลูกไปพบแพทย์เพื่อประเมินพัฒนาการเป็นระยะ แต่เธอก็ไม่มีปัญญาแม้แต่จะพาลูกไปหาหมอตามนัด
เพราะวันไหนที่หยุดขายของก็จะขาดรายได้ เลยได้แต่ดูแลกันไปตามมีตามเกิด ไปโรงเรียนก็เรียนช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน สงสารลูกจนไม่รู้จะสงสารยังไงแล้ว เหนื่อยเหลือเกินแต่ก็ท้อไม่ได้
“โอ๊ยกูล่ะเบื่อแม่มึงจริงๆอีบลู ขี้บ่นเป็นที่หนึ่งจะบ่นให้ได้อะไรขึ้นมา วันนี้อารมณ์ดีก็ต้องอารมณ์เสียเพราะแม่มึงเลยเนี่ย ไม่อยู่แม่งแล้วโว้ย ออกไปหาเหล้ากินดีกว่า”
บารมีลุกออกจากบ้านด้วยท่าทีโมโห เหวี่ยงเก้าอี้ลงพื้นแรงๆแล้วก็เดินออกไป
“พ่อ! เดี๋ยวสิพ่ออย่าเพิ่งไป”
***