C H A P T E R 1 Harlan Gun
“อาจารย์ปล่อยพวกเราช้าไปตั้งยี่สิบนาที หิวข้าวจะแย่แล้ว”
ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับเบลเพื่อนสนิทสุดซี้ที่รู้จักกันเมื่อตอนรับน้องพร้อมสำทับไปว่า “อาจารย์เดินเข้าห้องมาสอนพวกเราเลทไปแค่ห้านาที แต่ปล่อยนักศึกษาอย่างพวกเราเลทไปตั้งสิบห้านาที
จริง ๆ เราควรจะชินได้แล้วแหละแต่ก็ไม่ชินสักที เพราะวิชานี้ชอบทำให้พวกเราหิว!” ฉันกลอกตา ลูบท้อง โคลงหัว ขณะเดียวกันก็ลงมือเก็บชีท เก็บปากกายัดใส่กระเป๋าดินสอแล้วถึงได้หยิบโทรศัพท์ออกมาจากช่องเล็กด้านในหลังจากที่ไม่ได้แตะต้องมันนานถึงสองชั่วโมงกว่า
คลาสนี้อาจารย์แกจัดว่าเข้มงวดเรื่องการใช้มือถือในชั่วโมงเรียนมากถึงมากที่สุด ทุกคนที่ลงเรียนกับแกจะรู้กันถ้วนหน้าว่าถ้าไม่อยากมีปัญหากับแกอย่าได้ควักมันออกมาเชียว เพราะถ้าเกิดสายตาแหลมคมของเจ๊แกดันกวาดมาเห็นเข้ารับรองได้ว่าเรื่องใหญ่แน่นอน เคยมีตัวอย่างให้เห็นกันมาแล้ว แถมยังมีเสียงเล่าลือเสียงเล่าอ้างส่งต่อ กันมาเป็นทอด ๆ ให้ได้ยินประจำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีข้อยกเว้นนะ ย้ำว่าต้องกรณีที่ร้ายแรงจริง ๆ ถึงได้รับการผ่อนปรน
“เออหิวว่าแต่เราจะไปกินข้าวร้านไหนดี ไม่เอาโรงอาหารนะ”
“อือ เบื่อเหมือนกัน งั้นร้านป้านีมะ ไม่ได้ไปกินหลายวันละ”
“Harlan Gun”
ฉันอ่านทวนชื่อของคนที่เพิ่งส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ก เดาว่าน่าจะเป็นคนในมอนี่แหละ รูปโปรไฟล์ก็เป็นเป็นรูปหันหลังฉันเลยมองไม่รู้ว่าเป็นใคร และด้วยความอยากรู้ที่มีมากกว่าปกติฉัน เลยกดเข้าไปดูข้อมูลส่วนตัวเพื่อตรวจสอบดูก่อนว่าควรจะรับหรือไม่รับดี มีเพื่อนร่วมกันไหม ถ้าท่าทางไม่น่าไว้ใจฉันก็ลบทิ้งทันทีเช่นกัน
ถือเป็นความโชคดีของฉันอย่างหนึ่งที่เจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวไม่ได้ปิดกั้นตั้งค่าเฉพาะเพื่อนเท่านั้น ฉันเลยเลื่อนดูเรื่องราวที่ผ่านมาได้ยาว ๆ แต่เซ็งตรงที่มันไม่มีอะไรให้ล้วงให้เจาะลึกข้อมูลส่วนตัวคนแอดมาเท่าไรเลยไง มีแต่คนแท็กเกม แท็กโน่นนี่นั่นมาเต็มไทม์ไลน์จนดูรกไปหมด
เห็นแบบนี้แล้วไม่เซ็งยังไงไหวจริงปะ แต่ถึงจะเซ็งและแอบบ่นในใจแต่ฉันก็ยังไม่คิดจะล้มเลิกความตั้งใจไว้เพียงเท่านี้นะ ยังคงมุ่งมั่นไถนิ้วไล่ดูลึกลงไปเรื่อย ๆ แม้จะเริ่มเมื่อยนิ้วมากแล้วก็ตาม มันต้องมีอะไรให้เห็นบ้างแหละ และพอเลื่อนดูลึกลงไปลึกลงไป
ฉันก็เจอ...
ปืน!
ไม่ใช่ปืนพกพาที่มีไว้ใช้ป้องกันตัวนะ
เป็นปืนที่เป็นคน!
“ร้านรัน ๆ กัน ๆ ที่แกว่ามันอยู่ตรงไหนพริกหวาน”
ฉันเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะใส่ยัยแจนที่ทำหน้างงปนสงสัยใส่ฉัน “อยู่ตรงไหนฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันอะไอ้ร้านรัน ๆ กัน ๆ ของแกเนี่ย” พอฉันบอกไปแบบนั้นยัยแจนผู้ใสซื่อก็ยังคงทำหน้างงใส่ไม่เลิก ฉันเลยต้องอธิบายใช้ชัดขึ้น
“ก็ที่ฉันไม่รู้เป็นเพราะฉันไม่ได้พูดถึงร้านข้าวไงแจน”
“อ้าว แล้วสรุปแกพูดถึงอะไรล่ะถ้าไม่ใช่ร้านข้าว”
“คน”
“ใคร”
“ปืน คนที่ฉันเคยเล่าให้แกสองคนฟังเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนไง ที่เรียนวิศวฯ อะ แกจำกันได้ไหม เขาแอดเพื่อนในเฟซบุ๊กมา” ฉันพูดพลางกดรับคำขอของปืนในที่สุด
“ถามจริง”
“ก็จริงไงแจน”
“ไหนขอฉันกับยัยเบลดูหน้าปืนคนหล่อหน่อยเร็ว”
แน่นอนว่าคนที่ดูตื่นเต้นมากกว่าฉันถึงสองเท่าตอนเห็นรูปที่ปืนถูกเพื่อนแท็กมาชัด ๆ ก็ยัยสองคนนี้นี่แหละ ดวงตานี่เป็นประกายคล้ายลูกแก้วต้องแสงไฟเหมือนกันเด๊ะ ส่วนยัยเบลมันดูรูปไม่ถนัดหรือยังไงไม่รู้ แย่งโทรศัพท์ไปจากมือฉันเลยล่ะจ้ะ สงสัยเรื่องปากท้องคงกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้วล่ะฉันว่า
แต่ฉันไม่นะ ยังหิวเหมือนเดิม มื้อเช้ากินแค่นมกับขนมปัง เพราะสาย
“หูยยยยย หล่ออ่า แบบว่าน่าลากเข้าห้องเก็บสมบัติมากเลยอะแก๊ ตอนแกเล่าให้ฟังฉันก็พยายามจินตนาการถึงความหล่อของปืนตามไปด้วยนะแต่มันถึงภาพไม่ออก จนมาเห็นด้วยสองตาของตัวเองนี่แหละ คือว้าว มากเว่อร์” เบลจีบปากจีบคอพร่ำเพ้อ มองดูแล้วน่าหมั่นไส้และตลกไปในคราวเดียวกัน
อาการนี้คงจะลืมไปจริง ๆ นั่นแหละว่าตัวเองกำลังหิวข้าวอยู่ “ว่าแต่ทำไมปืนถึงเล็ดลอดจากสายตาเรดาห์ของฉันไปได้ล่ะเนี่ย ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนเลย ในเพจของมอก็ด้วย” ยัยเบลยืนกอดอกทำหน้าครุ่นคิดจริงจังหนักมาก คือเพจของมอมีกี่เพจยัยนี่
กดติดตามหมด
บางทีฉันยังอาศัยใบบุญจากคุณนายเบลเลย
ส่วนอีกคนก็...
“ชื่อโหดแต่หน้าตาไม่โหดตามชื่อเลยอ่าแก ปืนหล่อมากแบบมากจริง ๆ ขอฉันสมัครเป็นเอฟซีคนคิ้วท์ ๆ อย่างปืนได้ปะพริกหวาน” ยัยแจนหันหน้ามาถามฉันอย่างมีความหวังขั้นสุด คือการจะสมัครเป็นเอฟซีใครต้องถาม ต้องขออนุญาตกันด้วยเหรอ แล้วฉันก็ไม่ใช่ผู้จัดการส่วนตัวเขาสักหน่อย
“แกดูจำนวนคนกดติดตามดิแจน อย่างเยอะอะ”
“เออ ฮอตฉ่า”
“นี่พวกแกไม่หิวข้าวกันแล้วเหรอ เที่ยงกว่าแล้วนะ” ฉันเลิกคิ้วเอียงคอและกอดอกมอง อาศัยจังหวะที่ยัยปลากระดี่เห็นคนหล่อ แล้วน้ำไม่หิว ข้าวไม่อยากกะทันหันสองคนเงยหน้าบาน ๆ ขึ้นมาจากหน้าจอแล้วฉกมือถือหย่อนใส่กระเป๋าตามเดิม กวาดตามองรอบห้องเรียนปรากฏว่าเพื่อนร่วมคลาสร่วมร้อยคนหายกันไปหมดแล้ว เหลือแค่พวกเราสามคนแค่นั้นที่ยังปักหลักอยู่ที่เดิม
“หิวสิ” แจนตอบ
“แต่ความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่า” ยัยเบลเสริมยัยแจนแล้วพากันหัวเราะคิกคักหลังตบมุก รับส่งจังหวะกันได้ ก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋ามาคล้องไหล่ ควงแขนฉันคนละข้าง พร่ำเพ้อหลงละเมอถึงความหล่อน่ารักน่าลากของปืนไม่หยุดปากไปตลอดทาง แถมยังมีแวะมาอวยฉันอีกว่าโชคดีได้โชคสองเด้งงั้นงี้
ฉันเลยรับมุขด้วยการจ้าลากยาวทะลุดาวอังคารไปเลย ซึ่งแน่นอนล่ะว่าฉันประชดยัยสองคนที่เดินขนาบข้างฉัน คุยเสียงจุ๊กจิ๊ก กระซิบไม่ได้หยุดจนกระทั่งถึงร้านป้านี ร้านอาหารตามสั่งสารพัดเมนูขวัญใจของชาวคณะนักศึกษาที่ตั้งอยู่หลังมอ คำว่าปืนจึงหายไป
“คนแน่นมาก จะได้กินตอนไหนเนี่ย โต๊ะนั่งก็ไม่รู้ว่ามีรึเปล่า” ขอพื้นที่บ่นหน่อยเถอะ มองจากด้านนอกเข้าไปด้านในนี่เห็นแต่หัวคนให้ดำอะ คือความอดทนในการรอฉันมีนะ แต่บางทีถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากรอ
แล้วคือใครได้มากินร้านนี้นะร้อยทั้งร้อยติดใจจนต้องวกกลับมาซ้ำอีกจนนับครั้งไม่ถ้วนทั้งนั้น เพราะนอกจากจานใหญ่ ให้เยอะแล้วยังอร่อยถูกปาก ราคาไม่แพงด้วย และส่วนใหญ่ลูกค้าที่เข้ามากินคือมากันแบบปากต่อปาก รุ่นสู่รุ่น
“ลองเข้าไปดูก่อนน่าพริกหวาน ถ้าไม่มีโต๊ะเราค่อยย้ายไปกินร้านอื่น อีกอย่างกว่าพวกเราจะเข้าเรียนวิชาสุดท้ายของวันนี้ก็ตอนบ่ายสองโมงสิบห้าโน่นแน่ะ มีเวลารอเหลือเฟือ” คุณนายเบลจีบปากจีบคอทั้งที่ตอนแรกเลยบ่นอาจารย์ว่าปล่อยช้า หิวข้าวจะแย่ แล้วก็เหมือนจะลืมไปเมื่อเห็นรูปปืน
เวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่นาที ดูเพื่อนฉันตอนนี้สิ ดูออกแหละว่าหิวข้าว แต่ก็ยังดึงดันจะรอโต๊ะที่นี่ แล้วก็โน่น เดินนำหน้าฉันกับยัยแจนเข้าไปด้านในโน่นแล้ว
คือต่อให้คนเยอะแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกความตั้งใจถ้าไม่ถึงที่สุดจริง ๆ เพราะนางบ่นว่าอยากกินผัดกะเพราหมูกรอบของร้านป้านี ตั้งแต่ออกมาจากตึกคณะแล้ว ส่วนฉันกับยัยแจนแม้จะลอบมอง
หน้ากัน ส่ายหน้าเบา ๆ แต่เพื่อนว่าไงก็ว่าตามกันอยู่ดี ถึงแม้ร้านข้าวราดแกงที่อยู่ข้างกัน และร้านก๋วยเตี๋ยวหมูอบ ข้าวอบหม้อดินในฝั่งตรงข้ามคนจะน้อยกว่านี้เยอะมากก็ตาม
“นั่นไง! โต๊ะนั้นลุกแล้วเบล” แจนชี้มือไปทางโต๊ะติดกับ
ลำคลองเล็ก ๆ ที่คนตรงนั้นกำลังทยอยลุกออกจากโต๊ะไม้หลังจ่ายเงินป้าเจ้าของร้านที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นคนเก็บเงินแทนการผัดอาหารเสร็จไปทีละคนสองคน คือที่นี่ต้องอาศัยความไวของทั้งสายตาและการเดินเร็วเช่นเดียวกับการหาที่นั่งในโรงอาหาร และตาม Food Court ของห้างสรรพสินค้าในช่วงตอนพักกลางวัน
ลูกจ้างในร้านเองก็ทำงานคล่องแคล่วว่องไวไม่ต่างกัน เก็บจาน เช็ดโต๊ะ แป๊บเดียวพวกเราสามคนก็ได้หย่อนก้นนั่งจดเมนูลงกระดาษแผ่นน้อย เบลสั่งผัดกะเพราะหมูกรอบตามปรารถนา แจนสั่งสุกี้ทะเลแห้งแบบพิเศษเครื่อง ส่วนฉันนั่งเท้าคางลังเล เคาะปากกาเล่นอยู่แป๊บหนึ่ง ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะกินอะไร สุดท้ายก็เลือกสั่งผัดกะเพราปลาหมึกกับกุ้ง และต้มจืดเต้าหู้หมูสับใส่สาหร่ายมาอีกหนึ่งถ้วยเอาไว้ตัดความเผ็ดร้อน โดยส่วนตัวฉันกินเผ็ดมากไม่ได้ไง แต่เวลากินอะไรเผ็ด ๆ ก็ไม่คิดจะสั่งแบบใส่พริกน้อย ชอบทรมานลิ้นตัวเองเล่น
เข้าข่ายโรคจิตชนิดหนึ่งแหละฉันว่า
“พวกแก”
“ว่า” ฉันขยับริมฝีปาก เงยหน้ามองยัยแจน
แจนวางถาดพลาสติกที่ใส่แก้วน้ำแข็งกับขวดโค้กแบบแก้วสองขวดลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าตื่นเต้นหลังเดินกลับมาจากจุดที่ตั้งเครื่องดื่มสารพัดน้ำสำหรับบริการตัวเอง ยังไม่ทันจัดแจงแจกจ่ายก็รีบชะโงกหน้าเข้ามากลางโต๊ะ ทำตัวมีลับลมคมนัยแบบมองยังไงก็จับได้ ก่อนจะกระซิบเสียงลอดไรฟันโดยที่ฉัน หรือเบลไม่ต้องถามย้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฉันว่าฉันเห็นปืนสุดหล่อของแกนะพริกหวาน” ยัยแจนบอกพลางเหล่สายตาไปยังทิศทางที่ปืนอยู่ด้วยอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ซึ่งฉันติดอยู่นิดเดียวแหละ
ตรง... ‘ปืนของแกเนี่ย’
เขาเป็นของฉันตอนไหนไม่ทราบ!
ก็แค่คนรู้จักแบบผิวเผินไหมยัยเพื่อนบ้านี่!
จะทักท้วงก็นะ
เอาเป็นว่าผ่านแล้วผ่านเลยละกัน ขี้เกียจต่อความยาว
“ปืนจริงเหรอแก ถามจริง” เบลถามย้ำน้ำเสียงตื่นเต้น
“ฉันว่าใช่” ยัยแจนว่างั้น ส่วนยัยเบลไม่รอช้ารีบหันพรึ่บไปอย่างรวดเร็ว ยังกลัวคอมันจะหัก ก่อนจะหันกลับมาพยักหน้ารัว ๆ ยืนยันว่าใช่อีกหนึ่งเสียง คะยั้นคะยอให้ฉันหันไปดูด้วยการทำหน้าทำตาบังคับขั้นสุด
“แกสองคนเล่นใหญ่ไปไหม” ฉันบ่นอุบ พลางกลอกลูกตามองบนแล้วถึงได้หันไปทางขวามือของตัวเอง ปรากฏว่าคนที่เพื่อนคิดว่าใช่ก็เป็นปืนจริง ๆ นั่นแหละ และด้วยลักษณะการนั่ง คือเขาหันหน้ามาทางฉันนะ แต่ด้วยตำแหน่งที่ฉันนั่งถ้าเขามองมาจะเห็นแค่ด้านข้างซึ่งไม่มั่นใจเท่าไรว่าเขาจะสังเกตเห็นฉันไหม แล้วโต๊ะเราสองคนก็ไม่ได้ว่าใกล้กัน ประกอบกับคนในร้านมีเยอะมาก
คนที่นั่งก็นั่งกันไป ส่วนคนที่เดินก็เดินกันขวักไขว่ ไม่ขาดตอนเลยสักวินาทีเดียว มีทั้งไปตักน้ำแข็ง หยิบน้ำ ส่งใบรายการอาหารให้บรรดาป้า ๆ แม่ครัว เข้าห้องน้ำ ออกไปสูบบุหรี่ ฉันเลยก้ำกึ่งระหว่างเห็นกับไม่เห็น
“ไม่คิดทักปืนสักหน่อยเหรอแก ไหน ๆ พวกเรา เอ๊ย! แกก็เห็นเขาแล้วอะ” ฉันค้อนยัยเพื่อนช่างยุที่ออกนอกหน้าสนับสนุนให้ฉัน
ทักผู้ชายที่ไม่เฉียดเข้าใกล้คำว่าสนิทสนมเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง ยัยแจนก็อีกคน ส่งสายตาปิ๊ง ๆ พยักหน้ารัว ๆ ปากก็งับหลอดดูดน้ำโค้กไปด้วย
“ทักแล้วยังไง ไม่ทักแล้วยังไง” ฉันถามแต่ไม่รอให้ใครได้
อ้าปากสวนกลับ “เราสามคนก็อยู่ในส่วนของพวกเราไปเถอะน่า
อย่าไปยุ่งกับเขาเลย” ฉันดับฝันเบลกับแจน ซึ่งยัยสองคนนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง พร้อมใจกันสะบัดค้อนใส่ฉันรัว ๆ หลังไม่ยินยอมทำตาม
คำร้องขอกลาย ๆ แต่ฉันโนสนโนแคร์จ้ะ ไถนิ้วในหน้าไอจีสลับพิมพ์แชตคุยกับเบนนี่เพื่อนชายหัวใจหญิงต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซึ่งแน่ล่ะว่ามันไม่จริง
ในหัวฉันยังคิดเรื่องปืนอยู่
จู่ ๆ จะให้เดินตรงปรี่เข้าไปทักแล้วพูดคำว่าสวัสดี ต่อด้วยคำถามเบสิกอย่างเช่น สบายดีไหม พักนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยเนอะ มันก็ไม่ใช่ใช่ไหมล่ะ หรือจะให้ฉันพยายามหาจังหวะสบตาทักทายให้จงได้มันก็ดูยังไงอยู่ ดีไม่ดีอาจคิดว่าฉันกระเหี้ยนกระหืออยากคุย
ฉันไม่อยากถูกเข้าใจผิด อีกอย่างวันนั้นเขาเองก็ไม่ได้มีทีท่าสนใจอะไรฉันเท่าไรด้วย แค่ทำหน้านิ่งไล่ตามมาหลังจากฉันออกจากหอสมุดพร้อมประโยคที่ว่า...
‘มันมืดแล้วเห็นไหม’
แล้วเราก็แยกกันตรงป้ายรถเมล์ ที่เขาแอดเฟซบุ๊กมาฉันก็ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาสนใจหรืออะไรก็ตาม ฉันเดาความคิดเขาไม่ออก เพราะฉะนั้นแล้วการ
ทำเป็นเหมือนว่าไม่เห็นเขามันดีที่สุดแล้วล่ะฉันว่า ไว้มีโอกาสปะทะหน้ากันจัง ๆ ค่อยทักดีกว่า ทักตอนนี้ใช่ว่าจะดี ดีไม่ดีอาจเป็นการหาเรื่องใส่ตัวด้วย เพราะที่นั่งหัวโด่เด่ ดำบ้างน้ำตาลบ้าง พูดคุยเสียงดังเจี้ยวจ้าว สาดใส่คำหยาบสารพัดอยู่เนือง ๆ กับปืนนับสิบคนที่โต๊ะนั้นน่ะ บรรดาเพื่อน พี่ น้องชาววิศวฯ ของเขาทั้งนั้นเลย กลุ่มคนในคณะนี้ยิ่งขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของฝีปากอยู่ด้วย ขืนทักไม่ดูตาม้าตาเรือตัวฉันคงกลายเป็นหัวข้อสนทนาหัวข้อใหม่แน่ ๆ
ฉันผู้ซึ่งไม่อยากเป็นศูนย์รวมความสนใจ ไม่อยากถูกแซว ดังนั้นฉันเลยเลือกที่จะทำตัวเองให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ และใช่เพื่อนฉันยังไม่หยุดพร่ำเพ้อถึงรูปลักษณ์ของปืน น่าหมั่นไส้สุด ๆ ไปเลยล่ะ
“ฉันให้คำนิยามความหน้าตาดีของปืนไม่ถูกเลยอะพวกแก มองมุมหนึ่งก็หล่อ อีกมุมก็น่ารัก โอ๊ย แล้วยิ่งมองใจฉันยิ่งละลายลงไปทุกทีสิน่า” เบลนั่งเท้าคางพลางทำหน้าเคลิ้มฝัน ยิ้มหวาน ตาเยิ้ม โทรศัพท์นี่ถึงกับเลิกเล่นไปเลย
“ใครได้เป็นแฟนปืนคงโชคดีน่าดู แฟนหล่อซะขนาดนั้น อยากรู้จังว่าใครจะได้เป็นผู้โชคดีคนนั้น” ยัยแจนก็ใช่ย่อย เป็นลูกคู่กับยัยเบล
ส่วนฉันไม่ได้ออกความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องของปืนอีก แต่ก็เหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งอะ ขณะกำลังไถไอจีสลับกับคอยตอบไดเร็คเมสเสจนังเบนนี่หนึ่งในเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมที่ขยันส่งรูปผู้ชายฝรั่งหน้าตาหล่อเหลาก้ามโตให้ดูอยู่ จู่ ๆ แชตของเฟซบุ๊กก็เด้งขึ้นมาเป็นรูปโปรไฟล์ปืนหันหลังรูปเดิมนั่นแหละ และด้วยความที่ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดอ่านข้อความของเขาทันทีทันใดแต่ปลายนิ้วหัวแม่มือดันเผลอไปสัมผัสโดนเจ้าวงกลมเข้าแบบพอดิบพอดี หน้าต่างแชตที่ว่ามันเลยเด้งพรึ่บขึ้นมาต่อหน้าต่อตา อยากจะตบหน้าผากตัวเองดัง ๆ
Harlan : หลบ ?