บทที่ 11
วิหารสีขาวสวยงามตั้งอยู่ตรงหน้าหลังเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่ถ้าเป็นสิ่งก่อสร้างในโลกเก่า ที่นี่ก็แค่ซากปรักหักพังหลังแมนไคน์ล่มสลาย โรซาเลียมองวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก คิดถึงก็ไม่ใช่ ไม่อยากกลับมาที่นี่ก็ไม่เชิง หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะหันมามองคนข้าง ๆ ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังอยู่กับเธอโดยไม่จากไปไหน
“ท่าทางชีวิตข้าจะผูกติดกับที่นี่ ขนาดไปอยู่ซาตาน่าตั้งหลายปี สุดท้ายก็กลับมาเหยียบที่นี่เหมือนเดิม” โรซาเลียได้ความทรงจำมาเกือบทั้งหมดแล้ว คราวก่อนยังจำได้ไม่หมด พอมาเหยียบวิหารจึงไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรอัดแน่นอยู่ในใจ
ใกล้ ๆ กับตัววิหารคือลานกว้างที่มีผู้คนเดินสวนไปสวนมามากมาย สาวผมแดงมองไปยังพื้นที่นั้น ภาพซ้อนทับในโลกเก่าปรากฏขึ้น ผู้กล้าที่ล้มเหลวถูกตีจนขาแทบหักก่อนจะถูกจับโยนใส่กองไฟ สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เธอกระเสือกกระสนหนีออกมา แต่ก็ถูกลากกลับไปมัดติดต้นเสาท่ามกลางเพลิงศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม คำสาปแช่งของผู้คนดังแว่วมาจากทุกทิศทางชนิดที่ว่าจะเหยียบให้คนได้ยินถึงกับจมดินไปเลย
“โรซาเลีย”
“ข้าไม่เป็นไร มีเจ้าอยู่ด้วยทั้งคน ข้าจะไปกลัวอะไรล่ะ” เธอรู้ดีว่าแม้แต่วินาทีสุดท้าย ไนเจลลัสก็จะอยู่ข้างเธอ หญิงสาวจึงไม่รู้สึกกังวลหากจะต้องมาเหยียบสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องไม่น่าจดจำ
หลังหาที่ซ่อนตัวให้ลูเซียนและให้เขาหลบอยู่ที่นั่น สองหนุ่มสาวก็มาที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ฝ่ายชายมีพลังของโรซาเลียอำพรางไว้อยู่จึงไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นชาวซาตาน่า ทางด้านสาวผมแดงก็แต่งตัวเหมือนนักเดินทางธรรมดาจากนั้นเธอก็เดินนำหน้านายน้อยจากแดนปีศาจเข้าไปข้างในวิหารซึ่งหลังผ่านประตูเข้าไปก็จะเป็นห้องโถงที่มีรูปสลักของเทพีผู้สร้างโลกไว้ให้ประชาชนทั่วไปมาสวดภาวนาและขอพรโดยมีนักบวชคอยดูแลความเรียบร้อย
“จะทักทายท่านเทรเวน่าไหม” ไนเจลลัสหันมาถาม
“ข้าเคยเป็นคนของวิหารนะ ข้าต้องทำอยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะ ชาวซาตาน่าจะทำหรือเปล่า” โรซาเลียถามกลับเพราะคนที่ช่วยให้ไนเจลลัสมาที่นี่ได้ก็คือเทพีผู้สร้างโลก
“ข้าเป็นปีศาจ”
“งั้นยืนรออยู่เฉย ๆ ก็พอ” เจ้าของเสียงหวานเดินแยกกับคู่สนทนาแล้วไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกชาวบ้านตามด้วยประสานมือคล้ายคนกำลังอธิษฐาน
ปีศาจในคราบมนุษย์ถอยไปยืนใกล้ ๆ ต้นเสาจะได้ไม่เกะกะขวางทางคนอื่น นัยน์ตาสีแดงโกเมนเฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่ห่าง ๆ ถ้าไม่นับเรื่องที่เธอใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่เต็มที่ โรซาเลียก็แทบไม่มีอะไรต่างจากเมื่อก่อนเลย พลันลมอ่อน ๆ วูบหนึ่งก็พัดมา พลังปีศาจมีปฏิกิริยาตอบสนองทำให้ไนเจลลัสเพ่งมองไปที่ผู้กล้า เธอกำลังใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเดาไม่ผิดคงกำลังกระจายพลังเพื่อค้นหาว่าในวิหารมีใครบ้างที่มีพลังเหมือนกับอำนาจตกค้างในสุสานจอมมาร
'หรือจริง ๆ แล้วนางแค่ทำทีไปสวดภาวนา' เขากล่าวในใจก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อดูว่ามีนักบวชคนไหนรู้ตัวบ้างหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครรู้ตัว ไนเจลลัสจึงพอโล่งใจอยู่บ้าง
แม้โรซาเลียจะใช้พลังได้ไม่เต็มที่เท่าร่างเดิม แต่อย่างน้อยระดับพลังของเธอก็สูงกว่านักบวชอาวุโสบางคนและมีความสามารถพอปกปิดตัวตนเพื่อไม่ให้ผู้ใช้อำนาจแบบเดียวกันรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ ไนเจลลัสเห็นร่างบางลุกขึ้นทำความเคารพรูปสลักเทพีผู้สร้างโลกจากนั้นเธอก็เดินกลับมาหาเขา
“เป็นไงบ้าง”
“ข้าหาไม่เจอ ท่าทางจะไม่ได้อยู่ในวิหาร”
“งั้นก็ต้องอยู่ในพระราชวัง” คนพูดจับมือหญิงสาวแล้วพากันเดินออกมาจากตัววิหารศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะมองไปยังทิศที่ตั้งของพระราชวังสีงาช้างซึ่งในโลกเก่าก็ถูกทำลายไปพร้อมการกวาดล้างมนุษย์
“ไปตามลูเซียนกันเถอะ มีเขาเท่านั้นที่จะช่วยพาเราเข้าไปได้” โรซาเลียเดินนำหน้าอีกฝ่าย ไนเจลลัสรีบตามหลังไปติด ๆ จะได้รีบไปหาผู้กล้าคนที่ยี่สิบสามไว ๆ เกิดเจ้าตัวนึกอยากหนีขึ้นมาจะได้ลากกลับทัน
อีกด้านหนึ่งระหว่างที่ลูกชายกับหลานสาวไปที่แมนไคน์ เอราเคียก็รู้สึกแปลก ๆ คล้ายกับอยู่ไม่สุข ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีความกังวลเกิดขึ้นในใจเสมอ จอมมารลำดับที่สิบห้าจึงตัดสินใจมาหาจอมมารตนแรกที่ห้องทดลอง เจ้าตัวกำลังคัดแยกสมุนไพรอยู่พอดี เมื่อหันมาเห็นว่าใครมาจึงหยุดงานที่กำลังทำอยู่ทันที
“มีอะไรหรือเปล่า สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีเลย”
“ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเรื่องอะไร” เอราเคียเดินไปนั่งที่โซฟาแต่มีมี่กับมินนี่จองที่ก่อนแล้ว พอเห็นผู้มาทีหลังจึงชูคอขึ้นพลางแผ่แม่เบี้ยเตรียมโจมตี “ตบไหม จะได้จบ”
“ฟ่อ...” งูพิษสองตัวค่อย ๆ ลดหัวลงแล้วเลื้อยลงจากโซฟากลับไปหากล่องไม้ที่จำลองให้เป็นบ้านของทั้งสอง จอมมารสาวส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วนั่งแทนที่พวกงู
“เจ้าอยากปรึกษาข้าเหรอ” โอดิสเซียสเดินมานั่งด้วยก่อนจะรินน้ำชาให้ กลิ่นหอม ๆ คล้ายดอกกุหลาบทำให้เอราเคียรีบยกถ้วนชาขึ้นมาจิบเพราะเป็นชาที่ชอบ
“ข้ารู้สึกไม่ดี ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ข้าคิดว่าข้าอาจจะกังวลเรื่องผู้กล้าคนใหม่ แต่คิด ๆ ดูแล้วก็ไม่น่าใช่ แต่ที่บอกได้ ส่วนหนึ่งเพราะข้าเป็นห่วงโรซาเลียกับไนเจลลัส แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่ใช่ ข้ารู้สึกร้อนใจแล้วก็ระแวงอย่างกับกลัวจะมีคนมาทำร้ายเลย” เธอพ่นลมหายใจยาว ช่วงนี้มีแต่เรื่องน่าหนักใจเข้ามาตลอด ทั้งเรื่องผู้กล้า การบุกรุกสุสานจอมมาร และการเดินทางของหลานสาวกับลูกชาย ไม่รู้ว่าตอนไหนเรื่องจะจบลงสักที “โอดิสเซียส ท่านเคยเป็นแบบข้าไหม”
“ไม่”
“...”
“แต่เคยได้ยินเรื่องเล่าหนึ่งจากแมนไคน์ ว่ากันว่าก่อนจะเกิดเรื่องร้าย ๆ บางคนก็มีลางสังหรณ์ ถ้าไม่ใช่เหตุการณ์แปลก ๆ รอบตัวก็เป็นที่ความรู้สึก” เขาเคยใช้ชีวิตในแดนมนุษย์มาระยะหนึ่งจึงพอจะรู้เรื่องของที่นั่นมาบ้าง และคิดว่าน่าจะเอามาใช้กับชาวซาตาน่าได้
“จอมมารลำดับที่สามหายตัวไป ท่านคิดว่าจะเกี่ยวกับที่ข้ากังวลไหม”
“อาจจะเกี่ยว อย่างที่บอกไป เขายังไม่ตายแต่โดนผนึก ถ้าตื่นขึ้นมา ไม่ต้องเดาเลยว่าเขาอยากได้อะไร” โอดิสเซียสย้ำเตือนให้เอราเคียระวัง ถึงเธอจะเป็นลูกหลานแต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อน
“ท่านจอมมาร ๆ” โมรอสวิ่งเข้ามาทางประตูอย่างร้อนรนเรียกความสนใจจากคนในห้องไปทันที “เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ พวกท่านต้องรีบไปที่ ‘ห้องตะเกียงชีวิต’ เดี๋ยวนี้เลย!”
คำบอกเล่าของเด็กหนุ่มทำให้จอมมารทั้งสองรีบออกจากห้องโดยเร็วก่อนจะพากันไปที่ห้องตะเกียงชีวิตซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินของปราสาทเกเดียน สถานที่แห่งนี้ไม่ให้ใครเข้ามานอกจากจะได้รับอนุญาตเพราะภายในห้องมีลักษณะปิดทึบและเต็มไปด้วยเสาที่แขวนตะเกียง ดวงไฟด้านในคือสิ่งที่บ่งบอกถึงชีวิตของจอมมารและคนในตระกูลทุกคน นอกจากจอมมารกับคนในครอบครัวแล้วก็มีโมรอสอีกคนที่เข้ามาในนี้ได้
“พวกท่านดูตะเกียงชีวิตของจอมมารทาลอเรียนสิ” โมรอสชี้ให้ทั้งสองดูหลังจากเข้ามาในห้อง โอดิสเซียสนำตะเกียงสีดำที่สลักลวดลายสวยงามลงมาจากเสาแขวน ดวงไฟที่ควรจะดับไปแล้วกลับปรากฏขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณเตือนว่าเจ้าของตะเกียงตื่นขึ้นมาแล้ว
“เมื่อก่อนในห้องนี้มีแต่ตะเกียงของข้าเท่านั้นที่ยังมีไฟ ไม่น่าเชื่อว่า...” ในห้องนี้มีตะเกียงของเอราเคียด้วย ไฟในนั้นยังสว่างเหมือนเดิม แสดงให้เห็นว่าเธอยังมีชีวิต ในขณะที่ตะเกียงของจอมมารรุ่นอื่น ๆ นั้นดับไปนานแล้ว ยกเว้นของโอดิสเซียสที่มีไฟขึ้นมาอีกครั้งหลังได้ความทรงจำทั้งหมดคืนและกลับขึ้นจากเหว
“ถ้าคาดเดาจากนิสัย ข้าว่าทาลอเรียนคงหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่การที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่างทำให้เขาไม่อาละวาดแล้วเลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ” อดีตจอมมารกล่าวพลางแขวนตะเกียงชีวิตไว้บนเสาตามเดิม “แต่เราควรระวังหน่อยก็ดี ยิ่งตอนนี้โรซาเลียกับไนเจลลัสไปที่แมนไคน์ เตรียมทหารชายแดนไว้รอช่วยพวกเขาตอนที่ข้ามเขตแดนมาดีหว่า”
“ข้าจะรีบไปสั่งการ” เอราเคียรีบวิ่งออกจากห้องไป เหลือแค่โอดิสเซียสกับโมรอสสองคนเท่านั้นที่ยังอยู่ในห้องต่อ ซึ่งทั้งสองก็มีสีหน้าหนักใจไม่แพ้กัน
“ถ้าสภาพข้ายังเหมือนสองพันปีก่อน ก็คงไม่ต้องกังวลแบบนี้” จนถึงตอนนี้พลังของผู้กล้าเลโอนาร์ดก็ยังไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ราวกับว่าเจ้าของที่แท้จริงใช้มันสาปเขาไว้
“เวทดูดพลังแปลกปลอมทุกบททั้งของซาตาน่าและแมนไคน์ เราลองมาหมดแล้วก็ไม่ได้ผล ท่านจอมมาร ข้าคิดว่าคงมีแต่เจ้าของที่แท้จริงเท่านั้นที่จะเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ออกไปได้” หลายปีมานี้สองนายบ่าวไม่ได้อยู่เฉย ๆ พวกเขาพยายามนำพลังของเลโอนาร์ดออกมาแต่ก็ไม่ได้ผลเลย
“จะให้ข้าคุกเข่าขอร้องไอ้ผู้กล้านั่นเหรอ ฝันไปเถอะ” ถึงเขาจะเลิกก่อเรื่องแล้ว แต่ศักดิ์ศรีความเป็นจอมมารมันค้ำคอ โอดิสเซียสจึงไม่คิดจะขอร้องให้วิญญาณของศัตรูช่วยแน่ถ้าอีกฝ่ายมาปรากฏตัวต่อหน้า
“จอมมารทาลอเรียนเป็นจอมมารที่มีพลังมากที่สุดในประวัติศาสตร์ซาตาน่า ในการต่อสู้กับแมนไคน์ มีหลายอย่างเขาล้ำหน้ากว่าท่านจอมมาร ยิ่งตอนนี้พลังของท่านมีปัญหา ข้าว่าเราคงลำบากแน่” โมรอสอยู่มานานหลายยุคสมัย จอมมารแต่ละรุ่นเป็นยังไง เขาเห็นมาหมดแล้ว ทำให้ตอนนี้เขาเป็นห่วงเจ้านายมาก
“ข้าไม่ยอมแพ้หรอก มันต้องมีสักทางที่แก้ไขได้” โอดิสเซียสเดินออกจากห้องตะเกียงชีวิต จุดหมายที่จะไปคือหอสมุดของปราสาทเกเดียน ถ้าเวทมนตร์แบบเดิมใช้ไม่ได้ผลก็มีแต่ต้องรื้อเวทมนตร์แบบอื่นมาใช้เท่านั้น
ตราบใดที่ยังไม่ยอมแพ้ ทางออกมันต้องปรากฏสักวัน!
การกลับมาของสองหนุ่มสาวจากซาตาน่าทำให้ลูเซียนที่นั่งหน้าบูดอยู่ใกล้ ๆ กับบริเวณที่ทิ้งขยะของเมืองหลวงซิเดร่าถึงกับถอนหายใจยาว ไม่รู้ว่าโรซาเลียคิดยังไงถึงจับเขามาหลบอยู่แถวนี้ เหม็นก็เหม็น สกปรกก็สกปรก แต่ในเมื่อทั้งสองกลับมาแล้ว เขาก็คงจะได้ไปจากที่ซ่อนสุดโสโครกนี่สักที
“เจออะไรหรือเปล่า”
“ไม่เลย” สาวผมแดงส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “พวกข้าจะเข้าไปในพระราชวัง คราวนี้คงต้องรบกวนเจ้าแล้วล่ะ” อีกฝ่ายเป็นคนในจึงเป็นความหวังเดียวของเธอ
“ทางด้านหลังพระราชวังจะมีประตูลับที่ข้ากับน้องสาวเคยใช้เวลาแอบออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ถ้าไม่มีใครหาเจอ ทางนั้นก็น่าจะใช้เข้าไปข้างในได้” ลูเซียนให้คำแนะนำพลางดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมศีรษะ “ในวัง คนที่ข้าไว้ใจก็มีน้องสาวนี่แหละ เราเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน รับรองว่าไม่มีปัญหา”
“ขอให้จริงเถอะ ข้าเห็นมาเยอะแล้ว พี่น้องฆ่ากันเองเนี่ย” โรซาเลียไม่ค่อยไว้ใจนัก ขนาดพี่สาวคนโตของเธอยังหาเรื่องทะเลาะได้แทบทุกวัน นับประสาอะไรกับลูกผู้มีอำนาจ
“จะเข้าไปเวลาไหน” ไนเจลลัสถามเสียงเรียบ
“กลางวันคนเยอะ ขืนเดินเข้าไปในเมืองเกิดเจอคนของราชินีเข้า ข้านี่แหละจะซวย ไปตอนกลางคืนดีกว่า” ลูเซียนคำแนะนำพลางโบกมือไล่กลิ่นรบกวนจากกองขยะ “แต่เราควรไปรอที่อื่น ขืนอยู่แถวนี้ต่อไปข้าคงเป็นลมตายแน่”
“ก็ได้ ๆ ไปที่อื่นกัน”
สุดท้ายโรซาเลียก็รีบพาทุกคนไปที่อื่น
ในที่สุดยามราตรีก็ผ่านมาเยือนเมืองหลวงของอาณาจักรซิเดร่า ผู้กล้าจากโลกเก่าที่พาทุกคนไปนั่งแช่ในร้านเหล้าก็พากันออกมาข้างนอกซึ่งเป็นถนนที่มีผู้คนเดินสวนไปสวนมา โรซาเลียไม่รู้สึกหิวเพราะสั่งอาหารพร้อมเบียร์มาดื่มเพื่อเติมพลังงานแล้ว แต่พอหันกลับไปมองสองหนุ่มที่ตามออกมา ลูเซียนมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ จนต้องถามกลับ
“มองอะไรของเจ้า”
“ข้าแค่ไม่นึกว่าผู้กล้าอย่างเจ้าจะกินเบียร์ ตอนแรกนึกว่าจะสั่งค็อกเทลซะอีก” ถ้าเป็นผู้กล้าชาย เขาจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิด ทางวิหารศักดิ์สิทธิ์อนุญาตให้ผู้กล้าหญิงดื่มได้แค่ค็อกเทลเท่านั้น แต่ใครจะไปรู้ว่าแม่คุณอัพเกรดไปถึงขั้นกระดกเบียร์แล้ว
“ข้าก็ดื่มค็อกเทลนะ แต่ข้าอยากดื่มอย่างอื่นเผื่อไว้ เวลาใครมอมเหล้าจะได้ไม่เป็นไร” จากนั้นโรซาเลียก็เบนสายตามาทางไนเจลลัส “เจ้าก็หัดดื่มเหล้าซะบ้าง คออ่อนอย่างนี้ ในโลกเก่าเจ้ารอดมาได้ยังไงเนี่ย”
“เจ้าไม่ดื่มพวกเหล้าเบียร์เหรอ” ลูเซียนหันมาถาม
“ไม่กิน” นายน้อยแห่งซาตาน่าตอบสั้น ๆ
“...”
“เอาเถอะ ๆ ผู้ชายในโลกนี้ก็มีมากมายที่ไม่ชอบดื่มเหล้า อย่าไปทำหน้าแปลก ๆ ใส่เขาเลย ไนจี้ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ” พอเห็นผู้กล้าคนที่ยี่สิบสามมองคนใกล้ตัวด้วยสายตาประหลาดใจ โรซาเลียจึงขัดคอแล้วกวักมือเรียกทั้งสองให้เดินตาม “ช่วยนำทางหน่อย เจ้าชาย”
“ตามมา” กล่าวจบ ลูเซียนก็ดีดตัวขึ้นไปบนหลังคาบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดจากนั้นก็วิ่งไต่หลังคานำหน้าทั้งสองไปยังทิศที่ตั้งของพระราชวัง เพียงแต่ไม่ได้ไปทางด้านหน้าเพราะเส้นทางที่จะใช้อยู่ทางด้านหลังของพระราชวัง
ทั้งสามทิ้งตัวจากหลังคาบ้านลงมาบนถนนหลังวังที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน ลูเซียนมองซ้ายมองขวาก่อนจะวิ่งไปคลำหาอะไรสักอย่างบนพื้น จนกระทั่งเจอบริเวณที่ต้องการแล้วจึงดันพื้นลงไป เสียงเหมือนมีกลไกบางอย่างทำงานดังแว่วมาจากในกำแพง พลันผนังตรงหน้าก็ยุบตัวลงไปเป็นช่องแคบ ๆ แต่ก็กว้างพอให้ผู้ใหญ่ลอดผ่านเข้าไปได้
“ใครสร้างประตูเนี่ย” โรซาเลียมองอย่างสนใจ
“แม่ข้าเอง” คำตอบนั้นทำให้สาวผมแดงทำหน้าประหลาดใจ “ท่านแม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ในระดับที่สูงกว่าคนทั่วไปเพราะเป็นลูกหลานผู้กล้าเลโอนาร์ด วิหารศักดิ์สิทธิ์ก็เลยรับตัวท่านมาเป็นนักบวชก่อนจะได้เป็นนักบวชศักดิ์สิทธิ์ แต่ท่านแม่อยากเป็นอิสระ อยากไปเที่ยว อยากไปเจอผู้คน อยากใช้ชีวิตเหมือนชาวบ้านธรรมดา แต่ในเมื่อทำไม่ได้แถมยังแต่งงานกับท่านพ่ออีก ท่านก็เลยแอบสร้างทางไว้แล้วพาข้ากับน้องสาวออกมาข้างนอก” ลูเซียนเล่าจบก็มุดผ่านช่องประตูลับเข้าไปยังอีกฝั่งของกำแพง โรซาเลียตามเข้ามา ก่อนที่ไนเจลลัสจะตามมาเป็นคนสุดท้าย
“เป็นอะไร” หนุ่มผมสีขาวถามเมื่อเห็นหญิงสาวเงียบไป ส่วนคนนำทางก็รีบปิดประตูลับก่อนที่จะมีใครมาเห็นว่าตรงนี้มีทางออก
“อดีตราชินีนี่เหมือนข้าเลยนะ เป็นคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มีกฎระเบียบแต่ในใจกลับอยากเป็นอิสระแล้วใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา พอแต่งงานกับราชาแล้วมาเป็นราชินี วัน ๆ ก็ต้องอยู่ในวัง จะออกไปไหนก็ไม่ค่อยได้ ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางถึงสร้างทางลับไว้ตรงนี้”
“เจ้าโชคดีแล้ว” ประโยคนั้นทำให้โรซาเลียหันมาสบตากับไนเจลลัส “เจ้ามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ครอบครัวก็มีด้วย คราวนี้เจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่คนเดียวอีก”
“แค่มีเจ้าอยู่ด้วย ข้าก็ไม่คิดว่าอยู่คนเดียวแล้วล่ะ”
“...”
“มีปัญหาอะไร แค่เจ้ารู้ เจ้าก็วิ่งหน้าตั้งมาหาข้า ตั้งแต่โลกเก่าแล้ว ดูแลข้าขนาดนี้ ข้าจะไม่รักได้ยังไง” ประโยคท้าย ๆ ทำให้ไนเจลลัสเบิกตากว้าง แม้จะแค่เล็กน้อยแต่นั่นก็ทำให้คนเห็นรู้ว่าหัวใจคนฟังพองโตขนาดไหน “ลูเซียนรีบนำทางเลย” โรซาเลียหันไปบอกชายหนุ่มผมสีทองที่ทำหน้าเหมือนอยากจะคายของเก่าเพราะกลายเป็นพยานดูคนบอกรักโดยไม่ทันตั้งตัว
“ข้าไม่แน่ใจว่าห้องพักของข้าจะมีใครมาทำอะไรหรือเปล่านะ แต่ลองแวะไปดูก่อนละกัน รีบตามมาก็พอ” ชายหนุ่มพาทั้งสองเดินแหวกพุ่มไม้ออกมาตรงทางเดินก่อนจะมองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจว่าทางสะดวกจึงรีบวิ่งนำไป
“มาเร็วไนจี้ แค่ได้ยินข้าบอกรัก สมองก็หยุดทำงานเลยเหรอ มาเร็ว ๆ ไปได้แล้ว” สาวผมแดงจับมือคนข้างหลังแล้วพาวิ่งตามลูกชายเจ้าของสถานที่ไปติด ๆ ขณะที่ไนเจลลัสยังคงเอาแต่เงียบเพราะสมองกำลังประมวลผล
อยู่ ๆ สาวที่ชอบก็บอกรัก แล้วจะไม่ให้เขาดีใจได้ยังไง!
'ไปรักกันไกล ๆ หน่อย มันเหม็น!' ลูเซียนรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะรู้ว่าสองคนนี้เป็นอะไรกันแต่ก็อดอยากหนีไปไกล ๆ ไม่ได้ น่าเสียดายถ้าเขามีคู่บ้างคงเอามาข่มเจ้าสองคนนี้ได้
รำคาญจริง ๆ พวกมีคู่!