Tequilla Love 4 : เด็กปากไม่ดี
“ปาก...” ปากเล็กพึมพำเบา ๆ ในใจพยายามอดกลั้นอย่างถึงที่สุด
ฉันควรจะชินแต่ก็ไม่ชินกับความปากร้ายของเตกีลา ยิ่งไม่มีมาร์อยู่ตรงนี้ ทุกอย่างยิ่งดูเลวร้ายมากเข้าไปใหญ่
“ปากทำไม” เตกีลาถามกลับอย่างเอาเรื่อง สายตาของเราต่างจ้องมองกันไม่มีใครเกรงกลัวใคร
“ปากไม่ดีเหมือนเดิม ยังไงฉันก็เป็นเพื่อนกับพี่ชายนาย ไม่มีคำกล่าวทักทายที่กลับมาสักหน่อยหรือไง” ฉันเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องทันที ไม่ได้อยากได้หรอกคำทักทายจากเขา ไม่อยากเจอเลยต่างหาก!
“ไม่จำเป็นหรอก เราไม่ได้สนิทกัน” ถึงเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ เรียบเฉย แต่คำพูดที่ออกมานั้นช่างสร้างความหมั่นไส้ให้ฉันสุด ๆ ไปเลย!
“แน่ใจว่าเราไม่ได้สนิทกัน อีกหน่อยก็สนิทน่า”
“....” นัยน์ตาคมจ้องมองมา
“อยู่อังกฤษสองปีน่าจะเห็นข่าวที่ไทยอยู่เป็นระยะ” ข่าวที่ไม่มีอะไรมากกว่าข่าวเลย แต่ฉันกำลังหมั่นไส้คนตรงหน้าทำให้หยุดปากตัวเองไว้ไม่อยู่แล้ว
“....”
“พี่เป็นเพื่อนสนิทและสนิทที่สุดของมาร์ พี่ชายนายไงเผื่อลืม ถ้าข่าวไม่มีมูลก็ไม่ออกมาแบบนั้นหรอกเนอะว่ามั้ย”
“....” เตกีลาใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเหมือนว่าเขากำลังใช้ความคิดอยู่ คงปะติดปะต่อสิ่งที่ฉันพูดล่ะมั้ง
“ไม่อยากทักทายก็ไม่ต้องทักทาย ไม่ได้อยากฟังเหมือนกัน แล้วจะเอายังไงกับกางเกง” ไม่ได้อยากฟังอยู่แล้ว แค่รู้ว่าอยู่คอนโดเดียวกันก็จะเป็นบ้าตาย กลับมาไทยเร็วกว่าที่มาร์บอกตั้งเป็นอาทิตย์ ฉันไม่ทันตั้งตัวอะไรเลย!
“...ซักไง”
“ก็ถอดสิ” มือทั้งสองยกเท้าเอว กวนประสาทหน้าตายมาก
“รับผิดชอบก็เริ่มจากการถอดให้สิ”
“....” พูดอะไรออกมา...ให้ฉันถอดกางเกงให้เนี่ยนะ
“ทำไม่เป็นเหรอ แค่ถอดกางเกง”
“ได้ ถอดบ่อยอยู่แล้ว” หมายถึงถอดให้ตัวเองนะ แล้วคิดว่าฉันไม่กล้าหรือไง
รีบจัดการแล้วจะได้ซักทีเพราะฉันต้องรายงานเพื่อนด้วย น้องตัวเองมาอยู่นี่แล้วรู้อะไรบ้างมั้ย อยากกรีดร้องให้สุดคอจะเป็นบ้าตายแต่ละคน
หมับ!
“หมายความว่าไง” คำถามที่มาพร้อมน้ำเสียงดุนั้นทำฉันถึงกับขมวดคิ้ว สายตาก้มมองข้อมือที่ถูกจับเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาผู้ชายตรงหน้า
เขาสัมผัสตัวฉันเหรอ...
เราไม่ถูกกัน ไม่ได้มีแค่คำพูดที่สาดใส่กันตั้งแต่เด็ก แต่แม้แต่การโดนตัวเตกีลาจะขยับออกห่างเสมอ ยิ่งเมื่ออยู่บนรถตู้คันเดียวกันเขายิ่งแสดงออกชัดเจน เพราะสมัยเรียนฉันจะติดรถของบ้านพวกเขากลับด้วยเสมอ
“โดนตัวผู้หญิงด้วย โตเป็นหนุ่มแล้วนี่เนอะ ไปอยู่อังกฤษเรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดาแหละใช่มั้ย”
“หยุดพูดอะไรไปเรื่อยไร้สาระสักที รำคาญ ที่พูดเมื่อกี้หมายความว่าไง” แรงบีบข้อมือเพิ่มขึ้น แต่ของแค่นี้ไม่ทำให้ฉันแสดงอาการเจ็บปวดออกมาได้หรอก
ฉันมันทั้งถึก อึดและทนมาก
“ถอดกางเกงน่ะเหรอ ใคร ๆ ก็ถอดกางเกงให้ตัวเองทั้งนั้น ไปอยู่อังกฤษสองปีมีคนอื่นถอดให้ตลอดเลยหรือไง”
“อย่าโวยวายเหมือนหึงได้มั้ยขนลุก”
“กล้าพูด ปล่อยได้แล้ว” มือเล็กพยายามแกะมือของเตกีลาออกจากแขนตัวเอง แต่แรงที่น้อยกว่าแทบจะทำอะไรเขาไม่ได้เลย
“เมื่อไรจะเลิกยุ่งกับพี่”
“เลิกยุ่งไม่ได้หรอก” ไม่มีใครคบแล้วนะ ฉันยิ่งไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย
“....”
“เรามันเป็นมากกว่าเพื่อนไปแล้ว” ฟังดูน่าชวนคิดหรือยัง? ปั่นหัวขึ้นมั้ย
แต่เป็นมากกว่าเพื่อนจริง ๆ ในฐานะดาราเพียงคนเดียวที่ได้ทำงานกับตระกูลภิสรินธรณ์ เพราะฉะนั้นต่อให้วางมือจากวงการบันเทิง แต่ก็ยังจะทำงานให้มาร์อยู่เป็นแหล่งเงินทุนสร้างรีสอร์ตของฉันเอง
“พี่มาร์ไม่เอาหรอกสภาพแบบนี้” คำพูดกับสายตาเย็นชาที่มองลงมานั้นทำฉันหน้าชาไปชั่วขณะ
“ถามจริง ๆ เถอะมีปัญหาอะไรกับฉันมากนักเหรอ แล้วอย่าคิดว่าไม่รู้นะว่ากลับจากอังกฤษก่อนกำหนด เพราะมาร์บอกว่าอีกสองอาทิตย์จะกลับไทย แอบมาก่อนกำหนด มาที่นี่เลยโดยไม่บอกใคร นายรู้ว่าฉันพึ่งซื้อคอนโดที่นี่ตั้งใจมาหาเรื่อง” เดาล้วน ๆ เตรียมรับคำด่าว่าเพ้อเจ้อ ไร้สาระจากเด็กบ้านี่ได้เลย
“อือ”
“...ฮะ” แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นช่างต่างจากที่คิด
ตั้งใจมาหาเรื่องฉันถึงที่เพราะข่าว กลับมาจากอังกฤษก็เริ่มเลย!
“เอาเงินมั้ย จะได้เลิกยุ่งกับพี่”
พรึ่บ!
แขนเรียวสะบัดออกเต็มแรงความรู้สึกโกรธจัดก่อตัวขึ้น ไม่ใช่แค่ปากที่ร้ายขึ้นแต่การแสดงออกของเขามันชัดเจนยิ่งกว่าเดิมซะอีก
“กางเกงตัวละเท่าไหร่ ฉันจะให้มันสามเท่าของราคาจริง แล้วก็ช่วยออกไปจากห้องฉันได้แล้ว กรี๊ด!” สิ้นเสียงร่างบางหมุนตัวเพื่อเดินไปหยิบเอาโทรศัพท์ตัวเองมาจัดการเรื่องเงิน
หมับ!
แต่ยังไม่ทันจะเดินออกห่าง แขนข้างหนึ่งถูกเขาคว้าเอาไว้แล้วดึงกลับมาอยู่ที่เดิม เตกีลายกแขนกอดรั้งเอวบางดึงชิดตัว ร่างกายปะทะกันตามแรงดึง ความใกล้ชิดทำให้ต่างฝ่ายต่างได้กลิ่นน้ำหอมของกันและกัน
“แล้วห้องนี้ราคาเท่าไหร่จะซื้อ ให้สามเท่าของราคาจริงแล้วช่วยออกไปจากที่นี่” ฉันไปทำอะไรให้หมอนี่ไม่ชอบหน้าตั้งแต่เด็กฮะ! สบายใจได้ 2 ปีมาเจอก็มีเรื่องเลย จะเป็นบ้าอยู่แล้ว!
“ไม่ไป ไม่ขาย ฉันจะอยู่ที่นี่ อยู่ไม่ได้ก็ไปตายซะ” ดวงตากลมจ้องเขม็งอีกฝ่ายอย่างไม่ยอม
“ปากพี่ยี่หวานี่นะ...” สายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง
“ปล่อย! ต่อให้น้องมาร์ฉันก็แจ้งตำรวจมาจับได้ข้อหาบุกรุกนะ”
“พี่เป็นคนเปิดประตูให้ผมเข้ามาเอง สมองฝ่อลืมง่ายจัง”
“ไม่ต้องมายุ่งกับสมองฉัน ปล่อย...”
“....” ไร้เสียงตอบกลับ แขนที่โอบเอวอยู่กระชับให้ร่างกายของเราแนบชิดกันมากขึ้น
“เตกีลา”
“....” ใบหน้าของเขาโน้มลงมาใกล้ ในขณะที่ฉันค่อย ๆ เอียงหน้าหนี
“เต...ปล่อย” มือเล็กยกดันหน้าอกเขาไว้ ฝ่ามือนุ่มสัมผัสกับอกแกร่งและความอุ่นของร่างกาย ทำฉันชักมือกลับด้วยความตกใจเพราะเผลอสัมผัสกับตัวเขาอย่างไม่ตั้งใจ
เด็กบ้านี่ไม่ชอบให้ฉันโดนตัว เหมือนรังเกียจที่ฉันเป็นเด็กกำพร้า ซึ่งมันต่างจากเขาที่เกิดมามีพร้อมทุกอย่าง แต่สีหน้าเรียบเฉยไม่เคยแสดงออกแววตารังเกียจนั้นก็ทำฉันสับสนเหมือนกัน สมัยเรียนแค่ปากร้ายแต่เวลาที่ต้องกลับบ้านด้วยกันเขาก็ไม่มีปัญหา บางวันที่มาร์ไม่มาฉันก็สามารถติดรถกลับไปได้เหมือนเดิม
“เราเป็นอะไรกันเหรอถึงเรียกชื่อสนิทแบบนั้น” เสียงทุ้มเอ่ยถามแผ่วเบา ในขณะที่ใบหน้ายังเลื่อนเข้ามาใกล้
“....” ริมฝีปากบางเม้มแน่น เพราะระยะห่าง 2 ปีที่ไม่เจอกันทำให้ฉันเกร็งเมื่ออยู่ในสภาพนี้
แต่มาคิดดี ๆ เขาไม่เคยทำอะไรอย่างนี้กับฉันเลยนะ!
“หืม เราเป็นอะไรกัน”
“อนาคตอาจจะเป็นพี่สะใภ้ก็ดะ อื้อ!” คำพูดสุดท้ายถูกกลืนหายกลับเข้าไปในลำคอด้วยริมฝีปากนุ่มของเตกีลาที่ประกบจูบลงมา ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตัวแข็งทื่อมือเย็นเฉียบจนกระทั่งเขาค่อย ๆ ผละจูบออก
“สภาพนี้ไม่รับเป็นพี่สะใภ้หรอก ให้ผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนจูบเนี่ยนะ” สิ้นเสียงเขาก็ปล่อยมือออกจากฉัน แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป ปล่อยเจ้าของห้องยืนตัวแข็งไม่ได้สติอยู่เพียงลำพัง
จะ จูบ...กับเตกีลา กรี๊ด!