บทที่ 3 เพื่อน
ณ โรงแรมใหญ่กลางกรุง ที่เป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ แขกต้องจองกันข้ามเดือน ข้ามปีเพื่อเข้าพัก ดารานักร้องแนวหน้า แม้กระทั่งคนสำคัญระดับโลก ถ้ามาไทยต้องมาพักที่นี่เท่านั้น
นอกจากการบริการที่ยอดเยี่ยม วิวที่สวยล้ำ ความปลอดภัยเบอร์หนึ่งแล้ว ยังใช้ชื่อโรงแรมเป็นหน้าเป็นตาอวดคนทั้งโลกได้อีกด้วย เพราะไม่ใช่แค่จองก็จะเข้าพักได้ แต่ต้องรวย มีอำนาจ มีชื่อเสียง นามสกุลดังด้วย
ภามม์ขับรถมาจอดทางด้านหลังโรงแรมเพียงแค่รถจอดที่หน้าประตู พนักงานก็รีบวิ่งมาโค้งหัวและช่วยเปิดประตูรถให้
“สวัสดีครับคุณภามม์..”
พนักงานเอ่ยทักทายเจ้านาย(น้อย)ของเขา ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาเจอฉัน เขาก็ทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มทักทายอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับคุณหนูปิ่นมุก”
“ค่ะ”
ฉันตอบรับเพียงสั้นๆ ภามม์เดินนำหน้าฉันไป จังหวะก้าวของเขาช้าลงกว่าปกติเล็กน้อย อย่างกับว่าเขาไม่อยากให้ฉันรีบเร่งเดินหรือกลัวฉันเดินตามไม่ทันเขา ทำให้ฉันแอบประทับใจว่าเขาก็มีมุมสุภาพบุรุษเหมือนกัน
“ทำไมไม่เข้าข้างหน้าโรงแรมหรอ”
“เดินไกล”
“ไกลจากอะไร”
“จากลิฟต์ส่วนตัวฉัน”
เขาตอบเพียงสั้นๆ พลางพยักหน้าไปทางลิฟต์ที่มีเพียงตัวเดียวในบริเวณนี้ หน้าลิฟต์ไม่มีปุ่มให้กดอะไรเลย นอกจากจอทัชแสกนเล็กๆ เขาวางนิ้วโป้งข้างซ้ายทาบบนหน้าจอ ไม่ถึงสามวินาทีลิฟต์ก็เปิดออกรับเขา
“เวอร์มาก นายใช้ลิฟต์ร่วมกับแขกไม่ได้หรือไง” ฉันแซวด้วยความหมั่นไส้
“ได้ แต่ไม่ชอบ”
“ทำไม? กลัวโดนแม่หม้ายตามหรอ”
“อืม ก็เคยโดนอยู่”
“นายควรจะชอบนะ เขาอุตส่าห์มาให้เอาถึงที่”
“ถ้าสวยแล้วนมใหญ่ ฉันก็ชอบอยู่”
“แหวะ...”
เพียงอึดใจเดียวที่หยอกเย้ากัน ลิฟต์ก็หยุดที่ชั้นบนสุด ฉันเริ่มใจเต้นระรัวเพราะตื่นเต้นว่าจะเจออะไรที่มันเวอร์วังฟุ้งเฟ้ออีก แถมยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาด้วย
ติ้งงงงง
“ตามสบายนะ”
คำเชิญบอกแขกสนิทอย่างฉัน เขาผายมือไปทางโซฟากลางห้องโถงกว้าง ก่อนจะเดินหายไปอีกมุม ฉันย่างก้าวช้าๆ พิจารณาบรรยากาศที่แปลกไป ภายในตกแต่งด้วยโทนสีดำ เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่ละชิ้นเป็นของนำเข้าราคาเกือบ 10 หลักทั้งนั้น
‘สมกับที่เป็นลูกเจ้าของโรงแรมเบอร์หนึ่งของประเทศ’
ชั้นบนสุดของยอดตึกถูกดัดแปลงให้เป็นคอนโดของ กำแพงห้องถูกทุบสร้างเป็นตู้ปลาพันธุ์หายากจากทั่วโลกหลายร้อยตัว และอีกฟากเป็นทีวีจอยักษ์ฝังผนัง พร้อมชั้นกระจกโชว์แผ่นเกมส์สมัยดึกดำบรรพ์ เลโก้ ของสะสมล้ำค่าวางโชว์เป็นระเบียบสวยงาม
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาห้องส่วนตัวของเขา และยังเป็นการเข้าห้อง(เพื่อน) ผู้ชายคนแรกแบบสองต่อสองอีกด้วย
‘...เราเป็นเพื่อนกันนี่ รู้จักกันตั้งแต่อนุบาลแล้ว จะให้มาคิดอะไรล่ะ’
ภามม์ถอดเสื้อโชว์กล้ามมัดของเขา รอยสักเลขโรมันที่บอกถึงวันเกิดที่ต้นคอ มือข้างหนึ่งถือแก้วเปล่า และอีกข้างถือขวดแอลกอฮอล์ยี่ห้อดัง
“โรมาเน มีคนเอามาเซ่นป๊า ฉันเลยขอมา”
“หึ ของหายากซะด้วย”
“ชิม..”
เคร้ง
แก้วไวน์ทั้งสองถูกชนกันเบาๆ เขายกดื่ม หลับตาพริ้ม เหมือนกำลังดื่มด่ำกับรสชาติที่ล้ำค่าสมราคาของไวน์แก้วนี้
“แรง” ฉันพูดเบาๆ แล้วหยีหน้าแสดงความฝาดที่ปลายลิ้น
“เล่นเกมส์ไหม”
“ปลูกผักหรอ”
“เธอกลับบ้านไปเถอะไป ฉันไม่คุยกับเด็กท้ายสวน”
“ล้อเล่นน่าาา เกมอะไร”
“Racing “ เขาชูแผ่นเกมส์รถแข่ง ยุค 90 ในชั้นสะสมให้ดู
“ชนะได้อะไร”
“แล้วแต่”
“7 หลัก” ฉันตอบพลางชูนิ้วโป้งและนิ้วชี้ที่บดบี้กัน แสดงความกระหายเงิน
“มากไปครับคุณหนู”
“6 ก็ได้”
“อย่ามาร้องไห้ที่หลังล่ะ”
เขายักคิ้วให้ฉัน แล้วส่งจอยไร้สายให้ เมื่อเหล้าแรงเข้าปากไม่ทันหมดแก้ว ความเมากระตุ้นความฮึกเหิม เกมส์ที่แขวนรางวัลด้วยเลข 6 หลัก กำลังท้าทายให้ฉันเลือดสูบฉีดจนแก้มแดงระเรื่อ
“....Ready Three Two One Let's go!!! ปื้นนนนน”
เสียงเตือนปล่อยตัวของรถแข่งดังสนั่นลั่นห้อง จอยไร้สายถูกบังคับปุ่มเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง ฉันนำหน้าภามม์ออกมาก่อน เขาไล่ตามมาติดๆ เราเร่งเก็บสกิลเพิ่มความเร็วรถอย่างไม่มีใครยอมใคร ในรอบแรกฉันชนะเขา รอบที่สองเขาตีเสมอชนะฉัน ส่วนในรอบสุดท้าย..
“...Over!”
“แม่งเอ้ย!!”
ตุ้บ
ฉันโยนจอยเกมลงพื้นด้วยความหงุดหงิด ยกไวน์ที่เหลือในแก้วขึ้นดื่มดับอารมณ์
“แพ้อย่าพาลดิวะ” เขายิ้มหยามพลางก้มไปเก็บจอยคืน
“นี่ชวนมาสนุก หรือยิ่งมาปั่นอารมณ์ฉันกันแน่”
“ดูบาร์บี้ไหมล่ะ ฉันจะเปิดให้”
“ไอ้….”
กรอดดดด
“หึๆ ค่อยสมกับที่เป็นเธอหน่อย” ไม่พูดเปล่า เขาจับหัวฉันโยกเล่นไปมา
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
“ในห้องนอนเลย ห้องน้ำนอกพึ่งเปลี่ยนกระเบื้องใหม่ ยังเข้าไม่ได้” เขาพูดโดยไม่มองฉัน และกดเกมส์แข่งกับระบบต่อ