Stipulate นางบำเรอจำยอม-1 จุดเริ่มต้น
" เพชร ตื่นได้แล้วเดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ! " เสียงหวานเอ่ยเรียกน้องชายให้ตื่นเพราะเธอกลัวว่าเขาจะไปโรงเรียนสาย
" อือออ รู้แล้วพี่เทียนเพชรกำลังจะลุก " เสียงงัวเงียของเด็กหนุ่มตอบคนเป็นพี่สาวกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์นักเพราะถูกขัดเวลานอน
" รู้แล้วก็ลุกซิ ไม่งั้นพี่จะบอกแม่นะ " พริมาขู่น้องชายเมื่ออีกฝ่ายยังอิดออดไม่ยอมลุกจากที่นอนซึ่งพชรมักจะเป็นแบบนี้ประจำเมื่อถูกปลุกให้เตรียมตัวไปโรงเรียนและทุกครั้งพริมาก็ต้องเอามารดามาอ้างเพื่อน้องชายนั้นรีบลุกจากที่นอนเพื่อเตรียมไปเรียน
" โอเคลุกแล้ว " พชรรีบดีดกายลุกขึ้นจากที่นอนเมื่อได้พี่สาวพูดเช่นนั้น
...เพล้งง!!...
" เสียงอะไรอ่ะพี่เทียน! " พชรถามเมื่อได้ยินเสียงเหมือนอะไรหล่นแตก
" เดี๋ยวพี่ไปดูก่อนเราเองก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเถอะ " พริมาหันบอกน้องชายจากนั้นเธอจึงรีบก้าวเท้าไปทางต้นเสียงทันทีและเมื่อหญิงสาวไปถึงก็ตกใจอุทานเสียงดังเมื่อเห็นร่างของอำภาผู้เป็นมารดาล้มฟุบกับพื้น
" แม่! เพชร! เพชร! เอายาดมมาให้หน่อยแม่เป็นลม " พริมารีบถลาเข้าไปพยุงร่างมารดาและตะโกนสั่งน้องชายให้เอายาดมมาให้
" แม่มะ.ไม่เป็นไรลูกแค่หน้ามืดเฉย ๆ " อำภาบอกลูกสาวด้วยท่าทางเหนื่อยเพลีย
" ได้แล้วพี่เทียนเอานี่ยาดม " พชรยื่นยาดมให้พี่สาวและเมื่อพริมารับมาแล้วจึงรีบเปิดฝาออกนำไปจ่อจมูกของมารดาทันที
" ดีขึ้นไหมจ๊ะ " เธอถามอย่างเป็นห่วงมือบางยังคงกวัดแกว่งยาดมไปมาที่จมูกของมารดา
" เพชรบอกให้แม่นอนพักผ่อนเยอะ ๆ ก็ไม่ยอมนอน " พชรตำหนิมารดาเพราะเขาได้บอกแล้วว่าให้เข้าไปนอนพักแต่อีกฝ่ายไม่ยอมยังคงดื้อรั้นไปตลาดเอง
" และถ้าแม่นอนใครจะช่วยพี่สาวเอ็งทำกับข้าวล่ะ เอ็งก็ว่าต้องออกขายแต่เช้า " อำภาโต้กลับบุตรชาย
" เดี๋ยวเพชรช่วยพี่เทียนเองก็ได้ "
" มีหน้าที่เรียนหนังสือก็เรียนไปเดี๋ยวพี่ทำเองก็ได้ส่วนแม่ถึงเวลาก็พักเทียนทำได้ " พริมาบอกเพื่อให้ทั้งสองหยุดเถียงกันและเมื่ออำภาอาการดีขึ้นแล้วสองพี่น้องจึงช่วยกันประคองไปนอนพักที่ห้องนอน พชรจึงไปเตรียมตัวเพื่อไปโรงเรียนส่วนตัวเองก็เตรียมเข็นรถข้าวแกงออกไปขายที่ตลาดอย่างเช่นทุกวัน
เวลาบ่ายคล้อยกับข้าวที่เธอเตรียมมาขายก็หมดหญิงสาวเก็บของเข็นรถข้าวแกงคู่ใจกลับบ้านเพื่อที่จะได้ล้างทำความสะอาด แต่ก่อนที่จะกลับหญิงสาวก็ไม่ลืมที่จะแวะเข้าตลาดเลือกซื้อวัตถุดิบเพื่อเตรียมทำขายต่อในวันพรุ่งนี้ และเมื่อเข็นรถเข้ามาในรั้วบ้านแล้วพริมาก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นมารดานั่งร้องไห้อยู่ตรงบันไดทางขึ้นบ้าน
" แม่! เป็นอะไรจ๊ะ ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ " พริมาถามด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกตกใจไม่น้อยที่เห็นมารดามานั้งร้องไห้อยู่ตรงนี้
" เราแย่แล้วลูก ฮือ.ฮือ " อำภาพูดพลางสะอื้นไห้จนคนถามรู้สึกใจไม่ดี
" แม่ใจเย็น ๆ ก่อนนะเล่ามาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น "
" เสี่ยอำพลเขาขู่ว่าจะยึดที่เราลูก ถ้าเราไม่จ่ายดอกเขาให้เดือนนี้ ฮึก! "
" ทำยังไงล่ะทีนี้ " พริมารู้สึกกังวลใจเพราะสมบัติเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ก็คือที่ดินตาบอดผืนเล็กที่เธอและครอบครัวปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ อาศัยอยู่และที่ดินผืนนี้ยังเป็นสิ่งที่พ่อแม่รักและหวงมากเพราะท่านช่วยกันทำงานเก็บเงินซื้อมา
" แม่ก็คิดไม่ออกเหมือนกัน เราค้างส่งเขามาสามเดือนไม่แปลกหรอกเทียนที่เขาจะมาขู่ยึดที่ดินของเรา " อำภาบอกอย่างหมดหวังและยิ่งได้ยินคำพูดของมารดาพริมายิ่งรู้สึกไม่สบายใจพยายามคิดหาวิธี
" เพชรจะดรอปเรียนไว้ก่อนส่วนพี่ก็ไปหางานทำทางนี้เพชรจะช่วยแม่เอง " พชรได้ยินสิ่งที่มารดาและพี่สาวคุยกันตนจึงเดินออกมาจากมุมที่หลบอยู่
" ทำไมถึงกลับมาบ้านเวลานี้ นี่เพชรไม่ไปเรียนเหรอ? " หญิงสาวเอ่ยถามน้องชายอย่างสงสัยเพราะเวลานี้ตัวเขาต้องอยู่โรงเรียนไม่ใช่กลับมาที่บ้าน
" เพชรรู้สึกปวดท้องเลยขออาจารย์ลาครึ่งวัน " เด็กหนุ่มตอบพลางเดินเข้าไปหามารดาและพี่สาว
" แม่กับพี่เทียนให้เพชรออกมาช่วยขายข้าวแกงเถอะนะ แล้วพี่เทียนก็ไปหาสมัครงานแทนเราจะได้มีรายได้มากขึ้น ไว้ทุกอย่างมันดีขึ้นเมื่อไหร่ค่อยกลับไปเรียนใหม่ก็ได้ " เด็กหนุ่มเอ่ยขออีกครั้งเพราะถ้าจะให้เขาไปสมัครงานนอกบ้านทำแทนก็คงไม่มีที่ไหนรับเพราะวุฒิที่มีก็แค่ ม.ต้น เพราะตอนนี้เขานั้นพึ่งจะเรียนอยู่แค่ชั้น ป.ว.ช ปีสองต่างจากพี่สาวที่วุฒิการศึกษาสูงกว่าเขา
เพราะพชรนั้นต้องการจะช่วยแบ่งเบาภาระของมารดาและพี่สาวบ้าง แต่ทั้งสองยังยืนกรานที่จะให้ตนเรียนต่อและอ้างเหตุผลว่าพี่สาวยอมเสียสละให้เขาได้เรียนต่อแล้วเขาก็ควรต้องเรียน แต่พักหลังเขาเริ่มเห็นว่ามารดาทำงานหนักเกินไปจนสุขภาพเริ่มย่ำแย่เพราะพักผ่อนน้อยจนโรคประจำตัวกำเริบขึ้นบ่อยครั้ง พี่สาวเลยต้องมาขายข้าวแกงช่วยมารดาแทนที่จะได้ไปทำงานเพื่อหารายได้มาช่วยครอบครัวอีกทาง
" เอาอย่างนั้นก็ได้ เราคงไม่มีทางเลือกแล้วพรุ่งนี้เพชรก็ไปทำเรื่องขอดรอปเรียนไว้ก่อนแล้วกัน ส่วนพี่คืนนี้จะลองหางานให้เว็ปก่อน จะได้สมัครทิ้งไว้ " ในเมื่อไม่มีทางเลือกพริมาก็ต้องยอมให้น้องชายดรอปเรียนชั่วคราวเพื่อมามารดาขายข้าวแกงแทนส่วนเธอนั้นก็ออกไปหางานทำเพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น
พริมาหรือเทียนหอมหญิงสาววัยยี่สิบสองปีเธออาศัยอยู่กับอำภาผู้เป็นมารดาและพชรน้องชายกันเพียงสามคน เนื่องจากบิดาเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวไปเมื่อสามปีก่อน หลังจากที่สูญเสียหัวหน้าครอบครัวไปภาระทุกอย่างจึงตกมาอยู่ที่อำภาแต่เพียงผู้เดียวจึงทำให้มารดาต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ตนจึงเรียนจบแค่ ป.ว.ส ไม่ได้เรียนต่อระดับมาหวิทยาลัยเพื่อให้น้องชายได้เรียนต่อและหันมาช่วยมารดาขายข้าวแกงแทนเพราะเห็นว่ามารดาเริ่มจะสุขภาพไม่ดี
หญิงสาวนั่งเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ราคาถูกหาดูสมัครงานตามวุฒิที่ตนเรียนจบมาและเมื่อเห็นแล้วว่ามีบริษัทที่รับสมัครพนักงานในตำแหน่งตามวุฒิที่เธอมี พริมาจึงไม่รอช้ารีบส่งเรซูเม่ไปยังอีเมลของบริษัทนั้นทันที รุ่งเช้าพริมาถึงกับดีใจอย่างสุดขีดเมื่อหนึ่งในบริษัทที่เธอส่งเรซูเม่ไปนั้นส่งเมลกลับมาให้ไปสัมภาษณ์ในบ่ายวันนี้
*-*
บริษัท ไพศาล พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ภูวดลนั่งเคาะนิ้วลงโต๊ะอย่างคนใช้ความคิดใบหน้าหล่อคมดูเคร่งขรึมกว่าปกติ เพราะเรื่องที่เขาเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายประชุมด่วนคือเรื่องเกี่ยวกับโครงการใหม่ที่กำลังจะเริ่มมีปัญหาเนื่องจากเกิดข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการจัดซื้อ
" คุณสุชาติ คุณต้องรีบจัดการแก้ปัญหานี้ให้เร็วที่สุด " รองประธานหนุ่มสั่งเสียงเข้ม
" ครับท่านรอง ผมจะรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด " สุชาติรีบรับคำสั่งด้วยท่าทีวิตกเพราะตัวเขาเองก็รู้สึกเครียดไม่ต่างจากผู้เป็นนายเลยกับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้
" ผมให้เวลาสามวัน จบการประชุม " เมื่อสั่งเสร็จร่างสูงก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ท่านประธานเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องประชุมด้วยอารมณ์คุกรุ่นทันทีโดยมีนทีเลขาคนสนิทเดินตามมาติด ๆ
" คุณภูวดล..."
" บอกเจ๊ซูซี่หาเด็กมาให้กูด่วน! " ชายหนุ่มพูดแทรกขึ้นทั้งที่คนสนิทนั้นยังพูดไม่ทันจบ และเมื่อได้ยินคำสั่งนทีจึงรีบต่อสายหาซูซี่ให้ส่งเด็กมาให้เจ้านายหนุ่มของตนทันที ด้านซูซี่เองก็รู้ว่าลูกค้าคนนี้ต้องการแบบไหนจึงรีบจัดหามาให้แม้ว่าเขาจะเรียกใช้บริการไม่บ่อยแต่เธอก็พอรู้เพราะภูวดลคือเพื่อนสนิทของเจ้านายตนนั่นเอง
" ถ้ามาแล้วพาเข้ามาได้เลยและห้ามใครเข้าพบจนกว่าธุระฉันจะเสร็จ "
" ครับท่านรอง " นทีรับคำจากนั้นจึงออกไปรอคนที่เจ๊ซูซี่จะส่งมาอยู่ด้านล่างตึกหลังบริษัท เพราะไม่อยากให้ใครรู้หรือเห็นว่าท่านรองเรียกใช้บริการเด็กไซด์ไลน์ในเวลานี้ แต่เขาก็รู้สึกชาชินกับเหตุการณ์แบบนี้อยู่แล้วเพราะเวลาเจ้านายหนุ่มของเขารู้สึกเครียดหรืออยากระบายเขามักจะเรียกหาผู้หญิงพวกนี้มาสนองอารมณ์เสมอ
" ถึงแล้วครับ " เสียงของลุงวินมอเตอร์ไซค์บอกเมื่อมาถึงยังจุดหมาย
" ใช่ที่นี่แน่นะคะลุง " พริมามองตึกสูงระฟ้าอย่างไม่มั่นใจ เพราะดูแล้วมันไม่เหมือนภาพที่เธอเห็นในอินเทอร์เน็ตเลยสักนิด
" คือลุงมาส่งหนูด้านหลังตึกน่ะ พอดีด้านหน้าต้องไปยูเทิร์นไกลหนูก็เดินอ้อมไปหน่อยแล้วกันนะ " ลุงขับวินบอกเหตุผลที่พริมาฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรยื่นให้
" เดินอ้อมไปหน่อยเหรอไม่หน่อยแล้วนะ เฮ้อดีนะที่เรามาเร็วกว่าเวลานัดไม่งั้นไม่ทันแน่ " พริมาบ่นพึมพำกับตัวเองเพราะที่ลุงวินรับจ้างพูดว่าหน่อยนั้นสำหรับเธอมันไม่หน่อยเลย บริษัทนี้ใหญ่และดูกว้างมากต่างหาก
เมื่อพริมาเดินมาสักระยะหญิงสาวก็เห็นว่ามีคนยื่นอยู่เธอจึงเดินตรงไปหาเพื่อที่จะถามเขาว่าเดินไปทางด้านหน้าบริษัทต้องไปทางไหนเพราะดูแล้วเธอก็เริ่มจะงง ๆ กับเส้นทางและไหนจะอาคารต่าง ๆ รวมทั้งลานจอดรถ
" ขอโทษนะคะคือ.?."
" มาแล้วเหรองั้นรีบไปเถอะท่านรองรออยู่ " พริมายังไม่ทันได้เอ่ยถามอีกฝ่ายก็ตอบขึ้นมาทันที เธอเองก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะนึกว่าเขานั้นพาเธอไปสัมภาษณ์งานตามที่ได้นัดเอาไว้ ส่วนนทีเองเมื่อเห็นพริมาเดินเข้ามาหาก็คิดว่าเป็นคนที่ซูซี่ส่งมาให้
พริมาเดินตามชายแปลกหน้าเข้ามาทางประตูด้านหลังจากนั้นจึงขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบน นทีเองก็สังเกตมองพินิจหญิงสาวตรงหน้าในขณะที่โดยสารอยู่ในลิฟต์แม้ว่าเขาจะรู้สึกสะดุดตาที่ผู้หญิงคนนี้สวยหวานแบบธรรมชาติไม่แต่งตัวจัดจ้านอย่างคนที่ผ่าน ๆ มา แต่เขาก็ต้องทำตามหน้าที่พาเธอไปให้ผู้เป็นนาย ไว้นายเสร็จเขาค่อยติดต่อไปหาซูซี่ทีหลังเพื่อใช้บริการเธอก็ได้ชายหนุ่มคิด
แม้พริมาจะรู้สึกแปลกใจที่ชั้นนี้ไม่มีพนักงานนั่งอยู่เลย มีแต่เพียงห้องทำงานใหญ่เพียงห้องเดียวที่เด่นตระหง่าน หน้าห้องมีโต๊ะทำงานที่มีป้ายตั้งโต๊ะเขียนว่าเลขาวางอยู่ และเมื่อเห็นป้ายหรูที่ติดอยู่ที่ประตูคิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันแน่นเมื่อคิดว่าแค่ตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดต้องให้รองประธานเป็นคนสัมภาษณ์เลยเหรอ และเมื่อเธอกำลังจะเอ่ยถามชายคนดังกล่าวที่พาเธอขึ้นมาก็เคาะห้องสามครั้งพร้อมกับเปิดประตูพาเธอเข้าไป
" มาแล้วครับคุณภูวดล " นทีรายงานให้คนเป็นนายที่กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ทราบ
" อืมออกไปได้ล่ะ " ภูวดลบอกพร้อมกับโบกมือทำท่าทาง
" ขะ.คือให้ดิฉันนั่งตรงไหนคะ " พริมาทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำและชายคนที่พาเธอขึ้นมาก็ได้ออกไปแล้ว
" นั่ง? พูดอะไรของเธอ เตรียมตัวมาแล้วใช่ไหมฉันไม่ชอบคนสกปรก " ร่างสูงบอกพร้อมกับพ่นควันขาวออกจากปากพลางมองร่างหญิงสาวด้านหน้าที่แต่งตัวมิดชิด ไม่แต่งหน้าจัดจ้านเหมือนกับคนก่อน ๆ ที่ซูซี่ส่งมา แต่ที่ทำให้เขาสะดุดตาและนึกสนุกนั้นคือทีท่าที่เหมือนเหยื่อกำลังหวาดกลัวนักล่าต่างหาก
" ก็คุณเรียกดิฉันมาสัม.. "
" หยุดพูดแล้วมาทำหน้าที่เธอได้แล้ว อย่ามาลีลาและอย่าให้ฉันต้องโมโห " ภูวดลพูดแทรกขึ้นเพราะคนนั้นเริ่มจะอยากระบายแล้ว
" หน้าที่อะไร " พริมายิ่งตกใจเมื่อได้คำพูดของเขาเธอมาสัมภาษณ์งานจะให้เธอทำหน้าที่อะไร
" มาอมให้กูเดี๋ยวนี้! " ภูวดลพูดเสียงดังเมื่อเริ่มจะหมดความอดทนกับคนตรงหน้าที่ดูทำตัวไร้เดียงสาทั้งที่ก็รู้ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม แรก ๆ ก็ดูน่าสนุกดีแต่พอนาน ๆ เขานั้นเริ่มจะรำคาญ
" มะ.ไม่นะ ฉะ.ฉันไม่สัมภาษณ์แล้ว สวัสดีค่ะ " พริมาตื่นกลัวรีบกุลีกุจอที่จะออกจากห้องนี้ แต่เมื่อเธอกำลังจะผลักประตูออก ร่างเล็กก็ลอยหวือและถูกเหวี่ยงลงบนโซฟาตัวใหญ่
" ยะ..อย่านะ ช่วยด้วยใครก็ได้ช่วยที! ฮึก! " พริมาหวาดกลัว
" แสดงเก่ง คิดจะเรียกค่าตัวเพิ่มเหรอ " ร่างหนาพูดพร้อมกับขึ้นคร่อมและกดร่างบางจนจมอยู่ใต้ร่าง
" มะไม่ ฉันไม่ได้แสดงปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันขอร้องฮือ..ฮือ กลัวแล้ว "
" ว้าว ตื่นเต้นดีแฮะแบบนี้ งั้นฉันจะเพิ่มค่าตัวให้เธอแล้วกันดีคิดซะว่าเปลี่ยนบรรยากาศ "
" มะ..ไม่นะ! ฮืออ "
____
* เดี๋ยวท่านรองฟังน้องก่อนเขามาสัมภาษณ์งานโว้ย ไม่ได้มาให้แกปู้ยี่ปู้ยำเขา *
____