Sorry 01
ฉันนั่งหัวสั่นหัวคลอนเอนไปซ้ายทีขวาทีตามแรงเหวี่ยงของรถตัวแข็งทื่อขณะที่รถกำลังขับตีโค้ง
“นะ..นายเบาๆหน่อยสิ!” ฉันหลับหูหลับตาตะโกนบอกคนขับที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“เงียบๆ!” เซนหันมาตะคอกใส่แล้วหันไปขับรถต่อ เขาจะหันมาบอกฉันทำไมเนี่ย มันอันตรายนะโว้ย!
”โอ่ยย เวียนหัว” ขมุบขมิบปากบ่นกับตัวเองเบาๆ แล้วพอแอบเงยหน้าขึ้นมองทางข้างหน้าก็แทบเป็นลม ทำไมมันเร็วแบบนี้วะ หัวใจจะวายตาย
เอี้ยดดด!
เสียงแบรกเหมือนระฆังปลุกฉันให้ลืมตาไปมองข้างหน้า กะพริบตาปริบๆ มันจบแล้วใช่มั้ยหรืออะไรยังไงทำไมในหัวมันหมุนติ้วๆแบบนี้
”จะนั่งแช่อีกนานมั้ย” รู้ตัวอีกทีเซนก็เปิดประตูมาฝั่งฉันแล้วยืนจ้องหน้านิ่ง ฉันเลยค่อยๆออกจากรถ แต่ทำไมพื้นมันเอียงๆ
หมับ!
“เฮ้ย ไหวมั้ยวะ” ฉันก้มลงมองมือที่จับแขนฉันไว้ อยากจะบอกเขาว่าไม่ไหว เกือบหัวใจวายตาย! แต่ไม่มีแรงจะบอก เสียงหายไปไหนไม่รู้
“ไอ้เซนพาไปนั่งพักก่อนเถอะว่ะ ดูหน้าซีดๆ” คินเดินมาบอกเซน เขาเลยดึงแขนฉันให้เดินตามไปนั่งพักภายในอาคารที่เช็กรถแล้วเดินไปตรวจรถกับคินต่อ ถ้าจะดึงขนาดนี้ฉันเดินเองก็ได้เหอะ พอได้นั่งพักก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ครืด ครืด~
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนขาสั้นดังขึ้น พอหยิบขึ้นมาดูว่าใครโทรมา ชื่อยัยขวัญก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอ
”ฮะ..”
[แกไปอยู่บนรถคันนั้นได้ยังไง!] ยังไม่ทันพูดจบขวัญก็พูดเสียงแหลมแทรกมาก่อน
”ฉันก็งงเหมือนกัน“
[อะไรของแก ไปนั่งบนรถขนาดนั้น บอกมาดีๆนะยะ]
“ไม่รู้ ว่าแต่แกจะอยู่ต่อมั้ย ฉันจะกลับแล้ว” ฉันบอกพร้อมกับยืนขึ้นแล้วเดินไปตรงทางออก
[ฉันก็ว่าจะกลับละ]
“โอเค เดี๋ยวเดินไปหาที่เดิม..” ขาทั้งสองข้างของฉันที่กำลังเดินออกจากจุดเช็กรถต้องชะงัก เพราะเซนมายืนขวางไว้
”จะหนีไปไหน ค่าเสียหายล่ะ”
“ก็บอกมาสิว่าเท่าไร” ฉันกรอกตาไปมา ดูท่าทางเขาก็น่าจะรวยทำไมขี้งกแบบนี้
”ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่ที่รู้ๆเธอยังกลับไม่ได้” ฉันเงยหน้ามองเขาด้วยความขุ่นเคือง นี่ยังไม่หายโมโหที่เขาเอาชีวิตฉันไปเสี่ยงกับการขับรถบ้าบอนั่นเลย คิดแล้วก็เวียนหัวขึ้นมาทันที
“ทำไมฉันจะกลับไม่ได้”
[เกิดอะไรขึ้นวะเพ้นท์] เสียงขวัญดังออกมาจากโทรศัพท์ที่ฉันถือค้างอยู่ เกือบลืมไปเลยว่ามันยังไม่วางสาย
”แกกลับก่อนเลยก็ได้ ฉันมีธุระนิดหน่อย”
[ธุระอะไร]
“เออน่า แค่นี้นะ” ไม่รอให้ปลายสายตอบกลับ ฉันก็ตัดสายซะก่อน
”ไปขึ้นรถ” ทันทีที่ฉันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง เขาก็พูดขึ้นมาพร้อมกับดึงข้อมือฉันให้เดินตาม ตั้งแต่เจอเซนฉันโดนเขาลากไปมาตลอดเลยให้ตายเถอะ คนนะไม่ใช่หมา!
“อะไรอีกเนี่ย จะให้ฉันขึ้นไปทำไมอีก“ พอเดินมาถึงที่เช็ครถด้านหน้าก็เจอกับคิน เต ผู้ชายอีกสองคนที่ฉันไม่รู้จักและช่างที่อยู่ก่อนหน้าสามสี่คน
“อ่าว นี่เธอยังอยู่อีกเหรอ” เตหันมาพูดกับฉันแบบงงๆ อย่าว่าแต่เขาที่งง ฉันก็งงตัวเองเหมือนกันว่ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
”ใช่ได้นี่ ขึ้นไปนั่งรถกับไอ้เซนแล้วไม่อ้วกแตกได้ เธอนี่อึดเหมือนกันนะเนี่ย” คินหันมาบอกยิ้มๆ
“ก็เกือบเหมือนกัน ขับห่วยแตกขนาดนั้น” ฉันบอกตามตรง ไม่ใช่แค่จะอ้วกแตกนะ หัวใจแทบวายตายคารถหรูของเขาอยู่ละ
”ฮ่าๆๆ ถูชะตากับเธอชะมัดเลย ถึงงั้นไอ้เซนมันไม่เคยแพ้เลยนะ”
”มึงก็ถูกชะตากับผู้หญิงทุกคนนั่นแหละไอ้คิน” ผู้ชายผมสีควันบุหรี่หยุดจากการขันอะไรหน้าฝากระโปรงรถหันมามองทางพวกเรา
”อะไรวะ มึงจะขัดกูเพื่ออะไร ไอ้เดย์“
“เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้นะมึง ว่าแต่น้องคนสวยนี่ใครวะ“ ผู้ชายอีกคนที่ยืนดูรถข้างผู้ชายที่ชื่อเดย์หันไปถามเซนด้วยความสงสัย แล้วทุกคนก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบกันหมด ไม่เว้นแม้แต่ช่างที่กำลังเช็ครถคันอื่นใกล้ๆ
”ลูกหนี้”
“ใครลูกหนี้นาย ฉันก็ถามอยู่ตั้งหลายครั้งว่าค่าเสียหายเท่าไร นายก็ไม่บอกสักที“
”เออ ผมเช็ครถให้แล้วนะพี่เซน ไม่มีไรเสียหายนอกจากเป็นรอย“ แล้วเตก็พูดขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้
“ค่าเสียหายเท่าไร” ฉันหันไปถามเต จะได้กลับบ้านไปนอนสักที ง่วงจะตายอยู่แล้ว
“เก้าหมื่นแปด” พอได้ยินค่าเสียหายฉันนี่หายง่วงเป็นปลิดทิ้งทันที
“ไอ้รอยเท่าขี้เล็บนั่นน่ะนะเก้าหมื่นแปด! นายดูเลขศูนย์ผิดรึเปล่า” ฉันถามเตเพื่อความแน่ใจ บางทีเขาอาจจะตาลายดูเลขศูนย์เกินมาตัวนึง มันอาจจะแค่เก้าพันแปดก็ได้
“เท่าขี้เล็บที่ไหน เกือบครึ่งคันแหน่ะ”
“ถึงงั้นก็เถอะ มันไม่ลึกไม่ใช่รึไง“
“รถพี่เซนคันละเกือบสามสิบล้านนะเว้ย มันก็ราคานี้แหละ นี่ถูกแล้วนะ” ถูกกับผีนายสิ แค่ได้ยินราคาค่าเสียหายก็แทบจะเป็นลมล้มพับ แถมยังต้องมาได้ยินราคารถแสนแพงหูดับตับไหม้ขายไตก็ยังซื้อไม่ได้อีกต่างหาก ทำไมมันซวยงี้วะ! ไหนใครบอกว่าขวาร้ายซ้ายดีไง นี่ฉันก็มาทางซ้ายแล้วนะ ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ!
“จ่ายมาสิ” เซนยื่นมือออกมาแบข้างหน้าฉันอย่างกวนประสาท
”ตอนนี้ฉันไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก“ ฉันบอกเสียงเบาอุบอิบ เงินเก็บในบัญชีมีแค่หมื่นเดียวเอง แค่ค่าหอกับค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนที่แม่ส่งมาให้หมื่นสองยังจะไม่พอใช้เลย จะไปเอาเงินเกือบแสนมาให้ตอนนี้ได้ไง ฉันมันผู้หญิงจนๆไม่ได้รวยมีรถยนต์คันละสามสิบล้านแบบเขานี่ คนอะไรหน้าตาก็ดีแต่ขูดเลือดขูดเนื้อชะมัด
”นี่จะเบี้ยวเหรอ”
“เปล่านะ คือตอนนี้ฉันยังไม่มี แต่ขอผ่อนให้ได้มั้ยอ่ะ” ฉันพยายามประนีประนอม พูดด้วยเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย เผื่อเขาจะสงสารเมตตาผู้หญิงตาดำๆแบบฉันสักนิด
”คนอวดดีเมื่อกี้มันหายไปไหนวะ” เซนพูดลอยๆ แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่ามันหมายถึงฉัน มันก็ยืนอยู่หน้านายนี่ไง ตอนนี้ได้แต่พูดอยู่ในใจ เกิดพูดให้เขาได้ยินก็แย่น่ะสิ เขาอาจจะแจ้งความจับฉันก็ได้ใครจะรู้
“มึงก็อย่าโหดใส่สิวะ น้องเขากลัวมึงแล้วนั่นน่ะ” คนที่ยืนอยู่ข้างเดย์พูดขึ้น
“เสือกนะไอ้ไนท์” เซนหันไปด่าคนที่ชื่อไนท์แบบไม่จริงจังมากนัก
“เอ้าไอ้นี่ มึงไม่เห็นไงว่าน้องเขาเป็นผู้หญิง ใจเย็นหน่อยดิวะ” ไนท์เดินมาตบบ่าเซนแล้วเดินไปเช็กรถต่อ
“คุยกันเองละกัน กูไปทำงานต่อล่ะ” พอคินพูดจบทุกคนก็หันไปตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเองต่อทันที อย่าปล่อยฉันไว้แบบนี้สิ มาช่วยกันก่อน! ไอ้คนข้างหน้ามันจะกินหัวฉันอยู่แล้ว!
“เอ่อ...” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่พูดงึมงำๆกับตัวเอง ไม่กล้าเอ่ยปากหรือขยับตัวด้วย
“ชื่ออะไร” จู่ๆเซนก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วถามฉันด้วยน้ำเสียงติดจะหงุดหงิด
“พะ...เพ้นท์“
”อายุเท่าไร”
“ยี่สิบเอ็ด” ฉันตอบแบบงงๆว่าเขาจะมาสอบถามประวัติฉันทำไม
“ฉันอายุมากกว่าเธอ คนที่นี่ก็ด้วย ยกเว้นไอ้เตมันอายุเท่าเธอ จะพูดอะไรระวังหน่อย”
“อึก! เอ่อ..คะ..ค่ะ” ฉันกลืนน้ำลายดังอึกแล้วตอบแบบมีหางเสียง ดูจากท่าทางของเซน เอ่อ...พี่เซนแล้ว เหมือนพร้อมจะงับหัวฉันทุกนาทีเลย น่ากลัวอ่ะ
“ถ้าอยากผ่อนก็ไปขึ้นรถ ใกล้เวลาแล้ว” พี่เซนพูดจบก็เดินไปนั่งรถคันเดิมฝั่งคนขับที่ฉันนั่งก่อนหน้านี้ หมายความว่ายังไงอ่ะ ฉันต้องไปนั่งรถเขาอีกแล้วเหรอ อยู่ดีๆขาก็เหมือนจะสั่นๆ
”พี่เซน เพ้นท์ต้องไปนั่งจริงดิ ให้เตไปนั่งแทนไม่ได้เหรอ”
“เฮ้ย ตลกตายห่าสิถ้าให้ฉันไปนั่งกับพี่เซนน่ะ”
เออก็จริง...พอมาลองนึกภาพผู้ชายตัวโตสองคนไปนั่งข้างกันบนรถแข่งแล้วก็ตลกจริงๆนั่นแหละ
“แต่..”
”นั่งๆไปเถอะ เคยนั่งมาแล้วเธอยังไม่เป็นอะไรเลย“ ฉันล่ะอยากจะตะโกนใส่หน้าเตดังๆว่าไอ้ตอนนั้นแทบตายเลยเว้ย แต่ก็ทำไมได้
”รีบขึ้นมา” เสียงแหบต่ำเปล่งออกมาอย่างหงุดหงิดที่รอนาน
“ไปเลย พี่เซนโมโหขึ้นมาไม่มีใครช่วยเธอได้นะเว้ย” เตเดินมากระซิบแล้วกลับไปช่วยพี่เดย์ดูรถอีกคัน ได้ยินแค่นี้ขาทั้งสองข้างก็รีบเดินไปนั่งข้างคนขับแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด เอาวะ! ครั้งแรกยังผ่านมาได้ อีกสักครั้งจะเป็นไรไป ดีกว่าเจอพี่เซนงับหัว
@โต๊ะใต้ตึกคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยS
”มานั่งหงอยอะไรตรงนี้วะเพ้นท์” ฉันเงยหน้ามองพี่เจที่เพิ่งเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะใต้คณะที่ประจำ
”ก็เรื่องที่เม้าส์ให้ฟังไงพี่” ขวัญเป็นคนตอบแทน พอมาถึงมหาลัยยัยขวัญก็รัวคำถามถึงเรื่องเมื่อคืนไม่หยุด จนต้องเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้น ที่มันพูดแบบนี้แสดงว่าเล่าให้พี่เจฟังแล้วสินะ
ย้อนไปเมื่อคืน หลังจากที่พี่เซนแข่งรถชนะโดยมีฉันนั่งตัวแข็งเป็นหินอยู่ข้างๆตลอดการแข่ง พอลงจากรถฉันก็แข้งขาอ่อนล้มพรึ่บอยู่ข้างรถทันที จนเตต้องมาช่วยพยุงไปนั่ง อายก็อายแต่นาทีนั้นกลัวตายมากกว่า พอเริ่มดีขึ้นพี่เซนก็เดินมาคุยเรื่องผ่อนค่าเสียหาย โดยตกลงกันว่าจะให้ฉันผ่อนเป็นเดือน ตอนแรกเขาจะให้ผ่อนเดือนละสามหมื่นด้วยซ้ำ ฉันเลยยกเหตุผลร้อยแปดบอกว่าเป็นนักศึกษาอยู่จะเอาเงินมาผ่อนยังไงตั้งเดือนละสามหมื่น เงินที่แม่ส่งมาก็ต้องกินต้องใช้ ไหนจะค่าชีทค่ารายงานเยอะแยะ เดี๋ยวจะไปหางานพาร์ทไทม์ทำเก็บเงินมาให้ คุยอยู่นานก็เลยได้ข้อตกลงว่าเดือนละหมื่นห้าขาดตัว แล้วเตที่เดินเข้ามาได้ยินว่าฉันหาพาร์ทไทม์ทำจึงเสนอเขาว่าที่อู่พี่เซนขาดพนักงานคอยเช็คของกับต้อนรับลูกค้าพอดี ฉันเลยรีบอ้อนวอนให้พี่เซนรับเข้าทำงาน ซึ่งเขาก็รับแต่กลับให้เงินเดือนแค่หมื่นนึง โดยอีกห้าพันฉันต้องหามาเอง เลยต้องนั่งคิดไม่ตกอยู่นี่ไง
”ยืมฉันก่อนมั้ยเพ้นท์ ค่อยทะยอยคืน” พี่เจบอกอย่างหวังดี ยัยขวัญก็พูดแบบนี้ แต่ฉันไม่อยากรบกวนพวกนี้ไงเลยปฏิเสธไป ส่วนต่างห้าพันค่อยหางานพาร์ทไทม์หลังเลิกงานที่อู่ก็ได้
”ไม่เป็นไรพี่เจ ขอบใจมากนะ ไปทำงานก่อนเดี๋ยวสาย” ฉันดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วรีบวิ่งออกมานั่งวินบอกทางตามที่พี่เซนส่งมาทางไลน์
@Zero Club
ฉันยืนอึ้งอยู่หน้าอู่ซ่อมรถขนาดใหญ่โต คิดว่าอู่พี่เซนที่เตพูดถึงจะไม่ใหญ่โตกว้างขวางขนาดนี้ซะอีก
“จะยืนอีกนานมั้ยเว้ยเพ้นท์” เตเดินมาโบกไม้โบกมืออยู่ข้างหน้า
“จะให้ทำอะไรอ่ะ พร้อมแล้ว” ฉันถามหลังจากเดินมานั่งที่ห้องรับแขกภายในสำนักงานของอู่
”นั่งรอนี่ก่อน เดี๋ยวพี่เซนมา”
ฉันนั่งรอประมาณยี่สิบนาที เสียงรถยนต์ราคาแพงก็ดังออกมาจากลานจอดรถตรงที่น่าจะเป็นพื้นที่จอดรถลูกค้าที่รอรับรถ เพราะเห็นมีช่างกำลังซ่อมและรถยนต์หรูหราจอดอยู่หลายคัน
”มาแล้วเหรอ” พี่เซนเปิดประตูกระจกสำนักงานเข้ามาแล้วนั่งที่โซฟารับแขกข้างๆฉัน สีหน้าเหมือนหงุดหงิดอะไรมา
”ให้เพ้นท์ทำอะไรบ้างคะ” ฉันถามแบบไม่เต็มเสียงนัก
”ก็ไม่ยุ่งยากหรอก แค่งานเช็กของในอู่ สั่งของที่ช่างต้องการแล้วก็คอยดูแลลูกค้าที่มาใช้บริการให้ดี”
“อ๋อ ค่ะ”
”โต๊ะเธออยู่ตรงนั้น“ พี่เซนบุ้ยหน้าไปทางโต๊ะด้านหน้า ฉันเลยเดินไปนั่งจากนั้นเขาก็สอนงานต่างๆ จนฉันเริ่มเป็นงานแล้วเขาถึงเดินออกไปที่ลานซ่อมรถ
กริ๊ง กริ๊ง~
เสียงโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้น ฉันเลยรีบรับสาย กรอกเสียงหวานแจ๋วให้ปลายสายทันที
”สวัสดีค่ะ ซีโร่คลับยินดีให้บริการค่ะ”
[พอดีรถเสียอยู่แถวๆห้างC ให้รถมาลากได้มั้ยคะ]
”ได้ค่ะ ไม่ทราบว่ารถยี่ห้ออะไรคะ”
[บีเอ็มสีดำค่ะ]
“โอเคค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ เดี๋ยวทางเราจะรีบไปค่ะ” พอลูกค้าวางสายฉันจึงรีบเดินไปยังอาคารลานซ่อมรถเพื่อบอกให้พี่เซนรับรู้
”ไปบอกพี่กอร์ฟเลย” ได้ยินดังนั้นฉันเลยเดินไปอีกฝั่ง ก่อนหน้านี้พี่เซนแนะนำคนภายในอู่ทุกคนให้ฉันรู้จักแล้วน่ะ เลยรู้ว่าใครชื่ออะไร
”พี่กอร์ฟคะ ลูกค้ารถเสียอยู่แถวห้าง C น่ะค่ะ บีเอ็มสีดำ”
“เคๆ” พี่กอร์ฟหันมาพยักหน้าแล้วเดินไปหยิบกุญแจรถลากออกไป
”เป็นงานเร็วนี่หว่า” เตหันมาแซว
”แน่นอนสิ นี่เพ้นท์ซะอย่าง” ฉันยิ้มเชิดหน้าอย่างภูมิใจ
”ให้มันน้อยๆหน่อย ทำงานวันแรกอย่าซ่าให้มากเว้ย” เสียงเหนือกว่าของเตทำให้ฉันยู่หน้าอย่างหมั่นไส้ อยู่นานกว่าแล้วไง เหอะ!
“ไปทำงานดีกว่า เดี๋ยวเจ้านายขาโหดเฆี่ยน” ฉันพูดเสียงเบากลัวพี่เซนได้ยิน แต่เสียงหัวเราะของเตกับพี่ๆช่างทำให้คนโดนพาดพิงสไลด์ออกมาจากใต้รถยนต์ฝั่งตรงข้ามหันขวับมาทางฉันทันที
”พี่ได้ยิน”
“อุ่ย เอ่อ...งานเต็มโต๊ะเลย ไปทำงานดีกว่า” พูดจบก็รีบสะบัดตูดเดินเข้ามานั่งทำงานที่โต๊ะตามเดิม ทำเสียงโหดใส่ทำไมก็ไม่รู้ขวัญเสียหมด
“เซนอยู่ไหน” ฉันเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตูห้องรับแขก ผู้หญิงสวยหุ่นดี เสื้อแหวกคอลึกจนหน้าอกสะบึมฮึมกระแทกเบ้าตายืนกอดอกมองมาที่ฉัน
“พี่เซนอยู่ที่ลานซ่อมรถค่ะ” ฉันบอกเสียงขุ่นเคืองนิดๆแต่ยังเก็บอาการอยู่ คนอะไรเดินมากอดอกจ้องหน้าคนอื่นแถมทำหน้าเหมือนคุณหนูโดนขัดใจอีก
”แล้วมันตรงไหนล่ะ”
“เดี๋ยวฉันพาไปค่ะ” ฉันบอกก่อนที่เส้นประสาทฉันที่ตึงๆจะขาดผึ่งไปซะก่อน เลยต้องยอมเดินนำผู้หญิงอกสบึมมาทางพี่เซนที่กำลังเช็คเครื่องยนต์รถอยู่
”เซนคะ” พอยัยอกสะบึมเห็นพี่เซนก็รีบเดินไปเกาะแขนทำเสียงอ้อนเสียงหวานผิดกับที่พูดกับฉันทันที
”จีจี้ มาทำไม” พี่เซนหันมาตามเสียง พอเห็นว่าเป็นใครก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันไปทำงานต่อ
”เตๆ ใครอะ” ฉันเดินมาอีกฝั่งแล้วสะกิดแขนเตที่ยืนขันน็อตอยู่ เตหันไปมองทางพี่เซนแล้วเสียงถอนหายใจก็ดังออกมาเหมือนพี่เซนเป๊ะเลย
“ธรรมดา สาวๆชอบมาหาพี่เซนหัวกะไดไม่เคยแห้ง”
“นิสัยเถื่อนๆแบบนี้อะเหรอหัวกะไดไม่แห้ง” ฉันพูดไปตามที่คิดทำให้เตยืนหัวเราะคิกคักเบาๆ
”พี่เซนเสน่ห์แรงจะตาย ทั้งหล่อ รวย เท่ขนาดนี้สาวที่ไหนจะไม่มาหาวะ”
“จะไปรู้เหรอ”
“ก็เห็นจะมีแต่เธอนี่แหละที่รู้สึกจะไม่หลงเสน่ห์พี่เซนน่ะ”
“ฉันไม่ได้คบใครที่หน้าตาสักหน่อย คบที่นิสัยย่ะ “ ฉันพูดอย่างไม่คิดอะไร
”เหรอวะ แล้วตอนนี้มีแฟนยัง“
”พูดแบบนี้จะจีบหรือไง” ฉันหันไปขมวดคิ้วถามเตแหย่ๆ
”น้องสาวคนสวยขอเบอร์หน่อยสิจ้ะ วี้ดวิ้ว” รู้หรอกว่าเตพูดเล่นน่ะ ก็ดูมันทำหน้าสิไหนจะเสียงผิวปากอีก นี่ถ้ามันไม่หน้าตาดี ผิวไม่ขาว ฉันนึกว่าเด็กแวนซ์แถวบ้าน
“รู้ตัวว่าสวย ไม่ต้องชม” ฉันทำท่าทางสะบัดบ๊อบใส่ ทำให้เตกับพี่ๆช่างที่อยู่ใกล้หัวเราะก๊ากเสียงดัง
เป๊าะ!
“โอ๊ย! ไรอะพี่เซน” ฉันเอามือขึ้นมาถูกหน้าผากที่เขาเพิ่งดีด คนบ้าอะไรมือหนักชะมัดเลย
”อู้งานเดี๋ยวก็ไล่ออกซะเลย ไอ้ลูกหนี้” ฉันทำหน้ามุ่ยใส่เขาแล้วเดินกลับเข้าไปที่สำนักงานตามเดิม พูดดีๆก็ได้ปะจะดีดหน้าผากเพื่ออะไร มันเจ็บ!