EP : 4
“ไงเรา ปลุกเพื่อนบ้านแต่เช้าเลยนะ”
“พี่อาร์ต! ได้ยินเหรอคะ” เสียงทักทายจากเพื่อนบ้านที่มีรั้วติดกันดังขึ้นระหว่างที่ฉันกำลังตากผ้าอยู่ บ้านแถวนี้เป็นชุมชนเก่าค่ะอยู่ติดกันแล้วรั้วก็ไม่ได้สูงมากเท่าไหร่ก็เลยทำให้พวกเราสนทนากันแบบนี้ประจำ พี่อาร์ตเป็นพี่ชายข้างบ้านที่เพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน เป็นพี่ชายแสนดีที่คอยช่วยเหลือฉันอยู่ประจำ
“อื้ม ย้ายไปอยู่ที่อื่นไหมนับ” พี่อาร์ตพยักหน้ารับ ซึ่งก็ประจำนั่นล่ะค่ะสมาชิกในบ้านหลังนี้ชอบทะเลาะกันเสียงดังฉันอายจนไม่รู้จะอายยังไง แล้วพี่อาร์ตก็ถามคำถามที่ชอบถามฉันบ่อย ๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่เอาหรอกพี่อาร์ต นับอยากอยู่บ้านของพ่อแม่” ฉันตอบเขาด้วยรอยยิ้ม ในใจมันอ่อนแอนะคะแต่ไม่อยากให้ใครต้องเป็นห่วง ไม่อยากทำตัวน่าสงสาร
“เฮ้อ! พี่ไม่รู้จะพูดยังไงกับเราแล้ว มาอยู่บ้านพี่ก่อนไหมอย่างน้อยก็ดีกว่าห้องนั้น”
“โหย~ ขืนไปอยู่ป้าจันทร์คงได้โพนทะนาว่านับใจแตกยิ่งกว่าเดิมแน่นอน แล้วก็ต้องตะโกนด่าให้พี่อาร์ตเอาสินสอดมาขอนับ เชื่อเหอะ” ฉันบอกแล้วก็ขำไปด้วยเพราะมั่นใจว่าสิ่งที่พูดไปไม่ผิดจากนี้แน่นอน
“ฮ่า ๆๆ พี่ก็ลืมนึกถึงข้อนี้ไปเลย แต่ก็ได้อยู่นะเอาไหมล่ะ” พี่อาร์ตฟังแล้วก็ขำไปกับฉัน แถมยังพูดทีเล่นทีจริง ถึงแม้พี่อาร์ตจะหล่อมากก็ตามแต่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กแถมยังเคยแก้ผ้าเล่นน้ำในกะละมังด้วยกัน แค่คิดเล่น ๆ ก็ไม่ไหวแล้วค่ะ
“เรารู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วพี่ แค่คิดเล่น ๆ นับก็ขนลุกแล้ว”
“ฮ่า ๆๆ โอเค ๆ เดี๋ยวพี่ไปทำงานแล้วนะ”
“วันเสาร์นะคะยังต้องทำงานอีกเหรอพี่อาร์ต”
“วันนี้ตอนบ่ายต้องตามเจ้านายไปประชุมที่ภูเก็ต พี่ไปแล้วนะเดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก” พี่อาร์ตยิ้มให้ก่อนจะโบกมือลาฉัน
“ค่า เดินทางปลอดภัยนะคะ” ฉันโบกมือลาเขาเช่นกัน งานพี่อาร์ตคือการเป็นเลขา แต่บริษัทอะไรฉันก็จำไม่ได้ สมองมันล้าจำอะไรไม่ค่อยได้หรอกค่ะ แต่อิจฉาพี่เขาเหมือนกันเพิ่งเรียนจบก็มีงานดี ๆ ทำแล้ว ถ้าฉันเรียนจบจะหางานง่ายแบบพี่อาร์ตไหมนะ
-หนึ่งอาทิตย์ต่อมา-
“นับ ตั้งแต่ไอ้พี่จ๊อดโดนคุณคริชลั่นไกใส่วันนั้นก็ไม่กล้าเข้ามายุ่งกับนับอีกเลยเนอะ” อัญชันเพื่อนพนักงานเสิร์ฟในผับคนเดิมคุยกับฉันในช่วงที่พวกเรากำลังเตรียมข้าวของให้พร้อมเพราะเดี๋ยวจะถึงเวลาที่ผับเปิดแล้ว
ก็เป็นอย่างที่อัญชันพูดนั่นล่ะค่ะ ตั้งแต่วันนั้นไอ้พี่จ๊อดก็ไม่กล้ามายุ่งกับฉันอีกเลย สงสัยหลอนไม่หาย สติคงกระเจิงไปพร้อมกับกระสุนปืนที่วิ่งผ่านขาแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
“อื้อ ดีแล้วล่ะอัญเพราะนับเบื่อมาก” ฉันหันไปบอกอัญชันด้วยความรู้สึกยินดีปรีดา แต่แอบใจกระตุกตอนที่อัญชันพูดชื่อคุณคริช ก็เทพบุตรขี่ม้าขาวของนับเงินหายไปเลยตั้งแต่วันนั้น
“แต่พักนี้ไม่เห็นคุณคริชมาดื่มที่นี่เลยเนอะ” เฮ้อ! อัญชันจะตอกย้ำนับเงินไปไหนคะ ไม่เห็นใจคนแอบชอบบ้างเลย
“เขาก็คงไปร้านอื่นมั้งอัญ จะให้เที่ยวอยู่ร้านเดียวมันก็น่าเบื่อไป” ฉันตอบแบบยิ้มอ่อน
“แต่ที่นี่เด็กเสิร์ฟสวยนะคะคุณนับเงิน” อัญชันพูดขึ้นแล้วก็มองฉันแบบหรี่ตา
“หมายถึงนับ” ฉันเอามือชี้มาที่ตัวเองแล้วก็ยิ้มรับคำชมนั้น ก็ทุกคนชอบชมว่าฉันสวย จากที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองสวยแค่หน้าตากลาง ๆ นี่ก็เริ่มมั่นหน้าแล้วค่ะ สวยก็สวยวะ ฮ่า ๆๆ
“โห~ เดี๋ยวนี้กล้ายอมรับด้วย” อัญชันก็เล่นกลับค่ะ เล่นใหญ่ด้วยการทำหน้าอึ้งใส่
“ก็นับโดนพูดกรอกหูว่าสวยทุกวัน ไม่อยากยอมรับแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง” พอฉันพูดแบบนั้นจบเสียงหัวเราะของเราทั้งสองก็ดังขึ้นก่อนที่จะคุยไปทำงานไปเพื่อเตรียมรับศึกใหญ่จากลูกค้าในวันนี้ คืนวันศุกร์ที่ตรงกับต้นเดือนพอดี บันเทิงแน่นอนค่ะ
“กัสทำไมมึงไม่ออกไปนั่งกับลูกค้าล่ะ วันนี้คนเยอะมากต้องมีแต่คนแย่งกันซื้อดื่มให้มึงแน่นอนค่ะ” เสียงพีอาร์ในผับที่เป็นเพื่อนกับซูกัสถามนางขึ้นและฉันก็บังเอิญได้ยินพอดีเพราะกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ ส่วนคนข้างนอกที่คุยกันเพิ่งเดินจะเข้ามา
“เดี๋ยวที่รักของกูจะเข้ามากูไม่อยากให้มีกลิ่นผู้ชายคนอื่นติดตัว” น้ำเสียงเชิดตอบขึ้นมาทำให้เพื่อนนางถึงกับกรี๊ดเบา ๆ เพราะนางพูดแบบนี้เป็นใครในผับก็ต้องรู้หมดว่าหมายถึงคุณคริช
“กรี๊ด~ วันนี้มาเหรอ อิจฉามากอยากได้บ้าง” ไม่ใช่แค่เพื่อนของซูกัสที่อิจฉาหรอกอีคนที่นั่งขี้อยู่ในห้องแคบ ๆ นี่ก็อิจฉา อยากได้บ้างเหมือนกัน ฮ่า ๆๆ เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเขาคือผู้ชายที่ปลุกความแรดในตัวนับเงิน
“เสียใจจ้ะ คนนี้ตัวจริงกูหวงมาก แล้วเขาก็ไม่ยอมให้คนอื่นไปนั่งซะด้วยสิ” เสียงยัยซูกัสตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเชิดและหยิ่งหนักกว่าเดิมก่อนที่เสียงรองเท้าส้นสูงจะดังแผ่ว ๆ เหมือนมีคนเดินออกไป
“หือ! อีดอก! ทำเป็นเชิดก็แค่เด็กที่เขาเรียกไปนั่งล้วงนั่นล่ะวะ! พูดอย่างกับเขาจะเอาตัวเองเป็นแฟน”
“เออ ทำอย่างกับเขาจะเอามันไปเป็นตัวจริง” อ้าวเฮ้ย! น้ำเสียงเปลี่ยนไป ลิ้นสองแฉกนี่หว่า ฮ่า ๆๆ พอเพื่อนสนิทออกไปก็ด่าไล่หลังซะงั้น ตลกดี ด่ากันลับหลังแบบไม่ได้สนว่าบุคคลปริศนาที่นั่งขี้อยู่จะได้ยินด้วยซ้ำ
เวลาผ่านมาเกือบเที่ยงคืนฉันก็เห็นคุณคริชเข้ามาที่ผับ ขนาดมองจากที่ไกล ๆ ยังหล่อมาก หล่อเวอร์ หล่อบรรลัยทำใจละลาย สาว ๆ ในผับก็มองเขาเป็นตาเดียว แต่น่าเสียดายที่วันนี้ฉันต้องเสิร์ฟที่โซนข้างล่างเพราะคนเยอะมากเลยไม่ได้ขึ้นไปเสิร์ฟโซน VIP ส่วนซูกัสคนสวยที่ตอนนี้นั่งข้างคุณคริชก็กำลังเชิดหน้าใส่ผู้หญิงแทบจะทุกคนประหนึ่งว่าตัวเองคือคนที่ได้ผู้ชายสุดหล่อและแบดบอยคนนี้ไปครอบครองทั้งตัวและหัวใจ แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจมากมายหรอกนะคะเพราะต่อให้เขาจะควงใครฉันก็เป็นได้แค่คนที่แอบชอบอยู่ดี ร้องเพลง คนเจียมตัว ของ so cool วนไปสักหมื่นรอบเถอะนับเงินเอ๊ย
#NUB NGERN END
#KRICH TALK
“วันนี้ดื่มหนักจังเลยนะคะ” เสียงเซ็กซี่ของซูกัสถามขึ้นใกล้ ๆ หูผม ปกติถ้าผู้หญิงมาใกล้ผมจะพอใจมากแต่วันนี้รู้สึกเบื่อ อีกอย่างคงเพราะมองเห็นเด็กเสิร์ฟด้านล่างเห็นแล้วหงุดหงิด ผมแม่งยิ่งมีปมกับผู้หญิงที่แอ๊บใสอยู่ด้วย พอมาเห็นว่ามีคนประเภทนั้นอยู่ไม่ไกลผมก็เลยหงุดหงิดมาก
“เหนื่อยกับงานน่ะ กัสสั่งเหล้าเพิ่มให้พี่หน่อย เอามาเยอะ ๆ เลย” พอหงุดหงิดแล้วก็อยากเอาเหล้าเข้าปากครับ ไม่งั้นมันจะยิ่งหงุดหงิด
“ได้ค่ะ เหมือนเดิมเลยนะคะ” ซูกัสหันมาอ้อนเสียงหวานพร้อมดวงตาเป็นประกายเพราะผมแดกเหล้าแพงครับ แพงที่สุดของร้าน
วันนี้ผมมาคนเดียวเพาะอยากมาดื่มแบบที่ไม่ต้องมีเพื่อนมาพูดจากวนส้นตีน เหนื่อยกับงานที่มีปัญหาแค่ยิบย่อยแต่พวกลูกน้องที่จ้างโคตรแพงให้ดูแลบริษัทลูกดันทำงานไม่ได้เรื่อง ผมต้องไปจัดการปัญหาเองกว่าจะลงตัวมันก็กินเวลาชีวิตผมไปทั้งอาทิตย์ แต่พอจะมาพักผ่อนดันมาเจอยัยเด็กหน้าสวยแอ๊บใส แม่งสวยกว่าผู้หญิงคนนั้นแล้วจะร้ายลึกกว่ารึเปล่าวะ กูยิ่งเกลียดผู้หญิงประเภทนี้อยู่ด้วย
“พี่คริชอารมณ์ไม่ดีเลยนะคะ ให้กัสช่วยผ่อนคลายไหม” หลังจากนั่งกันมาจนตี 1 เกือบจะตี 2 และผมก็เริ่มจะเมามากแล้วซูกัสก็เอามือมาลูบขาผมแผ่ว ๆ พร้อมกับกระซิบยั่วข้างหู ซึ่งผมรู้ดีว่าเธอหมายถึงอะไร ถึงจะชอบที่มีผู้หญิงมาอ่อยแต่เวลานี้จะให้เธอมาช่วยยังไงครับ กูเมาเละขนาดนี้แล้วแม้แต่ตัวกูเองยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย
“ไม่เอาน่ากัส” ผมดันมือซูกัสที่เริ่มจะลากมาใกล้เป้าผมเรื่อย ๆ ถึงจะเคยกันมาบ้างแต่ผมไม่ชอบผู้หญิงรุกก่อน และก็นั่นล่ะเวลานี้สติผมกำลังจะไม่คงที่กำลังจะเมาเละไปทั้งตัว ยั่วไปผมก็ไม่ทำอยู่ดี
“กัสแค่อยากให้พี่คริชอารมณ์ดี วันนี้ไม่ค่อยเอ็นจอยเลยนี่คะ”
“รินเหล้ามาเถอะ วันนี้พี่อยากดื่มมากกว่า” ผมบอกไปซูกัสก็ทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร
“กัส ๆ” พนักงานในร้านเดินมาแล้วก็ก้มหัวให้ผมเป็นเชิงขออนุญาตแล้วก็เรียกซูกัส
“มีไรพี่ไหม”
“มีคนโทรมาหา เขาบอกมีธุระด่วน สำคัญมาก” พนักงานคนนั้นบอกซูกัสพอซูกัสพยักหน้ารับรู้ถึงได้เดินออกไป
“พี่คริชคะกัสขอไปรับโทรศัพท์แป๊บเดียวนะคะ เดี๋ยวกัสมาค่ะ ท่าทางคงเป็นคนที่มีธุระสำคัญแน่เลย” เธอหันมาบอกผมซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ ผมรู้กฎของที่นี่มาว่าห้ามพนักงานใช้โทรศัพท์ในเวลางาน ถ้าใครมีธุระสำคัญให้โทรเข้าเบอร์ของผับแทน
ผมนั่งกระดกเหล้ามองอะไรไปเรื่อยเปื่อยแต่สายตามันชอบมองลงไปด้านล่างมากกว่า ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แถมยังชอบโฟกัสไปที่ผู้หญิงคนนั้นด้วยสิ
“พี่คริชคะ” ผ่านไปสักพักซูกัสก็เดินมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“หืม?”
“คือ...วันนี้กัสต้องขอตัวก่อน พอดีว่าญาติกัสเกิดอุบัติเหตุไปขับรถชนคนแล้วไม่มีใครไปประกันตัวน่ะค่ะ กัสเลยต้องไปช่วย”
“อื้ม ได้ครับไปเถอะ” ผมตอบรับเธอก็ทำหน้าลำบากใจแล้วก็ขอตัวไป ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้วครับ นั่งกินเหล้าเงียบ ๆ คนเดียวมันก็ดีไปอีกแบบ เพราะคืนนี้ไม่ได้ตั้งใจมากินแต่ตั้งใจมาดื่ม
-03.00 น.-
เสร็จงานไปอีกหนึ่งวันแล้วค่ะ กว่าจะเคลียร์ความสะอาดในร้านเสร็จ ถึงจะมีพนักงานทำความสะอาดแต่มันก็เป็นน้ำใจฉันเลยช่วยพี่เขาทำต่อจนทุกอย่างในผับเรียบร้อยแบบนี้ทุกวัน แล้วตอนนี้ก็กำลังเดินออกไปเพื่อรอรถเมล์กลับบ้าน
“หือ? รถคุณคริชไม่ใช่เหรอวะ” ฉันเดินผ่านลานจอดรถก็เห็นรถสีดำที่พอจะจำได้ว่าเป็นคันที่ไปส่งฉันเมื่ออาทิตย์ก่อนจอดอยู่ ทำไมคุณคริชยังไม่กลับ ไปต่อกับซูกัสก็คงไม่ใช่มั้งฉันได้ยินว่าซูกัสมีธุระด่วนรีบกลับตั้งแต่ตี 1 แล้วนี่นา
“คุณคริช คุณคริชคะ” พอเดินไปใกล้ ๆ รถฉันก็เห็นเขานอนหลับอยู่ในรถ แถมไม่ปิดประตูรถด้วยสิ ดูจากท่าทางคงเมาเละเลยล่ะ และด้วยความที่เขาเคยช่วยเหลือฉันพอเห็นเขาอยู่ในสภาพนี้ฉันก็เลยอดที่จะดูเขาหน่อยไม่ได้ เมาเละแบบนี้เกิดเจอผู้ร้ายมาปล้นจะทำยังไง
“อื้ม~ จะนอน~” คุณคริชครางออกมาในลำคอด้วยความหงุดหงิด
“คุณคริช คุณมานอนตรงนี้ไม่ได้นะคะ ถ้าพนักงานกลับหมดตรงนี้มันจะเปลี่ยวมากนะ” ฉันเอามือไปเขย่าที่แขนเพื่อปลุกเขาเบา ๆ ทำให้คุณคริชค่อย ๆ ลืมตามามองช้า ๆ
“เสือกไรวะ!” ตาปรือแต่ยังคงความหล่อจ้องที่หน้าฉันแล้วก็พ่นคำด่าออกมาด้วยน้ำเสียงแอ้อ้อ
“คุณคริช จำนับได้ไหมคะ” ฉันไม่สนใจคำหยาบของคนเมาหรอกค่ะ มันเรื่องปกติ สนใจแค่ให้เขาอย่ามานอนเมาเละตรงนี้ก็พอ
“หือ?...อ้อ~ เธอเองเหรอ หึ!” เขาหรี่ตามองฉันแล้วก็ทำหน้าเหมือนนึกได้ แต่ หึ! ที่ลงท้ายนี่ไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง หางเสียงมันสะบัดแปลก ๆ
“ค่ะนับเอง คุณคริชไหวไหมคะ ตรงนี้มันเปลี่ยวนะคะ”
“ฉันเมา~”
“ถ้างั้นนับว่าคุณคริชล็อกรถเอากระจกขึ้นแล้วแง้มไว้นิดเดียวดีกว่านะคะ” ฉันแนะนำคนเมาไปด้วยความหวังดี เกิดพรุ่งนี้มีข่าวว่าหนุ่มหล่อโดนปล้นฆ่าชิงทรัพย์ในผับชื่อดังจะทำยังไง
“ไม่เอา กลับไปนอนดีกว่า” เขาอ้อแอ้ตอบแล้วก็ขยับตัวนิดหน่อย
“คุณเมาจะขับรถกลับได้ยังไงคะ ถ้างั้นเดี๋ยวนับไปเรียกแท็กซี่ให้นะคะ”
“ไม่เดี๋ยวรถหาย เธอขับรถเป็นไหม” เขาส่ายหน้าตอบพร้อมกับคำพูดอ้อแอ้เมาเละเหมือนเดิม
“เป็นค่ะ” ฉันพยักหน้าตอบ อย่าบอกนะว่า...
“อือ~ ขับให้หน่อย เดี๋ยวบอกทาง” เขาพูดแค่นั้นก็ปีนไปนั่งที่เบาะด้านข้างคนขับทันที มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ ฉันขับรถเป็นค่ะแต่ไม่ใช่ซุปเปอร์คาร์แบบนี้
“ไม่ดีมั้งคะ อีกอย่างนับไม่เคยขับรถพวกนี้ด้วย” ฉันรีบตอบกลับ จะให้ไปส่งเขาก็ได้อยู่นะคะตอบแทนที่เขาเคยช่วยฉันไว้ แต่ต้องไม่ใช่การขับรถราคาเป็นสิบ ๆ ล้านแน่ ปุ่มอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะเต็มไปหมด
“ขับ ๆ ไปเหอะน่า ประกันชั้นหนึ่ง เอิ๊ก!” คุณคริชพูดไปก็ทำท่าเหมือนจะอ้วกปนมากับเรอ
“แต่...”
“เร็วสิวะ!” เขาหันมามองหน้าฉันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เชื่อแล้วว่าเมาเละจริง ๆ เอาวะเป็นไงเป็นกันขับก็ขับ ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณของเขาและช่วยเหลือสุดหล่อในดวงใจก็แล้วกันนับเงิน