EP 4 : จะจีบ
“กราฟคะเมื่อกี้ริต้าเห็นกันต์อยู่แว็บ ๆ ริต้าว่าเราเข้าไปทักทายกันต์หน่อยไหม”
“ทำไม? คิดถึงมันรึไง”
“เปล่าสักหน่อยก็แค่เจอคนรู้จักนี่คะ ตามมารยาทก็ควรไปทักไม่ใช่รึไง กราฟอ่ะขี้หึงจนคิดมากไปทุกเรื่องเลยนะ” ริต้ารีบซบหน้าลงที่ไหล่ผมเพราะผมหน้าตึงขึ้นมา ตอนแรกว่าจะพามากินอะไรอร่อย ๆ แต่ริต้าดันพูดขัดหูผมอารมณ์อยากกินเลยหายไปหมด ยิ่งรู้ว่าอยู่ในร้านเดียวกันกับมันผมก็ยิ่งหงุดหงิด
“สั่งอาหารได้แล้ว” ผมยื่นเมนูที่พนักงานเอามาให้ ๆ กับริต้าเธอก็จัดการสั่งอาหารทั้งของเธอและของผมให้อย่างรู้ใจ ริต้ารู้ใจผมไปหมดนั่นล่ะครับ ทุกเรื่องยกเว้นชอบทำตัวเหมือนอยากให้ผมกับไอ้เหี้ยนั่นญาติดีกัน
“เอ๊ะ! นั่นกันต์มาทานข้าวกับผู้หญิงที่มีเรื่องกับกราฟเมื่อตอนวันเกิดนี่คะ ริต้าจำเธอได้ เอ่อ...ขอโทษนะคะริต้าแค่สงสัยไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงกันต์นะ” ริต้าแม่งทำผมอารมณ์เสียคูณ 2 แล้วครับ ยิ่งบอกว่ามียัยนั่นอยู่ด้วยผมยิ่งอารมณ์ไม่ดีมากขึ้น ผู้หญิงอะไรแม่งปากกล้าบ้าบิ่นฉิบหาย
“เป็นแฟนกันเหรอ?” ผมแค่ปรายตาขึ้นถามริต้าแล้วก็เบนสายตาไปทางโต๊ะไอ้เชี่ยกันต์ มันทำเหมือนไม่เห็นผมแต่ผมรู้ดีว่ามันเห็นตั้งแต่ผมเข้ามาแล้ว
“ริต้าไม่รู้หรอกค่ะ ริต้าไม่ได้สนใจนี่คะ” ริต้าตอบแล้วก็ยิ้มให้ผม หึ! ไม่สนใจน้อยล่ะสิ
ผมมองดูสายตาของมันจากไกล ๆ ก็รู้ว่ามันคิดอะไรกับยัยนั่น ปั้นหยา ผู้หญิงที่กวนใจผมมาตลอดทั้งเดือน
...ยัยตัวแสบ!
“ทานข้าวเสร็จแล้วริต้าต้องรีบกลับมหาลัยนะคะ มีงานกลุ่มต้องทำค่ะ” ริต้ายิ้มบอกผม
“อื้ม” ผมก็แค่พยักหน้ารับรู้และตอบรับสั้น ๆ ไม่ได้ว่าอะไรต่อเพราะผมก็มีเรื่องที่ต้องไปทำเหมือนกัน
#GRAPH END
#PANHYA TALK
ฉันกินข้าวด้วยอารมณ์ที่บูดมาก ดีนะที่เหมือนว่าไอ้พี่กราฟนั่นจะไม่เห็นพี่กันต์ แต่ถึงเห็นเขาก็คงจำฉันไม่ได้หรอกมั้งคะ ได้ข่าวว่าซ่องสุมนารีเยอะอยู่พอตัว มั่วจนจำหน้าคู่ขาไม่ได้แล้วมั้ง!
หลังจากโซ๊ยอาหารอิตาเลี่ยนเป็นข้าวเที่ยงฉันกับยาหยีก็กลับมาที่คณะโดยการมาส่งของพี่กันต์เหมือนตอนขาไปแล้วก็ขึ้นเรียนตอนบ่ายต่อ ชีวิตนักศึกษาแพทย์มันปวดหัว โชคดีนะเนี่ยที่ Intelligence หรือความฉลาดของปั้นหยามันมีมากเหมือนหน้าตาเลยไม่รู้สึกสาหัสกับการเรียนเท่าไหร่ ฮ่า ๆๆ
“หยากลับเลยรึเปล่าเดี๋ยวหยีไปส่ง” พอลงจากตึกคณะในเวลา 17.30 น. เวลานี้ช่างดีเหลือเกินเพราะยังไม่ค่ำมากแต่จะให้ยาหยีไปส่งก็เกรงใจ หอฉันซอยมันแคบมากที่สำคัญยาหยีมันก็ดีแค่สวยแต่ขับรถห่วยแตกมาก แค่ที่ประคองพวงมาลัยจากบ้านมาคณะไม่ให้ไปชนคนอื่นในแต่ละวันก็ลำบากเอาการแล้ว
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวนั่งวินกลับเอง หยีกลับเถอะเดี๋ยวรถติด”
“ได้แน่นะ” ยาหยีมองหน้าฉันเหมือนจะชั่งใจ
“ได้สิ กลับได้มา 3 ปีแล้ว ไปเถอะคุณหมอยาหยีขา กลับช้ามันจะมืดค่ำเอา”
“โอเค ถ้างั้นเจอกันพรุ่งนี้นะหยา”
“โอเคจ้าขับรถดี ๆ นะ” ฉันโบกมือลายาหยีก่อนที่เราจะแยกกัน บรรยากาศช่วงเย็นในมหาลัยมันก็จะเงียบแต่ไม่ได้สงบหรอกนะคะ มีนักศึกษาอยู่ทำกิจกรรม ทำงาน เล่นกีฬาหรือทำอะไรต่าง ๆ มากมาย ฉันก็เดินทอดน่องชมวิวไปเรื่อย
“ไง~” คือว่าคณะของปั้นหยาเนี่ยมันอยู่ค่อนไปด้านหลังของมหาลัย ที่จริงมันมีประตูหลังก้าวขาออกไปนั่งกอดเอวพี่วินกลับหอได้เลยแต่อยากเดินเล่นไงคะก็เลยยอมเดินด้วยระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตรจากคณะไปหน้ามหาลัยเพราะพื้นที่ในมหาลัยมันใหญ่มาก และด้วยความที่เดินทอดน่องคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเวลานี้ก็เลย 6 โมงกว่า ๆ แล้วมันเริ่มมืด บรรยากาศก็เริ่มจะเงียบลงไปมากพอมีเสียงพูดขึ้นมาก็ทำให้ฉันสะดุ้ง
“เสียงใครวะ” มองหันซ้ายหันขวาก็ไม่เจอใคร ตรงนี้เงียบมากไม่มีใครเลยนอกจากรถ Ferrari 488 Spider ป้ายแดงโคตรเท่ห์แถมสีเหลืองอ๋อยเหมือนมินเนี่ยนเดินตกถังคัสตาร์ดที่ฉันมองตาค้างมาตั้งแต่ 200 เมตรแรกที่เห็น สีโดดเด่นมากแล้วก็โคตรเท่ห์มาก ฮือ~ อยากแอบเซลฟี่ตัวเองกับรถ นึกดูแล้วรถคันนี้มันต้องสวยมากขึ้นเป็นเท่าตัวแน่ ๆ ถ้ามีปั้นหยาไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ ฮ่า ๆๆ
“เสียงฉันเอง” ฉันเองแล้วฉันไหนวะ? มึงเป็นผีมาขอส่วนบุญเหรอ! ฉันมองซ้ายมองขวา 2-3 รอบก็ไม่เจอใคร ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บริเวณนี้นอกจากรถ Ferrari คันนี้คันเดียว
แต่เอ๊ะ! กระจกรถมันเปิดอยู่นี่คะ เพิ่งเห็นว่ามันเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ฉันไม่ได้ใส่แว่นเลยมองไม่ชัด พอหรี่ตาดูดี ๆ ถึงเห็นว่ามีคนอยู่ข้างใน คนข้างในรถทักฉันเหรอ! ทักปั้นหยาคนสวยนี่นะ? นี่ฉันสวยมากจนผู้ชายที่ขับ Ferrari อยากรู้จักเลยเหรอ >///<
“คุย...กับฉันเหรอคะ” ฉันหันไปมองดี ๆ แล้วก็ก้มหน้าลงไปอยู่ระดับกระจกเพื่อคุยกับเขา แต่เอ๊ะ! เหมือนมันจะแปลก ๆ รึเปล่านะ เหมือนปั้นหยาก้มหน้าลงแล้วถาม 500 ค่ะ ไปต่อไหมคะพี่ ท่าทางแบบนี้มันทำให้สื่อแบบนั้นมากฉันก็เลยรีบยืดตัวขึ้นทันที
ฉันถามแล้วแต่คนบนรถไม่ตอบเลยค่ะ เขาเหมือนจะขยับตัวแล้วประตูรถก็เปิดออก เอาแล้วนาทีระทึกมาเยือนเพราะกำลังลุ้นว่าพี่ Ferrari จะหล่อแค่ไหนกัน >///<
“ครับ พี่คุยกับปั้นหยานั่นแหละ” ^^
ฉะ ฉิบหาย!
ฉิบหายจริง ๆ ค่ะ เพราะคนที่ลงมาจากรถจากที่กำลังลุ้นว่าจะหล่อไหมมันก็หล่อจริง ๆ นั่นแหละ หล่อมากด้วย แต่มันหล่อระยำ! ไอ้พี่กราฟ ไอ้พี่บ้านี่เป็นเจ้ากรรมนายเวรรึไงวะ! แล้วมันรู้จักชื่ออีหยาได้ไงอย่าบอกนะว่าแค้นจัดจนไปตามสืบเรื่องของฉันเพื่อกลับมาล้างแค้น ท่าทางยิ่งไม่น่าจะใช่คนดีอยู่ด้วย
“ไอ้เลว! นายจะมาหาเรื่องฉันใช่ไหมฮะ!” พอไอ้พี่กราฟมันก้าวออกมาจากรถพร้อมด้วยน้ำเสียงหล่อและแสนสุภาพฉันก็เลยถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเตรียมพร้อมเผื่อได้รบ พอถอยจบก็พ่นคำที่โคตรคะนองใส่เขา ปั้นหยาเอ๊ย~ ไปปากไวเรียกเขาว่าไอ้เลวตั้งแต่คำแรกเลย ไม่มีคนช่วยได้ด้วยนะตรงนี้ เกิดเขาจับฆ่าหมก Ferrari จะทำยังไง
“พูดจาไม่น่ารัก โกรธอะไรพี่นักหนา” ไอ้พี่กราฟ ไอ้พี่กราฟมันมาผิดเวอร์ชั่นค่ะ ครั้งนี้ทำน้ำเสียงหน้าตาแสนดีเหมาะสมกับใบหน้า แต่ไม่มีทาง ไม่มีทางที่อยู่ดี ๆ เขาจะมาทักทายฉันเหมือนคนรู้สึกดีต่อกันแน่นอน วันนั้นเพิ่งผลักกันและกันตกน้ำอยู่เลยปั้นหยาจำไม่ลืม
“อย่ามาพูดเพราะแล้วก็อย่ามาทำน้ำเสียงน่าขนลุกแบบนั้นกับฉันทั้งที่ความจริงนายมันโคตรถ่อย มีอะไรกับฉันพูดมาเลยดีกว่าอย่าเล่นลิ้น” ทั้งที่คิดว่าเขาจะจำฉันไม่ได้แล้วซะอีกแต่ในเมื่อจำได้ก็ไม่เป็นไรค่ะจะได้แก้แค้นที่ผลักอีหยาตกน้ำแล้วก็ด่าว่าเป็นเหลือบไรที่เข้าไปในบ้านเขา!
“โกรธเรื่องวันนั้นเหรอ เฮ้อ! พี่ขอโทษนะวันนั้นพี่เมาก็เลยปากเสียไปหน่อย” ดูทำหน้า ทำหน้าตาเป็นคนดีมาก ถ้าเมาแล้วสันดานหยาบขนาดนั้นเขาไม่เรียกว่าหน่อยหรอก เรียกว่าโคตรถ่อยต่างหากไอ้กร๊วก!
“เหอะ! แสดงละครไม่เนียน เลิกพูดจาแสนดีสักที นายจะมาเอาคืนฉันใช่ไหม พูดมาแมน ๆ เลย” บอกแล้วว่าเป็นลูกสาวกำนัน ความมั่นความนักเลงฉันมีเต็มจนล้น
“อย่าห้าวน่า ขึ้นรถเร็วเดี๋ยวพี่ไปส่งครับ” ไอ้พี่กราฟส่ายหน้าแล้วก็ส่งยิ้มหล่อมาให้ ก่อนที่เขาจะเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับออกเหมือนจะให้ฉันเข้าไปนั่ง เป็นบ้าเหรออยู่ดี ๆ คนที่ไม่อยากเผาผีมาชวนให้ขึ้นรถแล้วจะขึ้นง่าย ๆ นี่ปั้นหยานะคะ สาวสวยแตงแห่งเมืองสุพรรณค่ะไม่ใช่นางงามฟุตบาทที่จะขึ้นรถผู้ชายง่าย ๆ
“เชิญนายชิ่ง Ferrari สีเหมือนขี้ไปรับผู้หญิงที่มองไม่เห็นความชั่วในตัวเถอะนะจ้ะพ่อคุณ” ฉันพูดแล้วก็ส่งรอยยิ้มดูแคลนไปให้เขา ไอ้พี่กราฟก็สะอึกไปค่ะ นิ่งไปเลย เอาเลยวางมวยได้เลยอีหยาพร้อมมาก ฮ่า ๆๆ
“พี่ขอโทษนะปั้นหยาที่วันนั้นพี่พูดจาแย่ ๆ แต่พี่เมามากจริง ๆ พี่รู้สึกผิดมาตลอด”
“เหรอ~ กระชากผู้หญิงไปโยนลงน้ำนี่ไม่ใช่จะอาศัยเหล้าอย่างเดียวนะต้องอาศัยความระยำในตัวด้วยถึงทำได้ ถ้าหากว่านายยังไม่รู้” แค้นฝังหุ่นและจำไม่ลืมยิ่งกว่าใครก็ปั้นหยานี่ล่ะค่ะ อีหยาจำสภาพที่เหมือนกัปปะของตัวเองวันนั้นได้ไม่ลืม
“พี่ขอโทษ” ไอ้พี่กราฟทำหน้าสลดลงพร้อมกับมองฉันด้วยแววตาสำนึกผิดแต่ฉันมันเป็นพวกใครทำอะไรไม่ดีใส่จะจำใส่ใจมากแล้วก็ไม่มีทางหักลบไปหมดจากใจด้วยกันกระทำหรือคำพูดแค่ไม่กี่ประโยค ความรู้สึกมันเสียไปแล้ว จากแอบเพ้อเปลี่ยนเป็นแอบแช่ง คิด คิดแล้วแค้นสุดขีด สุดฤทธิ์สุดเดช ว่าทำไม ทำไม ต้องทำร้ายกันอย่างนี้ เพราะรักสุดขีด สุดชีวิตสุดกู่ ก็เคยดูดูนึกว่าเป็นคนดี!
“เรื่องของนาย ไม่มีอะไรแล้วเนอะ บาย~” ฉันถามกลับด้วยน้ำเสียงเบื่อ ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจมาขอโทษไม่ว่าจะจริงใจหรือไม่จริงใจก็ตามฉันไม่สนใจ ฉันไม่รับไม่รู้เพราะฉันรู้สึกได้อย่างเดียวว่าเขาเลว อย่าเอาความเมามาอ้างเพราะวันนั้นท่าทางเขาไม่ได้เมาเลยสักนิด
หมับ!
“เดี๋ยวปั้นหยา อย่าเพิ่งไป” ฉันหันกลับมาตามเสียงเรียกและไม่ได้ไปไหนตามที่เขาพูด ก็แหม จับข้อมือฉันไว้แล้วฉันจะไปได้ไงวะ!
“ปล่อย!” ฉันไม่ได้พยายามสะบัดออกนะแต่ใช้เสียงตะคอกสั่งเขาแทน
“โอเค ๆ ปล่อยแล้ว แต่ช่วยฟังพี่ก่อนตกลงไหม” พอเห็นฉันเสียงดังมากเขาก็ยอมปล่อยมือ ปั้นหยาก็เลยเอามือมาถู ๆ กระโปรงให้รู้เช่นเห็นชาติรู้แจ้งเห็นจริงกันไปเลยว่ารังเกียจ
“ถ้านายมาโดนตัวฉันอีกนายโดนดีแน่ มีอะไรว่ามาเร็ว ๆ”
“หึ ๆๆ ดุจริง ๆ พี่ไม่ได้มีอะไรหรอกแค่จะบอกว่าตอนแรกพี่คิดจะขอโทษให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยทำอย่างอื่น แต่ไม่ยกโทษให้ก็ทำควบคู่กันไปเลยแล้วกัน เดี๋ยวพี่จะขอโทษไปด้วยจีบปั้นหยาไปด้วย จีบจนกว่าจะยกโทษให้พี่เลยครับ”