EP 1 | แรกพบสบตา
@RMU University
ร่างบางของนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด ชั้นปีที่ 2 กำลังวิ่งสุดแรงเกิดเข้าไปในตึกคณะศิลปศาสตร์ซึ่งวันนี้เธอมีเรียนวิชาเสรีที่นี่และน้ำหอมรู้ตัวดีว่าตอนนี้เธอกำลังจะเข้าเรียนสาย กระโปรงทรงเอเข้ารูปที่สวมใส่อยู่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการก้าวขาด้วยความเร็วของเธอเลยสักนิด โชคดีที่วันนี้เธอตัดสินใจสวมรองเท้าผ้าใบเพราะถ้าเป็นรองเท้าส้นสูงละก็เธอคงได้ล้มหน้าคว่ำอยู่แถวนี้แน่ๆ
“เฮ้ออ เฮ้ออ~”
น้ำหอมหยุดยืนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง มือเรียวยกขึ้นจัดทรงผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะตัดสินใจย่อตัวลงเพื่อแอบเข้าห้องเรียนทางประตูหลัง
วิชานี้เป็นวิชาที่เรียนรวมกับคณะอื่นๆ จึงไม่แปลกที่จะมีนักศึกษานั่งกันอยู่เต็มห้อง ดวงตากลมโตพยายามมองหาอิ่มและแพทเพื่อนสาวคนสนิทของตัวเองเพื่อจะย่องไปยังเก้าอี้ว่างที่เพื่อนจองเอาไว้ให้
“วาสิตา บวรกิจ”
เสียงอาจารย์ประจำวิชาที่เอ่ยเรียกชื่อของน้ำหอมทำให้ร่างบางที่กำลังคลานอยู่บนพื้นสะดุ้งจนศีรษะชนกับขอบโต๊ะเลคเชอร์เข้าอย่างจังแต่ก็ยังโชคดีเพราะมีมือของใครบางคนกุมขอบโต๊ะเอาไว้เนื่องจากเขาคนนั้นกำลังนอนหนุนอยู่บนแขนของตัวเอง
แรงกระแทกทำให้แทนนักศึกษาคณะวิศวะฯ สาขาอิเล็กทรอนิกส์ ชั้นปีที่ 4 เงยหน้าขึ้นมามองสิ่งที่รบกวนการนอนของเขา
สายตาคมกริบกวาดมองไปยังใบหน้าสวยหวานของคนตรงหน้า ดวงตาคู่สวยภายใต้แพขนตางอนที่กำลังจ้องเขาไม่กระพริบ จมูกเชิดรั้นบ่งบอกถึงนิสัยดื้อดึงไม่น้อย ริมฝีปากแสนเย้ายวนที่ทำให้ใบหน้าหวานดูเซ็กซี่ในบางมุม
อาการของแทนไม่ต่างไปจากน้ำหอมที่กำลังจ้องคนตรงหน้าด้วยความตะลึง หน้าตาของเขาจะบอกว่าเป็นลูกรักของพระเจ้าก็คงไม่ผิด คิ้วสีดำคมเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลที่ถูกฉาบไว้ด้วยความเย็นชา จมูกเป็นสันคม รูปปากคว่ำลงเล็กน้อยดูเหมือนคนบึ้งตึงหงุดหงิดตลอดเวลา
‘แต่รวมๆ แล้วหล่อมาก หล่อกระแทกใจฉิบหายไปเลย’
“อุ้ย!”
พลั่ก
“อ๊ะ!”
เมื่อตั้งสติได้ว่าเธอจ้องตากับเขานานเกินไปน้ำหอมจึงดีดตัวถอยจนศีรษะของเธอเกือบจะชนกับเก้าอี้อีกตัวข้างหลังถ้าไม่มีมือของใครยื่นมาบังเอาไว้ก่อน
การกระทำของแทนตกอยู่ท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อนร่วมแก๊ง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนเขาเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าศีรษะของเธอกำลังจะชนกับเก้าอี้ตัวข้างหลังมือของเขาก็ยื่นออกไปบังให้อัตโนมัติเสียแล้ว
ดวงตากลมโตไล่มองไปตามท่อนแขนที่มีเส้นเลือดนูนเด่นมันช่างดูเซ็กซี่เร้าใจจนเธอลอบกลืนน้ำลาย
“ขะ...ขอบคุณค่ะ”
น้ำหอมเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เธอก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าคนตรงหน้าจะยื่นมือมาบังให้
“วาสิตา บวรกิจ”
“มาค่ะอาจารย์”
น้ำหอมรีบลุกขึ้นยืนและขานรับชื่อของตัวเอง พลางกวาดสายตามองไปรอบห้องจนเจอสองสาวเพื่อนสนิทของตัวเองที่กำลังมองมาทางเธอด้วยความตกใจไม่ต่างกัน
จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงก็เธอลุกขึ้นยื่นอยู่ท่ามกลางวงล้อมของนักศึกษาคณะวิศวะฯที่ล้วนแต่ใส่เสื้อช็อปสีกรมท่ากันทั้งนั้น
“แล้วเธอไปทำอะไรตรงนั้น”
อาจารย์ประจำวิชายกมือขึ้นจับแว่นพลางหรี่ตามองอย่างจับผิด ตอนนี้สายตาของนักศึกษาร่วมคลาสทุกคนกำลังจ้องมองมาทางเธอเป็นตาเดียว
“หนูเอาปากกามาคืนพี่เขาค่ะ”
น้ำหอมตอบกลับพลางรีบเปิดกระเป๋าหยิบปากกาสีชมพูหวานแหวววางลงบนโต๊ะของแทนแล้วเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
“ขอบคุณมากนะคะ”
“รีบกลับมานั่งที่”
“ค่ะอาจารย์”
ร่างบางแทบจะวาร์ปตัวไปยังเก้าอี้ว่างข้างเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
‘เกือบไปแล้วมั้ยล่ะยัยหอม’
“มึงไปยืมปากกาพี่เขาตั้งแต่เมื่อไหร่”
แพท สาวเปรี้ยวซ่าประจำกลุ่มโน้มตัวเข้ามากระซิบถามด้วยความสงสัย ก็นี่มันเป็นคาบแรกที่เรามาเรียนวิชานี้แถมพวกเธอยังตัวติดกันตลอดเวลา มีหรือถ้าน้ำหอมรู้จักรุ่นพี่คนนั้นแล้วเธอไม่รู้
“ปากกากูนี่แหละ ก็คลานเข้าห้องมาทางนั้นเลยอ้างๆ ไปก่อน”
น้ำหอมตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก มือเรียวหยิบอุปกรณ์การเรียนในกระเป๋าผ้าของตัวเองขึ้นมาวางบนโต๊ะเลคเชอร์
“เมื่อคืนเลิกดึกเหรอ วันนี้เลยมาสาย”
อิ่ม สาวหวานใจบุญอยู่ในศีลในธรรมขยับตัวเข้ามาถามเพื่อนสาวอีกคนเพราะเธอรู้ดีว่าน้ำหอมทำงานพิเศษทุกวันและเรียกได้ว่าทำแทบจะทุกอย่างจนแพทเคยบอกให้เธอไปเปลี่ยนนามสกุลจาก บวรกิจ เป็น ตามประสงค์
วาลิตาทำทุกอย่างได้ตามประสงค์!
“อือ เสร็จงานตีสองแล้วอ่ะกว่าจะได้นอนก็ตีสาม วันนี้อาจารย์ดันย้ายเวลามาเรียนแปดโมงอีก”
น้ำหอมกลอกตามองบนพลางบ่นกระปอดกระแปด วันนี้เธอคงมาไม่สายหรอกถ้าอาจารย์ไม่เลื่อนเวลาคาบเรียนให้เร็วขึ้นมากว่าเดิมหนึ่งชั่วโมง
ถึงจะต้องทำงานเยอะแต่เธอก็ไม่เคยละทิ้งเรื่องการเรียนเลยสักครั้งเพราะจุดประสงค์ของการทำงานคือหาเงินมาส่งตัวเองเรียนนั่นเอง เธอมีพี่ชายหนึ่งคนซึ่งนิสัยแตกต่างกับเธอโดยสิ้นเชิง
น้ำเหนือพี่ชายของเธอทำตัวเป็นคุณชายติดหรูดูแพงเลือกที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังเพราะมีคณะที่ตัวเองใฝ่ฝันเอาไว้ โดยไม่ได้สนใจฐานะทางการเงินของที่บ้านเลยสักนิด ผู้เป็นพ่อทำงานเป็นช่างตัดชุดนักเรียนในโรงงานแห่งหนึ่งที่เดียวกับผู้เป็นแม่ซึ่งอยู่ในตำแหน่งช่างเย็บ
ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันยังไม่รวมไปถึงค่าเทอมของลูกๆ ทำให้เงินเดือนทั้งสองคนรวมกันก็ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง น้ำหอมจึงเลือกที่จะทำงานส่งตัวเองเรียนเพราะอยากแบ่งเบาภาระของพ่อและแม่
อีกอย่างที่พ่อและแม่ยอมให้พี่ชายเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นเพราะน้ำเหนือบอกว่ามันคือความฝันสูงสุดในชีวิตเขา เรียนจบมาทำงานได้เงินเดือนดีๆ เขาจะเป็นเสาหลักให้ครอบครัวเองแต่นี่ก็เรียนมาห้าปีแล้วไม่มีวี่แววว่าจะจบเสียที
“แต่พี่คนนั้นเขาหล่อมากเลยนะ”
แพทหันมากระซิบกระซาบอีกครั้งในขณะที่มือกำลังจดเลคเชอร์ตามอาจารย์และสายตาก็จดจ่ออยู่ตรงหน้าจอโปรเจคเตอร์
มือของน้ำหอมชะงักเล็กน้อยเมื่อเผลอนึกไปถึงใบหน้าหล่อเหลาของคนที่เพิ่งสบตากันมาแถมการกระทำยังดูสวนทางกับหน้าตาแสนเย็นชาของเขาอีกด้วย
“แหนะ! เงียบแบบนี้ชอบอ่ะดิ”
แพทละสายตาจากข้างหน้าหันมามองเพื่อนสนิทเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา เช่นเดียวกับอิ่มถึงเธอจะนั่งจดเลคเชอร์แบบเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยถามอะไรแต่ก็อยากรู้คำตอบจากปากเพื่อนสาวเช่นกัน
“ก็ชอบนะ หล่อดี”
น้ำหอมยอมรับออกไปตามตรงพลางหันไปขยิบตาอย่างขี้เล่นส่งให้แพทแล้วหันกลับมาสนใจเนื้อหาการเรียนในหน้าจอโปรเจคเตอร์เหมือนเดิม เนื่องจากเธอทำงานเยอะจึงไม่ค่อยมีเวลาทบทวนบทเรียนทางเดียวที่ทำได้ดีที่สุดคือการทำความเข้าใจเนื้อหาในห้องเรียน
“คนนี้มาวะ”
แพทเอ่ยแซวด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มแล้วจบบทสนทนาลงเพราะรับรู้ได้ถึงสายตาพิฆาตที่ส่งมาจากอาจารย์ประจำวิชา
“อาทิตย์หน้าอาจารย์จะให้จับกลุ่มสมาชิกหกคนเพื่อทำรายงานนะคะ นักศึกษาสามารถจับกลุ่มกันก่อนได้เลยแล้วอาทิตย์หน้าก็เข้ามานั่งเรียนเป็นกลุ่มให้เรียบร้อย วันนี้เลิกคลาสได้ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์/ขอบคุณครับอาจารย์”
นักศึกษาบางคนเริ่มจับกลุ่มกันเลยส่วนบางคนก็เดินออกจากห้องไปทันทีค่อยมาหากลุ่มในอาทิตย์หน้า
“เรามีสาม ต้องหาอีกสามอ่ะ”
อิ่มพูดขึ้นในขณะที่มือกำลังเก็บอุปกรณ์การเรียนของตัวเองใส่กระเป๋า เพื่อนในสาขาที่ยังเหลืออยู่ในห้องดูเหมือนจะได้กลุ่มกันหมดแล้วส่วนที่เหลือก็ทยอยเดินออกจากห้อง
น้ำหอมลุกขึ้นยืนพลางหันกลับไปมองโต๊ะแถวหลังสุดที่ตอนนี้พบเพียงแค่ความว่างเปล่า กลุ่มเสื้อช็อปที่เคยนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ลุกขึ้นออกจากห้องไปหมดแล้ว
“อยากจับกลุ่มกับพี่เขาอ่ะดิ” แพทเอ่ยแซว
“บ้า! แค่หันมองเฉยๆ”
“ว่าแต่พี่เขาชื่อไร”
“จะเอาเวลาไหนไปถามล่ะ”