บท
ตั้งค่า

- EP.2 STILL LOVE ทวงรัก - แฟนที่ห่วยที่สุด

EP.2 STILL LOVE ทวงรัก

ตอน แฟนที่ห่วยที่สุด

________________________

ฉันค่อย ๆ เดินไปหยุดยืนที่อยู่ที่ตรงหน้าประตูคอนโดของตัวเองอยู่พักใหญ่ ๆ จริง ๆ ฉันรู้อยู่แล้วว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูนั่นเป็นใคร เพราะว่าในคอนโดมีคนรู้จักฉันคือ แฟนเก่าของฉันคนนี้คนเดียว

"ออกมาคุยกันหน่อย"

"ฉันไม่มีอะไรจะคุยด้วยอีกแล้ว!!" ฉันตอบผ่านประตูไปด้วยเสียงแข็ง

ก๊อก ๆๆ เขายังคงเคาะประตูไม่ยอมเลิกรา

พอฉันไม่ยอมเปิดเขาก็..

ติ๊งต่อง ๆๆ กดกริ๋ง

"ก็บอกว่าเลิกกันแล้วไง!" ฉันเปิดประตูออกและตะโกนใส่หน้าของเขาทันที ซึ่งเขาก็เอานิ้วชี้มาทาบที่ริมฝีปากเรียวบางของฉัน เพราะว่าเสียงตะโกนของฉันมันดังก้องไปทั้งชั้น

ฟุ๊บ! ฉันปัดมือของเขาออกไปอย่างแรง

วินด์เซอร์ยังคงยืนหน้านิ่ง เขาไม่พูดไม่เอ่ยอะไร เขายกถุงอาหารร้านหรูที่ฉันไปนั่งรอเขามาครึ่งค่อนคืนนั้นขึ้นมาตรงหน้าของฉัน

"ยังไม่ได้กินข้าวไม่ใช่เหรอ?" เขาเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง แต่พนักงานชายนั่นบอกฉันว่าครัวใกล้จะปิดแล้วนี่นา แล้วเขาไปซื้อมาได้ไงกันนะ

ฉันได้แต่ตั้งคำถามในใจแต่ยังคงหน้าบึ้งตึงตัง

"ฉันกินแล้ว!" ฉันเชิดหน้าใส่และเอ่ยไปอย่างเสียงแข็ง

พร้อมกับจะดันประตูปิดใส่เขา

จ๊อก~~ แต่ท้องเจ้ากรรมมันก็ดันร้องขึ้นมาได้ถูกจังหวะจริง ๆนั่นแหละ

พลั่ก!! วินด์เอามือดันประตูเอาไว้ทันที

"…หืม?" วินด์เซอร์เพียงยักคิ้วขึ้นอย่างไม่เอ่ยตอบอะไร

และเปิดประตูเข้ามาในห้องของฉันอย่างถือวิสาสะ

@บนโต๊ะอาหาร

หลังจากที่วินด์เข้ามาในห้อง เขาก็เอาของไปวางบนโต๊ะกินข้าวเล็ก ๆ และเดินไปหยิบจานหยิบถ้วยต่าง ๆมาจัดเตรียมอาหารอย่างไม่ปริปากพูดอะไร เขาทำทุกอย่างเองจนพร้อมทาน แล้วจึงค่อยหันมามองทางฉัน

"มานั่งสิ" เขาเลื่อนเก้าอี้และส่งสายตาเชิญฉันอีกครั้ง บนโต๊ะทานอาหารเล็ก ๆ ที่มีเก้าอี้เพียงแค่สองตัว

ฉันยังนั่งหน้าหงิกและไม่พูดอะไรทั้งนั้น

พอฉันเงียบ แน่นอนว่าทั้งห้องเงียบสงัด เพราะวินด์เป็นคนที่ไม่เคยชวนคุยและแทบจะไม่พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ

"ชิ" ฉันตักข้าวใส่ปากด้วยความหิวแบบเก็บอาการนิด ๆ แล้วก็กระแทกช้อนกระแทกแก้วน้ำเสียงดัง ๆเพื่อให้เขารู้ว่าฉันยังโกรธอยู่มาก ๆ

"เออ..ฉันชอบนาฬิกานะ" เขาพูดขึ้นเสียงเรียบและเกาหัวเบา ๆ และนั่นทำให้ฉันได้เห็นว่าเขาสวมนาฬิกาเรือนที่ฉันตั้งใจซื้อเอาไว้ให้

"อื้ม!" ฉันตอบไปสั้น ๆ และมองค้อนใส่เขา

"แล้วเธออยากได้อะไรในวันครบรอบหนึ่งปีล่ะ?

"วินด์เซอร์ถามกลับมาตรง ๆ อย่างไม่อ้อมค้อม ไม่คิดทำเซอร์ใด ๆ

"..ไม่..อยาก..ได้อะไร" ฉันตอบไปแบบกระแทกเสียงใส่และแบะปากใส่

"ถ้าอยากได้อะไรก็บอกฉันได้ทุกเมื่อนะ" เขาก็พยักหน้ารับไปเพียงแค่นั้น

โดยที่ไม่ถามอะไรต่อเลย ไม่คาดคั้นใด ๆ ต่อ หลังจากที่เรากินข้าวมื้อดึกกันเสร็จวินด์เซอร์ก็ต้องกลับไปทำโปรเจคต่อที่มหาลัยอีก เพราะเพื่อนของเขาโทรตามไม่ยอมหยุด จนฉันอยากจะทุบโทรศัพท์เขาทิ้งจริง ๆเลย

ฉันเดินตามไปส่งเขาด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับแต่อย่างใด

จู่ ๆ เขาก็โน้มหน้าเข้าหน้าใกล้ๆฉันอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเลย

"Happy Anniversary" วินด์เอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาข้าง ๆ ใบหูของฉัน

"หนึ่งปีกับอีกหนึ่งวัน"เขาเอ่ยพร้อมกับยีผมของฉันเบา ๆ

"เราเลิกกันแล้วไม่ต้องนับวันนี้หรอกน่า" ฉันกอดอกและพูดขัดขึ้นด้วยเสียงแข็ง ๆ เพราะยังเคืองเรื่องที่ถูกทิ้งให้รอไม่หาย

….

………

"เธอบอกเลิกอยู่ฝ่ายเดียว"

"ฉันไม่ได้ตกลงเลิกกับเธอสักหน่อย" เขาตอบเพียงแค่นั้นก่อนสวมใส่รองเท้าเตรียมจะเดินออกไปจากห้องของฉันอย่างเร่งรีบ ขณะที่มีสายโทรศัพท์โทรหาเขาไม่ยอมหยุด

"ฉันต้องรีบกลับไปทำโปรเจคงานต่อที่มหาลัย" วินด์โชว์ทั้งเบอร์และข้อความจากพวกเพื่อนแก๊งนรกของเขาให้ฉันได้ดูอย่างบริสุทธิ์ใจ

บอกเลยว่าฉันเนี่ยเกลียดเพื่อนของวินด์เซอร์ทุกคนทุกตัวนั่นแหละ เพราะพวกมันคือมารผจญ ตัวที่แย่งเวลา แย่งความสำคัญไปจากฉัน

นอกจากที่ฉันจะต้องต่อสู้กับความโลกส่วนตัวสูงของวินด์แล้ว ก็มีเพื่อนสนิทนรกของเขาเนี่ยแหละที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับฉันมาตลอดทั้งปีทั้งชาติ

….

……

".....ถ้าเธอไม่ได้อยากเลิกกับฉันจริง ๆ"

"อย่าบอกเลิกอีกนะ" วินดิ์เซอร์กระซิบข้างแก้มของฉันอย่างแผ่วเบา

"ฝันดี..."

อื้ออ อื้ออ~ เสียงโทรศัพท์ของวินด์ยังคงสั่นไม่ยอมหยุดจนฉันชักสีหน้าใส่ด้วยความรำคาญเต็มทน เพราะทุกครั้งที่อยู่กับฉันจะต้องมีมารมาผจญได้ตลอดเวลาจริง ๆ

วินด์ค่อยลดฝ่ามือที่ลูบหัวของฉันออกไปช้าๆ ก่อนจะกดรับสายโทรศัพท์เพื่อนของเขา

(คุยโทรศัพท์กับฟาร์เรน)

"ไอ้วินด์งานโปรเจคมีปัญหานิดหน่อยว่ะ" เสียงเพื่อนของเขาดังออกมาจากโทรศัพท์ ซึ่งฉันก็คุ้นเสียงนั้นดีเพราะมันคือเสียงของไอ้ฟาร์เรน

"……"

"เหมือนเครื่องยนต์มันทำงานแล้วดับไป มึงน่าจะรู้เรื่องเครื่องยนต์โซนยุโรปแวะมาดูหน่อยได้ป่ะเพื่อน?" ฟาร์เรนพูดออกมารัวๆอย่างหอบเหนื่อย และหมอนี่แหละคือไม้เบื่อไม้เมาตัวฉกาจของฉันเลย

"เออ ๆ เดี๋ยวกูไปแก้เอง ปิดสวิสต์เอาไว้ก่อน" วินด์เอ่ยตอบไปขณะที่มองหน้าฉันนิ่ง ๆ

"แล้วไอรีนจะไม่ว่าใช่ป่ะ?" เสียงของฟาเรน์พูดขึ้นเหมือนยังมีความเกรงใจอยู่บ้าง

"ว่าสิโว้ย! นี่มันครบรอบของฉันย่ะ" ฉันตะโกนแทรกเข้าไปในโทรศัพท์ทันทีอย่างมีน้ำโห

"กูกำลังออกจากคอนโดไอร์ อีกสิบนาทีเจอกัน" วินด์เซอร์เอ่ยตอบกลับฟาเรนก่อนจะกดวางสายทันทีอย่างไม่คุยอะไรต่อ

เขาเอื้อมมือไปบิดประตูเพื่อเปิดออกช้า ๆ ก่อนจะเดินออกไปด้านนอกห้องและหันกลับมามองที่ฉัน

"นี่ฉันยังไม่ได้หายโกรธนายเลยนะ" ฉันยังคงยืนกอดอกมองและชักสีหน้าอยู่แบบเดิม

เขาเม้มริมฝีปากแน่นและเงยหน้ามองฉันด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจไม่น้อย

"นายเป็นแฟนที่ห่วยที่สุดเลยจริงวินด์!"

ปัง! ฉันกระแทกประตูปิดใส่หน้าของวินด์ไปเต็มแรง

"อยากไปไหนก็ไปเลย!" ฉันตะโกนผ่านประตูบานใหญ่ ก่อนจะยืนมองประตูอยู่แบบนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินไกลออกไปจากประตูห้องของฉัน

จนกระทั่งเงียบหายไป...

ตุ๊บ ตุ๊บ ฉันเอามือทุบที่ประตูเบา ๆ เพื่อระบายอารมณ์ของตัวเอง และต้องถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า

พุทโธๆ ๆ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จฉันก็เตรียมจะเข้านอนตามปกติ เพราะถ้านอนดึกเกินไปจะทำให้หน้าฉันเพลียและตีนกาขึ้น แน่นอนว่าฉันไม่อยากแก่ก่อนวัยอันควร เพราะเครียดเรื่องแฟนตัวเองหรอกนะ

ทันทีที่ฉันทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ในหัวก็ยังคิดแต่เรื่องของวินด์เซอร์คนทึ่ม

"ทำไมแฟนของฉันไม่เห็นดีเหมือนแฟนคนอื่นเลยนะ" ฉันตัดพ้อกับเรื่องเดิม ๆ อย่างท้อใจ กับความสัมพันธ์ที่ไม่ก้าวหน้าจากวันแรกเลยสักนิด ถ้าได้ลองคิดย้อนเวลากลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เมื่อปีก่อนนั้น.. ฉันก็แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะสามารถคบกับวินด์มานานถึงวันนี้ เพราะการคบกันของเรามันเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ และไม่ได้ตั้งใจเลยสักนิด

แต่ถ้าจะเท้าความไปถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เลยจริง ๆ ก็คงต้องย้อนกลับไปสมัยตอนที่ทั้งฉันและวินด์ถูกทางคณะของตัวเอง บังคับให้ลงประกวดดาวและเดือนมหาลัยเมื่อสองปีก่อนนั้น และแน่นอนว่าฉันกับวินด์คือผู้ดำรงตำแหน่งดาวและเดือนของมหาลัยในปีนั้น

ภายหลังจากการประกวดดาวเดือน เราจึงจำเป็นต้องร่วมงานของมหาลัยกันอยู่บ่อยครั้ง เจอกันแทบจะทุกสัปดาห์ และทำกิจกรรมงานต่าง ๆ ร่วมกันตามคำขอของทางมหาลัยและอาจารย์ในคณะ

ตลอดหนึ่งปีหลังจากที่ได้ดำรงตำแหน่งบ้า ๆ นั่น มันเลยทำให้ฉันได้อยู่ใกล้กับวินด์เซอร์มากขึ้น (นิดนึง) ถึงแม้ในตอนนั้นเขาจะคุยกับฉันแทบจะนับคำและจำแทบทุกประโยคได้เลยก็ตาม วินด์เป็นคนพูดน้อยไม่สนิทกับใครเลยนอกจากกลุ่มเพื่อนตัวเอง

และถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเดือนมหาลัย แต่เขาก็แทบไม่เปิดโอกาสให้สาว ๆ คนไหนเข้าใกล้เลย แต่ด้วยภารกิจของดาวเดือน เลยทำให้ฉันกลายเป็นผู้หญิงคนเดียวเลยมั้งที่ได้คุยกับวินด์เซอร์

แต่การได้รับตำแหน่งดาวมหาลัยในปีนั้น ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อชีวิตประจำวันของฉันสักเท่าไหร่เลย.. เพราะไม่ได้เพียงแต่ทำให้ฉันเป็นที่รู้จักของทุก ๆคนในมหาลัยแล้ว ยังทำให้ชีวิต เฟรชชี่ปีหนึ่งของฉัน มันโคตรวุ่นวายและไม่สงบสุขได้เลยสักวัน

ฉันต้องเผชิญหน้ากับพวกรุ่นพี่หื่น ๆที่คอยตามจีบ ตามรังควานฉันอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน

รุ่นพี่บางคนเรียกว่าคุกคามชีวิตส่วนตัวของฉันเลยก็ว่าได้ แต่ที่หนักสุดก็คงเป็นตอนที่มีรุ่นพี่ปีแปด (เรียนซ้ำ ๆสอบตกบ่อย จนใกล้จะถูกทางมหาลัยรีไทร์ออก) คนหนึ่ง.

เขาโอ้อวดว่าเป็นถึงลูกชายนักการเมืองชื่อดัง ทั้ง ๆที่ก็เป็นแค่บ้านเล็กบ้านน้อยเท่านั้น อีกอย่างฐานะทางบ้านของฉันดีกว่ามันอยู่มากโข และนั่นคือเหตุผลที่มันพยายามตามตื๊อ ตามรังควานขอฉันเป็นแฟนให้ได้ เพียงเพราะอยากมีฉันไว้ดึงตัวเองให้ดูสูงขึ้น แต่ก็นั่นแหละ เพื่อที่จะตัดความรำคาญในครั้งนั้น บวกกับความไม่ทันคิดของฉัน..

ฉันจึงพลั้งปากบอกไอ้รุ่นพี่ที่น่ารำคาญนั้นไปว่าตัวเองคบหาอยู่กับวินด์เซอร์เพื่อตัดปัญหา และที่ฉันพูดไปแบบนั้นก็เพราะว่าผู้ชายในมหาลัยที่ฉันรู้จักมีอยู่ไม่กี่คน และวินด์ก็ดูเหมาะสมกับฉันที่สุด ในบรรดาผู้ชายทั้งหมด (อันนี้คิดเข้าข้างอ่ะนะ)

วินด์เซอร์เป็นเดือนมหาลัยไม่การันตีเรื่องความหล่อของเขา แต่มากกว่าความหล่อก็คือเขาเรียนอยู่คณะวิศวกรรมเครื่องยนต์ และบ้านมีธุรกิจรถนำเข้ารายใหญ่ของประเทศ ที่เรียกได้ว่าขายรถให้แค่พวกเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของไทยเท่านั้น ทั้งรวยทั้งเรียนดีกีฬาเด่นแบบนี้ไม่คู่ควรกับฉันแล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ? มากไปกว่านั้นวินด์เซอร์และบรรดาเพื่อนแก๊งของเขาก็ค่อนข้างจะเลื่องลือมีชื่อในเรื่องความรวย โหด ห่ามและพวกเขาเองก็ชอบมีเรื่องไปทั่วอยู่แล้วตามประสาเด็กวิศวะเลือดร้อน และการที่ฉันหลอกรุ่นพี่หื่นกามไปว่า เป็นแฟนของวินด์เซอร์ ไอ้รุ่นพี่หื่นนั่นก็คงไม่กล้าจะยุ่งกับฉัน หรือสร้างความรำคาญอะไรให้ฉันอีกแน่ ๆ

แต่ใครจะคิดว่าการที่ฉันพลั้งปากพูดไปแบบนั้น ไอ้รุ่นพี่จอมหื่นกามมันจะกล้าไปถามเอาความจริงกับวินด์เซอร์ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนเลยกับสิ่งที่ฉันโมเมขึ้นมาฝ่ายเดียว..

ในตอนแรกฉันก็คิดว่าฉันคงหน้าแตกหมอไม่รับเย็บแล้วแน่ ๆ อาจจะหนักถึงขั้นที่ต้องลาออกจากมหาลัย ย้ายที่เรียน หนีเรื่องน่าอายที่ไปโมเมเรื่องตัวเองกำลังคบอยู่กับวินด์เซอร์ ผู้ชายเย็นชาที่เป็นที่หมายตาของพวกสาว ๆ ในมหาลัยแทบจะทุกคณะ

แต่ที่เหตุการณ์มันกลับตาลปัตรกลายเป็นว่าวินด์เซอร์ดันตอบรุ่นพี่นั้นไปหน้าตาเฉยว่า ..สิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง

เขากำลังคบอยู่กับฉัน แถมยังบอกให้รุ่นพี่นั้นเลิกยุ่งกับฉันซะ ทีแรกมันน่าจะจบแบบนั้นแหละ แต่ว่าข่าวลือเรื่องที่ฉันกับวินด์คบกันมันดังไปทั่วทั้งมหาลัยผ่านในชั่วข้ามคืนเลยทำให้ทั้งฉันและเขาก็ตกลงคบกันแบบงง ๆ

และนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่แสนจะซับซ้อน สุดจะงงงวยของฉันกับผู้ชายที่เย็นชามากที่สุดบนโลกอย่าง...วินด์เซอร์...

เราไม่เคยขอเป็นแฟน แต่เราเป็นแฟนกัน

เราไม่เคยบอกว่าชอบกันสักครั้ง แต่เรากำลังคบกันอย่างเปิดเผย และความสัมพันธ์ที่สุดจะพิศวงนี้ก็ยาวนานมาได้ถึงตอนนี้...หนึ่งปีกับอีกหนึ่งวันเต็ม

"แต่มันเหมือนไม่ได้มีอะไรพัฒนามากไปกว่าตอนนั้นเลย"

"ถ้านับจากวันแรกที่คบกันมา.."

"วันนั้นเย็นชายังไงก็ยังเป็นแบบนั้น"

"เฮ้อออออ~~"ฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะข่มตาหลับไปอย่างสุดจะเพลียและก็ง่วงมากจนตาแทบจะปิด

อื้ออ - (เสียงข้อความเตือนจากโทรศัพท์)

ข้อความจาก : แฟน

" นอนได้แล้วอย่าคิดมาก "

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel