บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 ชู่เอ๋อของข้า(2)

“อือ...หลันหลงเมื่อคืนเราเป็นของท่านอ๋องตู้แล้ว เราหย่าไม่ได้แล้ว” นางบอกสาวใช้พร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มร่างเปลือยตัวเองให้มิดชิดสายตาของสาวใช้คนสนิท ส่วนหลันหลงได้แต่ก้มหน้ายิ้มเขินแทนพระชายาจนชู่เอ๋อต้องถาม

“เจ้ายิ้มอะไรหลันหลง และเรียกเราคุณหนูเหมือนเดิมเถอะ เราไม่ชินกับตำแหน่งพระชายา” นางบอกในท้ายประโยค

“แต่...”

“นี่คือคำสั่งเราหลันหลง เราโตมาด้วยกันนะ เจ้าเองก็เป็นเหมือนเพื่อนเหมือนพี่สาวข้า” นางเอ่ยแทรกโดยไม่รอให้หลันหลงเอ่ยจบประโยคความ

“เจ้าค่ะคุณหนู” สุดท้ายแล้วหลันหลงก็ยอมแพ้

“อือ...ตอนนี้ข้าหิวแล้วหลันหลง เจ้าไปหาอะไรมาให้เรากินหน่อยสิ”

“เอ่อ...คุณหนูเจ้าคะ คือว่าท่านอ๋องรอคุณหนูทานข้าวด้วยเจ้าค่ะ หลันหลงลืมไปเลย”

“ทานข้าวเหรอ เราไม่อยากเจอหน้าท่านอ๋องตู้ตอนนี้ เราอาย” ​นางบอกสาวใช้ทันที

“เจ้าอายข้ารึพระชายาข้า” หลันหลงยังไม่ทันได้ตอบ คนที่ถูกพูดถึงที่เพิ่งเดินมาได้ยินเข้าพอดีจึงเอ่ยตอบแทรกขึ้น

“ทะ...ท่านอ๋องตู้” ชู่เอ๋อเอ่ยเรียกชื่อพระสวามีด้วยความตกใจกำชายผ้าห่มแน่น

“เจ้าไปสั่งให้เด็กยกสำรับมาที่ห้องของข้ากับพระชายา เห็นทีข้าต้องอยู่กับพระชายานานๆ เพื่อที่พระชายาของข้าจะได้คุ้นเคยกับข้า แต่เมื่อคืนเราก็คุ้นเคยกันแล้วมิใช่รึชู่เอ๋อ” ตู้เหลียงเฉิงเอ่ยพลางส่งสายตากรุ้มกริ่มให้พระชายาคนงามพร้อมเดินมานั่งเบียดหญิงสาวบนเตียง ส่วนหลันหลงก็รีบออกไปทำตามคำสั่งท่านอ๋องตู้ทันที

“เจ้ายังมิคุ้นเคยกับข้าอีกรึพระชายาของข้า” น้ำเสียงทุ้มพร่าเอ่ยราวกระซิบเมื่อเหลือกันเพียงลำพัง เขาสั่งให้ทหารและคนรับใช้ในจวนทำความสะอาดพื้นหน้าห้องที่เปื้อนไปด้วยเลือดคนร้ายให้สะอาดทำเหมือนว่าไม่ได้มีนักฆ่าบุกรุกเข้ามาในจวน ตู้เหลียงเฉิงไม่ต้องการให้ชู่เอ๋อเป็นกังวล

“ทะ...ท่านอ๋องตู้ขยับไปหน่อยได้ไหมเจ้าคะ หม่อมฉันยังไม่ได้แต่งตัวเลย”​ นางบอกพร้อมดันไหล่เขาเบาๆ ให้ถอยห่างตัวเองไปสักนิด

หึหึ

นางช่างน่าเอ็นดูนัก ความอ่อนเดียงสาของชู่เอ๋อทำให้เขายิ้มแบบไม่รู้ตัว ปกติแล้วเขาจะหน้านิ่งขรึมตลอดเพลา แต่ตั้งแต่เจอนาง ตู้เหลียงเฉิงกลับเป็นคนยิ้มง่าย พูดจาอ่อนหวาน และตอนนี้เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าเขาจะอยู่เพื่อปกป้องชู่เอ๋อ พระชายาคนงามให้พ้นภัย

“ท่านขำหม่อมฉันรึเจ้าคะ?” นางถามเขาเมื่อเขาเอาแต่ยิ้มขำในลำคอ

“ก็เจ้าน่าเอ็นดู ข้าถึงขำ วันนี้เราจักเดินทางไปค่ายทหาร เพราะเราต้องไปฝึกทหารที่ค่ายด่านนอก”

“ค่ายทหารด่านนอก?”

“ใช่แล้วชู่เอ๋อ เราจักไปอยู่ที่นั่นกัน การแต่งเข้าจวนอ๋องตู้ใช่จะสุขสบายหรอกนะ เพราะชีวิตของเราอยู่ที่ค่ายทหารเป็นหลัก นานทีจะได้กลับมาที่จวนในเมือง และเจ้าเป็นชายาของข้า เจ้าก็ต้องไปกับข้าด้วยเช่นกัน เหมือนคำชาวบ้านเขาว่า ‘ผัวอยู่ไหน เมียก็อยู่นั่น’ และตอนนี้เจ้ากับข้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ข้าเองก็ขาดเจ้าไม่ได้เช่นกันยอดเสน่หาของข้า” เขาเอ่ยพลางขยับตัวเข้าประชิดหญิงสาวแล้วโน้มปลายจมูกโด่งไปกดแนบกับแก้มนวลเนียนที่แดงระเรื่อของนาง

“อ่า...เจ้าหอมยิ่งนัก หอมจนข้าอยากจะขังตัวเองอยู่จวนกับเจ้าทั้งวันทั้งคืนไปเลยชู่เอ๋อ” ปลายจมูกโด่งเริ่มซุกไซ้ซอกคอระหงของพระชายา แต่แล้วก็ต้องหยุดเมื่อมีเสียงเรียกจากด้านนอกดังแทรกเข้ามาในห้อง

“ท่านอ๋องตู้ขยับไปก่อนสิเจ้าคะ หม่อมฉันจะได้ลุกขึ้นแต่งตัว”

“ให้ข้าแต่งให้ไหม?” เขาถามกรุ้มกริ่มอย่างคนเจ้าเล่ห์

“มะ...ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะให้หลันหลงช่วย ท่านอ๋องตู้ออกไปรอข้างนอกก่อนได้ไหมเจ้าคะ” นางบอกอย่างขอร้อง และตู้เหลียงเฉิงก็ยอมง่ายๆ เมื่อประตูห้องเปิดผลักเข้ามาและสาวใช้ของนางก็เดินเข้ามาและคล้อยหลังมีสาวใช้ยกสำรับมาด้วย

“งั้นเจ้าแต่งตัวเถอะ ข้าจักรอทานข้าวพร้อมเจ้า หากชักช้าข้าจักมากินเจ้าแทนข้าวเช้า”

ตู้เหลียงเฉิงเอ่ยกระเส่าพร้อมกับบีบแก้มนุ่มนิ่มของแม่ยอดดวงใจ ก่อนจะผละเดินจากไปแล้วหลันหลงเดินเข้ามาเพื่อประคองคุณหนูตัวเองลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องอาบน้ำที่นางและสาวใช้คนอื่นตักน้ำมาเตรียมไว้รอพระชายาตื่นนอน

“หลันหลง เจ้าอย่ายิ้มแบบนี้สิ ข้าทำหน้าไม่ถูกแล้วนะ”

ชู่เอ๋อเอ่ยบอกสาวใช้ตัวเองพลางพาตัวเองลุกขึ้นยืนตามแรงประคองของสาวใช้และอีกมือก็กอดผ้าห่มคลุมตัวเองแน่น และมองไปหลังม่านที่อยู่อีกฝั่งข้างๆ เป็นที่ที่เด็กรับใช้นำสำรับอาหารมาตั้งรอท่าและมีอ๋องตู้นั่งอยู่หลังม่านนั้น นางยิ้มทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าต้องทำตัวเช่นไรและปฏิบัติเช่นไรหลังผ่านค่ำคืนร่วมหอกันมา

ชู่เอ๋ออยากนั่งรถม้าก็ไม่ได้นั่ง เพราะอ๋องตู้ฉุดอุ้มขึ้นมานั่งบนหลังม้าตัวเดียวกับเขา นางดิ้นขัดขืนเขินอายเหล่าทหารที่ติดตามและสาวใช้อย่างหลันหลง แม้จะเป็นถึงอ๋องผู้ทรงอำนาจ แต่ทรงทำตัวเฉกเช่นคนทั่วไป ตู้เหลียงเฉิงไม่ได้มีขบวนทหารติดตามและสาวใช้ ชู่เอ๋อมองทหารที่ติดตามมีเพียงแค่ฟ่านตงคนสนิท และมีรถม้าที่หลันหลงสาวใช้กับของใช้ส่วนตัวนางนั่ง ส่วนตัวนางนั้นถูกบังคับนั่งบนหลังม้าพร้อมกับคนเผด็จการ

“หม่อมฉันเมื่อย ปวดหลังเพคะท่านอ๋องตู้ ให้หม่อมฉันไปนั่งบนรถม้ากับหลันหลงได้ไหมเจ้าคะ?” ชู่เอ๋อเอี้ยวหน้าหันมาบอกคนที่โอบกอดตัวเองอยู่ด้านหลัง

“นั่งกับข้าเนี่ยแหละชู่เอ๋อ ข้าชอบกลิ่นตัวของเจ้ายามม้าวิ่งกลิ่นหอมๆ เจ้าโชยเตะปลายจมูกข้า มันทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลาย”

“ท่านอ๋องตู้...” นางได้แต่เรียกชื่อบุรุษที่นั่งซ้อนทับโอบกอดอยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ว่าอย่างไรยอดเสน่หาของข้า เราไปกันเถอะเดี๋ยวถึงค่ายช้า ฟ่านตงเจ้าดูแลสาวใช้พระชายาด้วยล่ะ ข้าจักพาพระชายาล่วงหน้าไปก่อน” ตู้เหลียงเฉิงหันไปตะโกนสั่งคนสนิทตัวเอง

“ขอรับท่านอ๋อง” ฟ่านตงรับคำแล้วตู้เหลียงเฉิงก็กำบังเหียนม้าในมือแน่นด้วยมือเดียว อีกมือกอดรัดเอวคนที่นั่งข้างหน้าแน่นแล้วควบขย่มม้าให้วิ่งไปตามถนนเล็กๆ ที่จะออกไปทางนอกเมืองเพื่อเดินทางไปค่ายทหารที่ด่านนอก

กุก...กุดุดุก...กุดุ

เสียงม้าวิ่งทะยานไปข้างหน้าพร้อมกับมือเล็กกำมือหนาที่จับบังเหียนม้าแน่นด้วยความกลัวตก แม้จะเป็นลูกสาวของแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฉิง แต่นางหาได้เคยควบขี่ม้าไม่ ปกติไปไหนมาไหนมีแต่นั่งรถม้าเป็นคุณหนู ถึงจะซุกซนแต่ก็ไม่เคยคิดอยากหัดขี่ม้าเหมือนบุรุษ

“เบาๆ หน่อยเจ้าค่ะท่านอ๋องตู้ หม่อมฉันกลัวตก” นางเกร็งตลอดเวลาที่ม้าวิ่ง

“มีข้าไยเจ้าต้องกลัวชู่เอ๋อ เจ้าจำไว้ตั้งแต่นี้ไปชีวิตเจ้าเป็นของข้าชายาข้า เจ้าจะไร้ภัยอันตรายทั้งปวง เพราะมีข้าตู้เหลียงเฉิงโอบกอดเจ้าเด็กดี”

ม้าที่วิ่งเร็วเริ่มผ่อนเบาช้าลงเมื่อแม่ยอดเสน่หาตัวเกร็งกลัวตก ตู้เหลียงเฉิงอยากให้นางเชื่อมั่นในตัวเขา ไม่ว่าวันหน้าจักเกิดอะไรขึ้น อ้อมกอดของเขาจักเป็นของนางคนเดียวนับตั้งแต่นี้ไป เขาจักมีพระชายาเพียงนางเดียว ซึ่งก็คือชู่เอ๋อคนเดียวเท่านั้น

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาผ่านมาหลายสมรภูมิรบ ไม่เคยคิดแม้แต่จักผูกมัดตัวเองกับหญิงใด ผู้หญิงที่ผ่านมาเป็นเพียงที่ระบายความตึงเครียดของท่อนเนื้อมังกรเท่านั้น แต่นับตั้งแต่ค่ำคืนเสน่หาที่ผ่านมา เพลงดาบราคะของเขามันจักตื่นตัวและบรรเลงกับชู่เอ๋อแต่เพียงผู้เดียว

“หม่อมฉันกลัว หม่อมฉันไม่เคยต้องขี่ม้าแบบนี้ ถึงหม่อมฉันจะดื้อจะซุกซน แต่หม่อมฉันก็ไม่เคยแอบหนีท่านพ่อไปหัดขี่ม้าสักครั้ง ท่านอ๋องวิ่งช้าๆ ได้ไหมเจ้าคะ” นางเอี้ยวหน้าหันมากลอกตาใสซื่อขอร้องพระสวามีที่นั่งโอบกอดอยู่ด้านหลัง

“ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการชู่เอ๋อ แต่ค่ำคืนนี้เจ้าต้องมีของตอบแทนข้า ถ้าเจ้าตกลง ข้าก็จักตกลงทำตามที่เจ้าขอเด็กดี” พูดจบเขาก็โน้มหน้าลงไปหาแก้มนวลเนียนของนางพร้อมฉวยโอกาสหอมแก้มนุ่มนิ่มไปหนึ่งครั้ง

“ทะ...ท่านอ๋องตู้ ท่านเอาเปรียบหม่อมฉันอีกแล้วนะ ตอนอยู่ในห้องที่จวนก็เช่นกัน”

“งั้นเจ้าก็จูบข้าคืนสิชู่เอ๋อ ถ้าคิดว่าข้าเอาเปรียบ เจ้าก็จูบปากหรือหอมแก้มข้าคืนก็ได้ ข้ามิได้ถือสาเจ้าหรอกนะชายาข้า” ตู้เหลียงเฉิงหยุดม้าที่กำลังวิ่งทันทีพร้อมเอียงแก้มรอให้พระชายาคนงามหอมแก้มตนเองคืน

“มะ...หม่อมฉันไม่ทำหรอกเจ้าค่ะ ท่านอ๋องตู้ก็ได้เปรียบอยู่ดี หม่อมฉันเป็นหญิงมีแต่เสียหาย”

หึหึ

“เจ้าเนี่ยนะชู่เอ๋อ...”

แล้วเขาก็หุบยิ้มเงียบไปเมื่อนึกถึงคำพูดของอาจารย์ที่พูดถึงบุตรสาวว่านางช่างเป็นคนซักไซ้และเจรจาต่อรอง ตอนแรกเขาไม่เชื่อว่าจะมีหญิงที่ช่างกล้าเช่นนี้ แต่ตอนนี้เริ่มเชื่อแล้ว นางเริ่มพูดเก่งและสายตาของนางหาได้มีความเกรงกลัวในอำนาจของเขาไม่ จะว่าไปนอกจากเสด็จแม่และเสด็จพ่อแล้วก็มีชู่เอ๋อนี่แหละที่กล้าต่อปากต่อคำและกล้าสบตาเวลาพูดคุยกับเขา

“เจ้าคะ ท่านอ๋องตู้มีอะไรคะ ทำไมไม่พูดต่อเพคะ หม่อมฉันรอฟังเจ้าค่ะ” นางเร่งอ๋องตู้เมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็เงียบไป

“ข้าว่ารอพูดตอนถึงค่ายทหารมิดีกว่าเหรอ ตอนนั้นข้าจะพูดและทำให้ดูเลยแหละชายาของข้า” เขากระชับแขนที่กอดเอวเล็กกิ่วแน่นแล้วควบม้าให้วิ่งต่อ

“อือ...ท่านอ๋องตู้ นี่ท่านไม่ได้คิดจะพูดหรอก หม่อมฉันรู้ว่าท่านจะทำอะไรกับหม่อมฉันเมื่อถึงกลางคืน”

หึหึ

ตู้เหลียงเฉิงไม่ตอบ เขาทำเพียงแค่นขำเอ็นดูนางในลำคอแล้วมองไปยังข้างหน้าที่กำลังควบม้าให้วิ่งไปตามเส้นทางข้างหน้า ส่วนชู่เอ๋อก็ได้แต่เม้มปากแน่นเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปเสียดื้อๆ นางได้แต่พึมพำต่อว่าอ๋องตู้ในใจ ‘อ๋องหื่นสิไม่ว่า ใครบอกว่าเหี้ยมโหดน่ากลัวกันเล่า อยากบอกชาวบ้านที่เล่าลือเหลือเกินว่าหาได้จริงไม่ ท่านอ๋องตู้น่ะตัวหื่นเลยทีเดียว นิดหน่อยก็ฉวยโอกาส’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel