ตอนที่ ๖ 550 บาท
เช้าวันใหม่มาถึง ภาวิกากับสมิธขอพบผู้จัดการโรงแรมเพื่อพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เมื่อผู้จัดการของโรงแรมจัดการไม่ได้เรื่องจึงไปถึงเจ้าของโรงแรม แล้วอะไรก็ไม่รู้บังเอิญหรือโชคชะตา เพราะเจ้าของโรมแรมกับภาวิกาเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ บ้านอยู่ติดกัน พออีกคนแต่งงานไปอยู่เมืองนอกทั้งสองจึงขาดการติดต่อกัน
“วิใช่ไหมจ๊ะ” ทันทีที่เข้ามาเห็นหน้าของแขกที่นั่งรอ เพราะเมื่อเช้าผู้จัดการโทร.ไปหาบอกว่าที่โรงแรมมีเรื่อง และเรื่องที่ว่าก็เกิดเพราะลูกชายตัวดีของนางนั่นเอง และคล้อยหลังของนางก็มีลูกชายคนเดียวตามติดมาด้วย
“สาใช่ไหม” ภาวิกามองคนที่นั่งลงตรงหน้าแล้วถามออกไป
“ใช่แล้ว วิ ไม่ได้เจอกันนาน เธอเป็นยังไงบ้าง เงียบไปนานเลยนะ พ่อของซาน่าดูแลดีรึเปล่า”
สาลิกาถามเพื่อนและถามถึงสามีของเพื่อน ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับสมิธ นางจำได้ดีว่าสามีของเพื่อนเป็นมาเฟียขาใหญ่
ซวยแล้วไอ้หรรมของแม่ โดนใครไม่โดนไปโดนลูกสาวมาเฟีย แต่ก็ดีจะได้หลาบจำ นางนึกในใจ ก่อนจะเอ่ยทักทายสามีของเพื่อนที่นั่งข้างภาวิกา
“คุณสมิธสบายดีนะคะ”
สมิธมองคนที่ถามแล้วขมวดคิ้วใช้ความคิด ว่าตนเคยรู้จักอีกฝ่ายรึเปล่า แล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อจำได้
“สบายดีครับ”
“สมิธดูแลฉันกับซาน่าดี แล้ว...นั่นพาไอ้คนถ่อยนั้นมาด้วยทำไม” ภาวิกาเหลือบไปเห็นคนยืนซ้อนหลังของเพื่อนอยู่หลังโซฟา
“หรรมลูก มาไหว้แม่วิสิลูก กับพ่อสมิธ” นางยิ้มแห้ง ๆ ให้ลูกชายแล้วบอกมาไหว้ทำความรู้จัก
“สวัสดีครับ ดีใจจังได้พ่อพ่อตากับแม่ยายอีกครั้ง” ยกมือไหว้ตามคำสั่งของผู้เป็นแม่ แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มกวนให้ทั้งสอง
“มะ...หมายความว่ายังไงสา” ภาวิกาถามเพื่อนเสียงผะแผ่ว
“เธอจำหรรมใหญ่ไม่ได้เหรอวิ” สาพยักหน้าและถามเพื่อน เพราะนางเคยพาลูกชายไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนรักในสมัยที่ชายหนุ่มยังเด็ก
“ไม่ได้ แล้วทำไม...”
ภาวิกาพูดไม่ออก เมื่อมองสำรวจสารรูปหรรมใหญ่ที่ตนเคยเจอตอนเด็ก สมัยเด็กตัวขาว ๆ น่ารัก เป็นที่เอ็นดูของผู้ใหญ่ ถึงได้ชื่อหรรมใหญ่ เพราะคนอิสานเขาว่ากันว่าเด็กน่ารักน่าเอ็นดูจะต้องชื่อนี้และมันก็น่ารักเมื่อเป็นหรรมใหญ่ และมีชื่อหรรมใหญ่ หรรมน้อยอีกหลายคนถ้าเป็นเด็กผู้ชายที่ตั้งชื่อแบบนี้ แต่ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงจะเป็นอีนาง อีหล่าน้อย เป็นคำน่ารักน่าเอ็นดู เป็นชื่อที่นิยมมากทางแถวภาคอิสาน แต่สำหรับคนนี้ในวัยเด็กนั่นเขาน่าเอ็นดูเหมือนชื่อจริง แต่พอมาตอนนี้ไม่ใช่...มองยังไงก็กุ๊ยข้างถนน ผิวเข้มคร้ามแดด หนวดเครารกรุงรังปิดบังใบหน้าจนมองไม่ออกว่าหน้าตาดีหรือขี้เหร่ แต่ที่เด่นชัดคือแววตาดุดันกับจมูกโด่งเป็นสันของบุรุษหนุ่ม
“เฮ้อ! แล้วเมียผมไม่มาด้วยเหรอครับพ่อตา แม่ยาย” หรรมใหญ่เอ่ยแทรกขึ้นเมื่อเห็นทุกคนเอาแต่เงียบ พร้อมเดินอ้อมมาทรุดกายนั่งโซฟาตัวเดียวกับผู้เป็นแม่ สองแขนใหญ่กลางกว้างเอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบาย
“ไอ้หรรมหุบปาก!" สาลิกาหันมาตวาดลูกชาย ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วพูดกับเพื่อนรักเพื่อนเก่ากับสามี ด้วยรู้ดีว่าลูกชายตัวเองทำผิด แต่จะทำยังไงได้ ยังไงเสียหรรมใหญ่ก็ไม่ใช่เด็กแล้ว อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ สมควรแก่การมีครอบครัวแล้วตอนนี้
“คุณสมิธคะ เรื่องนี้สาว่าทางนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วนะคะ คือสาคิดว่า...จะให้ลูกหรรมรับผิดชอบหนูซาน่าค่ะ คุณสมิธกับวิคิดเห็นว่ายังไงคะ”
“ไม่แต่ง! ยังไงหรรมก็ไม่แต่งนะครับแม่สา ถ้าต้องแต่งเพราะรับผิดชอบยัยแหม่มนั่น หรรมก็ต้องรับผิดชอบผู้หญิงทั้งอุบลฯ น่ะสิครับ” สมิธกับภาวิกายังไม่ทันได้ตอบ เสียงห้าวก็กระชากขึ้นคัดค้าน
แกร๊ก!
“แต่งค่ะ ซาน่าจะแต่งกับเขา”
เสียงเปิดประตูห้องพร้อมกับเสียงใสดังเข้ามา ทำให้ทุกคนหันไปมองทางประตูเป็นตาเดียวกัน หญิงสาวลูกครึ่งยืนหน้าตึงมองจ้องไปทางว่าที่เจ้าบ่าวของตน
“ซาน่า...พ่อไม่ให้ลูกแต่งงานกับมัน มันทำ...”
“ซาน่าจะแต่งค่ะพ่อ ซาน่าคิดดีแล้ว” ไม่ใช่คิดดีหรอก ตอนแรกจะจัดการเอาคืนให้คนตัวใหญ่เจ็บไปจนตาย แต่พอได้ยินประโยคนี้จากที่แอบฟังอยู่หน้าห้องเลยรีบตอบรับทันที
“ซาน่าลูก...คิดดีแล้วใช่ไหม” ภาวิกาถามด้วยความรู้จักนิสัยของลูกสาวดี
“ค่ะ ซาน่าจะแต่งกับเขาค่ะ ในเมื่อซาน่าเป็นของเขาแล้ว ซาน่าก็ต้องเป็นเมียเขาใช่ไหมคะ”
“ยัยบ้า! เธอพูดอะไรออกมา จะมาอยากแต่งงานทำไม ไม่แต่ง! แม่สา ยังไงลูกหรรมก็ไม่แต่ง” หรรมใหญ่ลุกขึ้นโวยวายเดินไปหาคนที่อยากแต่งงานกับตนด้วยสายตาเอาเรื่อง
“นั่นสิลูกจะไปเอาคนเลว ๆ แบบมันทำไม” สมิธเองก็ไม่ยอมที่ลูกสาวจะแต่งงานกับคนสถุลพรรค์นี้
“เออ...คือว่า....” สาลิกาติดอ่างขึ้นมาทันที เมื่อเจอคำพูดของสามีของเพื่อนไป
“สมิธคุณให้ลูกตัดสินใจเองดีกว่านะคะ อีกอย่างวิก็เห็นด้วยกับลูกและสา ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ให้เด็กทั้งสองแต่งงานกันเถอะค่ะ” ภาวิกาเองก็เห็นด้วย และนางก็มองออกว่าลูกสาวไม่คิดจะแต่งงานเฉย ๆ แน่ แต่มันเป็นการแต่งงานเอาคืนต่างหาก ดูจากสายตาเด็ดเดี่ยวของซาน่าก็รู้แล้วว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ราบรื่นแน่
“ไม่!" สองเสียงดังประสานกันเป็นเสียงของหรรมใหญ่กับสมิธ ปฏิเสธค้านออกมาพร้อมกัน ด้วยไม่ยอม
“ซาน่าจะแต่งค่ะ สวัสดีค่ะคุณ....”
“แม่สาจ้ะ” แม้จะชุลมุนแต่ซาน่าก็ไม่ลืมเอ่ยสวัสดีทักทายว่าที่แม่สามีตรงหน้า
“สวัสดีค่ะคุณแม่สา” สาวเจ้าถือวิสาสะเรียกอีกฝ่ายว่าคุณแม่
“จ้ะลูก น่ารักมากเลย โตขึ้นสวยแบบนี้นี่เองลูกชายแม่ถึงอดใจไม่ไหว” สาลิกาเอ่ยระบายยิ้ม แต่ก็ถูกสาวน้อยสวนกลับมา
“ไม่ใช่อดใจไม่ไหวหรอกค่ะ แต่ลูกชายคุณแม่มันเลว” เธอเองก็โต้ตอบกลับไม่ไว้หน้าเช่นกัน “แต่เลวยังไงหนูก็จะแต่งงานกับเขาค่ะ เราไปตกลงกันดีกว่าค่ะคุณว่าที่สามี” ว่าแล้วก็ฉุดดึงข้อมือใหญ่เดินตามตนออกไปนอกห้อง เพื่อไปพูดคุยตกลงกัน
“อยากตกลง ได้ พ่อจะตกลงให้คางเหลืองเลยยัยแหม่ม” หรรมใหญ่เอ่ยลอดไรฟันขณะถูกฉุดกระชากให้เดินตามคนตัวเล็กไป
“ไม่มีทาง ผมไม่ยอมให้งานแต่งงานเกิดขึ้น ผมจะพาลูกกลับ” สมิธพูดกับภรรยาข้างกาย
“แต่วิจะให้ซาน่าแต่งงานค่ะ ลูกเราเสียตัวให้ฝ่ายชายแล้วจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไงคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ก็ถ้าเราไม่สนใจ”
“ขะ...คือว่าคุณสมิธคะ ดิฉันไม่แก้ตัวให้ตาหรรมหรอกนะคะ แต่ว่าฉันอยากให้คุณลองให้โอกาสลูกชายฉันค่ะ อีกอย่าง หนูซาน่าก็ยินดีจะแต่งงานแล้ว สาว่าเราน่าจะเคารพการตัดสินใจของเด็กนะคะ” เป็นครั้งแรกที่สาลิกาต้องมาพูดอะไรแบบนี้ แต่ต้องพูด นางก็อยากให้ลูกชายมีภรรยาเป็นตัวเป็นตน ถ้าคนจะมาเป็นสะใภ้คือซาน่าลูกสาวของเพื่อนนางก็ยินดี
“ผม...”
“ตามนี้แหละสา ไม่ต้องสนใจคุณสมิธหรอก คุณสมิธคะ คุณต้องเคารพการตัดสินใจของซาน่านะ เพราะคุณเองก็รู้จักนิสัยลูกสาวตัวเองดีไม่ใช่เหรอคะว่าเป็นยังไง ซาน่าไม่มีทางตัดสินใจโดยไม่คิดหรอกค่ะ” แทรกประโยคตัดหน้าสามีตอบแล้วหันมาพูดกับสามีด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ก็เยือกเย็น ทำให้สมิธพยักหน้าเห็นด้วยกับภรรยาและเพื่อนของภรรยาคนสวย