สถานีที่เจ็ด...รองประธานโมนา (2)
สถานีที่เจ็ด...รองประธานโมนา (2)
ห้องชมรม
ผมนั่งอยู่ที่มุมห้องของห้องชมรมด้วยสีหน้าและสภาพอารมณ์ที่บ่งบอกว่าเบื่อหน่ายมากที่สุด แต่ด้วยคำร้องขอจากโมนาที่พูดเอาไว้หลังจากที่ผมมาส่งเธอที่นี่ ผมจำต้องเข้ามาในที่แห่งนี้กับเธอ ทั้ง ๆ ที่เวลานี้ผมควรจะกลับถึงบ้านไปแล้วก็ตาม
“ถ้าจะให้ดีมาก ๆ ช่วยรอเราก่อนได้มะ เราไม่อยากนั่งแท็กซี่กลับทั้ง ๆ ที่เสื้อยังเปียกแบบนี้อ่า ถึงจะมีเสื้อคลุมของนายแล้วก็เถอะ แต่ยังไงเราก็ยังกลัวอยู่ดี”
“แล้วทำไมฉันต้องรอเธอด้วย ฉันก็มีธุระของฉันเหมือนกัน แค่มาส่งก็ดีแล้ว”
“ก็อยากกลับด้วยนี่นา เฮ้อ...ก็ได้ ๆ กลับเองก็ได้ค่ะคุณองศา ชิ! ไอ้คนหล่อใจดำ!”
ผมออกปากปฏิเสธไปตั้งแต่ประโยคแรก แต่ก็นั่นแหละ...ไม่รู้ทำไมผมถึงได้ตอบตกลงที่จะอยู่รอยัยนี่จนกว่าจะประชุมค่ายอาสาเสร็จ
ส่วนหนึ่งก็เห็นใจเธอเหมือนกัน ตอนนี้สภาพของเธอเปียกไปทั้งตัว ถ้าเกิดนั่งแท็กซี่กลับคนเดียวมีหวังเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเป็นแน่ หรืออีกเหตุผลที่ผมยอมก็เพราะคำว่า ‘คนหล่อใจดำ’ แหละมั้ง
“ทุกคน ใครที่จะไปค่ายมาลงชื่อที่ตรงนี้ได้เลยนะ ส่วนเพื่อนใครที่วันนี้ไม่ได้มาเข้าประชุมเราก็ฝากบอกหน่อยน้า แล้วค่อยให้เขาทักข้อความส่วนตัวมาหาเราได้เลย เดี๋ยวเราจะลงชื่อให้”
ผมนั่งกอดอกมองความวุ่นวายขนาดย่อมตรงหน้า ตอนนี้สมาชิกในชมรมต่างก็ลุกขึ้นกรูเข้าไปลงรายชื่อสำหรับการเข้าค่ายอาสา ส่วนรองประธานค่ายอย่างโมนาก็กำลังหัวหมุน หยิบกระดาษแผ่นนั้นทีแผ่นนี้ที จนมันพัวพันสับสนไปหมด
“จะ...ใจเย็นก่อนนะทุกคน ต่อแถวก่อนนะ จะได้ไม่วุ่นวาย”
“นี่ ตอนแถวกันก่อนดิ จะแย่งกันลงชื่อทำไม”
“ใช่ ๆ ยังไงก็ได้ลงชื่อกันทุกคนนั่นแหละ”
คราวนี้เป็นเสียงของกวินและพั้นซ์เพื่อนของโมนาที่เป็นฝ่ายเอ่ยบอก เพื่อนของยัยนี่คาแรกเตอร์ชัดเจนมาก และผมก็จำได้เป็นอย่างดีว่าไอ้เพื่อนผู้ชายของเธอแสดงออกว่ากำลังเหม็นหน้าผมมากแค่ไหน ส่วนเพื่อนที่ชื่อพั้นซ์น่ะเหรอ นิสัยก็ดีนะ แต่ดูแรงและมั่นใจกว่ายัยโมนาเยอะพอสมควร เวลาสามคนนี้อยู่ด้วยกันทีไรผมก็มักจะหลีกเลี่ยงอยู่ตลอด
“นี่มันสมัยไหนกันแล้วอะ ทำไมต้องมาลงชื่อกับกระดาษพวกนี้ด้วย ที่นัดมาประชุมในวันนี้ก็แค่จะให้ลงชื่อเท่านั้นเหรอ ทีหลังส่งข้อความเข้ากลุ่มก็ได้ป้ะ มันเสียเวลา!”
“เออใช่! ให้ลงชื่อกันในกลุ่มก็ได้แล้ว จะเรียกมาทำไมก็ไม่รู้”
“แถมเธอยังมาช้าอีกนะโมนา ถ้าไม่ตรงต่อเวลาก็ไม่ควรนัดตั้งแต่แรกไหม!”
“เอ่อ...เราขอโทษนะ พอดีว่าเราติดฝนอะเลย...”
“มันจะอะไรนักหนาวะ เห็นสภาพโมนาหรือเปล่าว่าเปียกทั้งตัวอะ มันเป็นเหตุสุดวิสัย แล้วโมนาก็ติดฝนจริง ๆ เลยทำให้มาตามกำหนดเวลาไม่ได้!”
“กวิน ไม่เป็นไร เรื่องนี้เราผิดเองแหละ”
ตอนนี้สถานการณ์ในห้องชมรมเริ่มมีปากเสียงกัน ขนาดผมที่นั่งอยู่ท้ายมุมห้องยังได้ยินคำต่อว่านั้นอย่างชัดเจน
สมาชิกคนอื่น ๆ กำลังต่อว่าโมนาที่มาช้าจากเวลานัดหมาย แถมระบบการลงชื่อยังล้าสมัยและทำให้เสียเวลาแทนที่จะเป็นการลงชื่อผ่านออนไลน์ ความจริงแล้วผมเองก็เห็นด้วยกับสมาชิกคนอื่นนะ แต่เรื่องใช้อารมณ์และขึ้นเสียงกันแบบนี้ผมกลับมองว่ามันค่อนข้างแย่ไปหน่อย
“คือแบบนี้นะทุกคน ความจริงที่เรียกมาประชุมเพราะจะบอกรายละเอียดถึงกิจกรรมภายในค่าย เพราะปีนี้มันจะแตกต่างจากปีก่อน ๆ มันจะเป็นการเน้นความสนุกของเหล่าสมาชิกและเด็ก ๆ ในชุมชน ส่วนเรื่องลงชื่อเราเองต้องขอโทษด้วยจริง ๆ เราคิดน้อยไปหน่อย เดี๋ยวเย็นนี้เราจะส่งแบบรายชื่อให้ทุกคนยืนยันนะว่าใครจะร่วมไปค่ายกันบ้าง”
เสียงเล็กเอ่ยขณะที่รอยยิ้มยังคงประดับบาง ๆ หากแต่ว่าสายตาของเธอกลับสั่นระริกและสวนทางกับรอยยิ้มสวย ๆ นั้นอย่างสิ้นเชิง
ยัยนี่ก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็มักจะยิ้มอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าสายตามันจะฉายชัดว่าเธอกำลังเสียใจก็ตามที
“เอาล่ะ ๆ งั้นเราจะเริ่มประชุมเลยนะ ถ้าใครรีบก็สามารถออกไปก่อนได้เลย เดี๋ยวเราจะให้โมนาส่งรายละเอียดที่ประชุมกันวันนี้ส่งไปให้ในกลุ่มทีหลัง” ประธานค่ายเอ่ยแทรกเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จนทำให้คนอื่น ๆ ต่างก็ยอมเงียบลงและหันไปสนใจกับเนื้อหาการประชุมที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
การประชุมสิ้นสุดลงเมื่อสมาชิกทุกคนเห็นพ้องต้องกันถึงเนื้อหางานในค่ายอาสา หลาย ๆ คนออกจากห้องไปแล้ว แต่บางส่วนก็ยังคงหลงเหลือ บ้างก็พูดคุยถามถึงเนื้อหาของการประชุมต่อ บ้างก็ยังคงนั่งรอฟังทั้งที่ไม่ได้ออกความเห็นอะไร ส่วนผมเป็นสมาชิกเพียงไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์แหละมั้งที่เข้ามานั่งเฉย ๆ ไม่หือไม่อือ เพราะไม่ได้มีส่วนร่วมกับการไปเข้าค่ายในปีนี้
“ฉันกลับก่อนนะ บ๊ายบาย” เสียงของโมนาเอ่ยบอกลากับเพื่อนสองคนของเธอ ก่อนที่เธอจะรีบวิ่งเข้ามาหาผมพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้อย่างที่ชอบทำ
ตอนนี้รอยยิ้มของเธอเริ่มจะกลับมาเป็นปกติแล้ว มันไม่ใช่รอยยิ้มที่เป็นเพียงการหยักโค้งมุมปากเฉย ๆ เพราะอารมณ์ภายในใจของเธอคงจะลืมเลือนสิ่งที่สมาชิกคนอื่น ๆ ต่อว่าเมื่อครู่นี้ไปได้บ้าง
“เสร็จแล้วจ้า กลับกันเถอะ”
“โคตรนาน” ผมบอกด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก่อนจะหยัดกายขึ้นและเดินนำออกไปด้านนอกห้อง
การที่ต้องมานั่งอยู่เฉย ๆ ตลอดหนึ่งชั่วโมงกว่านั้นก็ทำเอาปวดเมื่อยและเบื่อหน่ายได้เหมือนกัน แถมยังต้องมาเห็นฉากมีปากเสียงกันอีกก็ยิ่งทำให้อยากออกจากห้องนี้เสียตั้งแต่วินาทีแรก
ถ้าไม่ติดว่าจะต้องรอยัยนี่กลับด้วยอะนะ
“แหะ โทษที ยังไงก็ชอบคุณนายมากเลยนะที่นั่งรอ โอ๊ะ! ขอบคุณสิ ไม่ใช่ชอบคุณ”
ประโยคนั้นทำเอาผมหันขวับพร้อมกับมุ่นคิ้วขมวดกันแทบจะเป็นปม ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของโมนานักหรอก แต่แค่รู้สึกว่ายัยนี่ชอบเล่นมุกที่มันแป้กอยู่พอสมควร
แต่ก็นะ...ตลอดสองปีที่รู้จักกันมา ผมเองก็เริ่มชินชากับคำพูดบ้า ๆ ของเธอแล้วล่ะ
“ขึ้นรถ จะได้รีบกลับ”
“ฮัดชิ้ว! โอ๊ย...น้ำมูกไหลเลย นายมีทิชชูไหมองศา”
จังหวะนั้นผมและโมนาเดินมาถึงตัวรถพอดี ผมไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ส่งสายตาดุ ๆ ก่อนจะก้มตัวไปหยิบทิชชูด้านในตัวรถและโยนให้เธอเป็นลำดับถัดมา
“โอ๊ะ ขอบคุณค่า นายนี่มีทุกอย่างเลยนะเนี่ย ขออะไรก็ได้หมด ถ้าขอความรักนี่จะได้ไหมนะ”
“หยุดพูดมากสักที ขึ้นรถซะ จะได้รีบกลับ ฉันง่วง!”
“ฮึ่ย สงสัยชาติที่แล้วทำบุญด้วยชาเย็นมั้งเนี่ย ชาตินี้ถึงได้เย็นชาเหลือเกินพ่อคุณเอ๊ย!”
แทนการตอบกลับผมทำได้เพียงโคลงศีรษะและสั่นหน้าบ่งบอกถึงอารมณ์ตัวเองว่ากำลังเอือมระอากับยัยโมนานี่เป็นที่สุด
สงสัยเหมือนกันว่าตลอดสองปีผมทนคำพูดกวน ๆ ของยัยนี่มาได้ยังไง
ไอ้องศาปวดหัวโว้ย!
ONGSA’ S PART ; END
Spoil Next Part...
“เมื่อวานไม่ได้กินยาหรือไง ทำไมวันนี้ถึงได้อาการหนักแบบนี้”
