Episode - 00 / 1
ครืด ครืด เสียงมือถือที่เปิดระบบสั่นไว้ดังขึ้นในกระเป๋า ฉันที่กำลังนั่งรอสัมภาษณ์เพื่อแคสติ้งงานตัวใหม่ลังเลว่าจะรับดีหรือเปล่าเพราะเป็นคิวต่อไป กลัวรับปุ๊บคนในห้องจะเรียกสัมภาษณ์พอดี
ครืด ครืด ครั้งแรกเสียงสั่นหยุดไปแล้วแต่กลับมาสั่นอีกครั้งเป็นหนที่สอง ลองชั่งใจดูอีกครั้งก่อนจะล้วงมือลงไปในกระเป๋าสะพายแล้วหงายมือถือดูในนั้น
'แม่ โทรเข้า...'
เป็นสายจากแม่ แต่ทำไมท่านถึงได้โทรมาถี่ขนาดนี้กันนะ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดียังไงไม่รู้ แต่จังหวะที่กำลังจะกดรับสาย เสียงพี่คนที่อยู่ในห้องดันเรียกชื่อฉันก่อนนี่สิ
"ต่อไปเชิญคุณขวัญโมรีค่ะ" ทำยังไงดี ๆ คิดหนักเลยตอนนี้
แม่ก็ยังโทรตามยิก ๆ คนด้านในก็เรียกสัมภาษณ์แล้ว สุดท้ายฉันเลยต้องเลือกคนที่มีพระคุณก่อน
"ขอโทษนะคะพี่ พอดีข้าวมีเรื่องด่วน เชิญเรียกคิวต่อไปเลยค่ะ"
เฮ้อ! ชีวิตฉันทำไมถึงได้เป็นแบบนี้นะ
งานวันนี้เป็นงานเดินแบบงานใหญ่ซะด้วย ถ้าได้งานคือมีเงินห้าหลักปลาย ๆ อยู่ในกระเป๋าทันที แต่ฉันกลับมีความรู้สึกว่าเรื่องที่แม่โทรมาต้องสำคัญกว่างานนี้เลยจำเป็นต้องเลือกรับโทรศัพท์แม่แทน
[ข้าว ข้าวอยู่ไหนลูก!] ทันทีที่กดรับสายยังไม่ทันได้พูดอะไร แม่ก็ถามเสียงร้อนรนแถมเหมือนท่านจะร้องไห้ด้วย
"แม่มีอะไรคะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสียงแม่เป็นแบบนั้น" รีบกรอกเสียงถามลงไปด้วยหัวใจที่เจ็บร้าวตาม
[พ่อ... พ่อเรา ฮึก]
พ่อ..? พ่อเลี้ยงฉันอีกแล้วเหรอ
"ลุงสงบเป็นอะไรคะ" รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยแม่ฉันไม่ได้เป็นอะไร
[คุณสงบอยู่โรงพยาบาล] แม่รีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกพ่อเลี้ยงฉันใหม่ ตอนแรกท่านคงตกใจเลยเรียกแบบนั้นออกมาให้ฉันได้ยิน
ฉันไม่เคยเรียกพ่อเลี้ยงว่าพ่อ อันนี้แม่ฉันเป็นคนให้เรียกแบบนี้เอง และคุณลุงก็ไม่เคยน้อยใจที่ฉันไม่เรียกท่านว่าพ่อสักครั้ง
"คุณลุงเป็นอะไรคะ"
[มะ ไม่รู้ แม่ยังไม่ไปโรงพยาบาล] เสียงแม่สั่นอีกแล้ว
"แม่อยู่ที่บ้านใช่ไหมคะ งั้นเดี๋ยวข้าวไปรับ"
หลังจากนัดแนะกันเสร็จ ฉันรีบเดินออกมาจากอาคารพาณิชย์ที่เป็นที่สัมภาษณ์งานด้วยหัวใจที่ยังรู้สึกเสียดาย เดินไปปลดล็อกรถออดี้สีชมพูคู่ใจที่ยังผ่อนไม่หมด ขับออกไปรับแม่ที่บ้านเพื่อไปโรงพยาบาลทันที
โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
หลังจากเลี้ยวรถเข้ามาในตัวโรงพยาบาลที่เห็นแค่ชื่อโรงพยาบาล เงินในกระเป๋าฉันก็เบาหวิวทันที
"ทำไมคุณลุงถึงมารักษาที่นี่คะ" ยังไม่รู้หรอกว่าพ่อเลี้ยงฉันเป็นอะไรแต่เดาไว้ก่อนว่าอาจจะแค่ไม่สบาย
"แม่ก็ไม่รู้ หมอเป็นคนโทรมา" แม่ยังมีน้ำใส ๆ คลออยู่ที่เบ้าตา เห็นแล้วจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดให้ท่านเบา ๆ
"เราลงไปหาคุณสงบกันเถอะลูก" แม่รีบแย่งผ้าเช็ดหน้าไปจากฉันก่อนจะลงจากรถอย่างรีบร้อน มีอย่างหนึ่งที่ฉันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนั่นคือ…
แม่ดูรักพ่อเลี้ยงมากกว่าฉัน ความรู้สึกคนเรามันสัมผัสกันได้ ยิ่งเราสามคนใช้ชีวิตในบ้านหลังเดียวกันทุกวันฉันยิ่งรู้สึกได้ดี
แต่ก็ได้แค่น้อยเนื้อต่ำใจนั่นแหละ ฉันไม่เคยโกรธแม่หรอก นั่นอาจจะเป็นความสุขของท่าน เพราะท่านเคยเล่าให้ฟังว่า แม่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแท้ ๆ ของฉันเลยจนหย่าร้างจากกัน และพ่อแท้ ๆ ฉันเสียหลังจากนั้นสามปีด้วยโรคร้าย
"ห้อง 402 ไปทางไหนคะ"
ทันทีที่เข้ามายังตึกของโรงพยาบาลแม่ก็รีบถามพยาบาลที่เดินผ่านมาทันที พอได้ความแล้วท่านก็รีบวิ่งไปกดลิฟต์อีกฝั่งเพื่อขึ้นไปยังห้องจุดหมาย
"คุณสงบ เป็นยังไงบ้างคะ"
แม่พรวดพราดเข้าไปในห้องผู้ป่วยที่มีชื่อพ่อเลี้ยงฉันติดอยู่ประตูทันที
ฉันเดินตามเข้าไปติด ๆ ถึงกับขาชาก้าวไม่ออกเมื่อเห็นผู้ชายที่เป็นพ่อเลี้ยงนอนบนเตียงสีขาวสะอาดตา บนหัวมีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะ แขนขวาเข้าเฝือก ขาซ้ายเองก็เข้าเฝือกนอนห้อยขาอยู่บนเตียง
"ทำไมคุณถึงเจ็บขนาดนี้คะ" นี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากรู้
ปกติพ่อเลี้ยงฉันจะอยู่ที่บ้านทั้งวัน นาน ๆ ทีถึงจะออกมาข้างนอกแล้วกลับเย็น แต่ก่อนเกิดเรื่องแบบนี้จู่ ๆ พ่อเลี้ยงฉันก็หายออกจากบ้านสามวันสามคืน โชคดีที่ยังติดต่อกันได้ไม่งั้นคงแจ้งความคนหายไปแล้ว
แค่หายตัวไปสามวัน ทำไมถึงกลับมาสภาพปางตายได้ขนาดนี้
"คุณพิศ หนูข้าว ช่วยพ่อด้วย พวกเราต้องช่วยพ่อนะ พ่อกลัว"
พ่อเลี้ยงฉันตาลีตาเหลือกมองฉันกับแม่สลับกัน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเครือจนแทบจะกลายเป็นเสียงสะอื้น
"กลัว คุณกลัวอะไรคะ แล้วทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้" แม่ฉันถามทั้งน้ำตา
ก็รู้อยู่แหละว่าแม่น่ะรักพ่อเลี้ยงฉันมากท่านเลยเป็นห่วงแทบจะขาดใจ
"พวกมัน พวกมันหลอกพ่อ พวกมันโกงพ่อ"
ทุกคำที่พ่อเลี้ยงพูดออกมาท่านพยายามมองมาที่ฉันและสื่อบอกฉันราวกับมีแค่ฉันที่ให้ความช่วยเหลือท่านได้
"ใครคะ พวกนั้นที่ว่าคือใคร" เพราะพ่อเลี้ยงสบตามาทางฉัน ฉันเลยเป็นฝ่ายถามขึ้น "พวก... พวก" ท่านอึกอักหลบสายตาฉันและเหลือบมองแม่เป็นระยะ ๆ
"คุณพิศ คุณก็รู้นิสัยผมใช่ไหมว่าผมไม่ชอบเล่นการพนัน"
คำบอกเล่าของพ่อเลี้ยงที่เอ่ยกับแม่ทำแข้งขาฉันอ่อนยวบ