EPISODE - 03 / 2
หมับ!
‘กรี้ด! ปล่อยฉันนะ ใครก็ได้ช่วย อื้อ’ ตอนที่ตัดสินใจลุกขึ้นวิ่งเพื่อเอาตัวรอด คนที่อยู่ใกล้ฉันที่สุดกลับคว้าร่างฉันไว้ได้ทัน
ตอนนี้ฉันอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ทักฉันเป็นคนแรก มันรัดร่างฉันแน่นมาก แน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก ฝ่ามือหนาที่มีแต่กระดูกแทบจะบีบรัดใบหน้าฉันให้บิดเบี้ยว
‘อื้อ อ่อย อ่อยอะ’ ฉันพยายามบอกให้พวกมันปล่อยฉัน แต่เพราะถูกปิดปากไว้จึงสื่อสารออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
พลั่ก! ทั้งเจ็บและจุก เมื่อคนที่รวบตัวฉันไว้ผลักฉันลงพื้นอีกครั้ง
พื้นดินแข็งๆ กับเศษกิ่งไม้แห้งกรังที่กระทบร่างทำให้ฉันน้ำตาเล็ดทันที
‘อุตส่าห์จะพาไปที่เตียงนุ่มๆ แต่สงสัยเธอจะชอบบรรยากาศแบบเอ้าท์ดอร์’
‘ไม่นะ อย่าทำอะไรฉัน อึก’ สองมือพนมไหว้ให้กับพวกเดรัจฉานที่กำลังจะทำมิดีมิร้ายกับร่างกายฉัน จิตใจสกปรก โสมม ทำไมชีวิตฉันถึงได้พบเจอแต่คนพวกนี้
หนีเฮียนาวิทย์มาได้นึกว่าจะรอดแล้วเสียอีก กลับมาพบเจอพวกที่น่าเกลียดและน่ากลัวกว่าพี่ชายต่างสายเลือดอย่างนาวิทย์เข้าให้
แคว่ก!
‘ไม่!!’ ฉันดิ้นรนเมื่อเสื้อยืดตัวขวางถูกฉีกกระชากจนขาดวิ่น แม้จะมีเศษเสี้ยวบางส่วนของตัวเสื้ออยู่บนร่างกาย แต่มันก็ไม่สามารถปกปิดเนื้อกายของฉันได้หมด
‘ขาว เนียน น่ากิน’ คนที่ผลักฉันล้มนั่งคร่อมร่างฉันไว้
ส่วนอีกสองคนทำท่าทางเหมือนเตรียมพร้อมที่จะจ่อคิวรอเพื่อนของเขาทำเรื่องอัปรีย์ ชั่วช้ากับร่างกายฉัน
‘ไม่นะ อย่าทำอะไรฉันนะ ขอร้องล่ะ’
‘ไม่เอาน่าเด็กน้อย มาถึงขั้นนี้แล้ว คิดว่าพวกพี่จะปล่อยไปง่ายๆ หรือไง’
คนที่นั่งคร่อมฉันอยู่พูดเหมือนไม่รู้สึกผิดอะไรกับสิ่งที่เขากำลังจะลงมือทำ
ฉันเป็นคน ไม่ใช่สัตว์ ที่อยากจะย่ำยีเมื่อไหร่ก็ทำกันได้ลงคอ
‘ไอ้เจ๋ง มึงให้ไว อย่าลีลา พวกกูปวดไปหมดแล้วเนี่ย’
หนึ่งในสองคนที่ยืนมองเพื่อนเขาคร่อมร่างฉันอยู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงชวนหัวเสีย
‘เออ พวกมึงก็ไปไกลๆ สิวะ กูจะได้เริ่มสักที’
ไม่นะ อย่าไปนะ ไม่ใช่ว่าฉันอยากให้พวกเขาอยู่ครบแก๊งค์
แต่ฉันแค่อยากให้อีกสองคนช่วยถ่วงเวลาชวนไอ้คนที่มันคร่อมร่างฉันคุยไปเรื่อยๆ เผื่อบางทีตอนนี้ตินอาจจะกำลังถึง
‘ทำเป็นหน้าบางนะมึง เคยเห็นยันตูด กี่ท่าๆ ก็เล่นกันมาหมดแล้ว’
หนึ่งในสองคนนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดตลก
‘หุบปากเน่าๆ ของพวกมึงซะ!’
ในตอนที่ทั้งสามคนนั้นกำลังพูดล้อกันเล่นๆ เสียงใครบางคนก็ดังขึ้น น้ำเสียงเขาช่างเยียบเย็น ชวนขนลุก
‘มึงเป็นใครไอ้หน้าอ่อน’ หนึ่งในนั้นหันไปด้านหลังพูดกับคนมาใหม่
‘ปล่อยเด็กนั่นซะ นี่พวกมึงอดอยากจนต้องจับเด็กข้างทางมากินแล้วเหรอวะ!’
คนที่เพิ่งปรากฏตัวว่าให้ทั้งสามคน ฉันมองไม่เห็นว่าเขาเป็นใคร เพราะถูกสองคนที่ยืนอยู่บังจนมิด
‘เรื่องของพวกกู แต่ถ้ามึงจะมาร่วมวงด้วยก็ต้องรอคิวเว้ย!’
ฉันภาวนาในใจ ขอให้คนที่มาใหม่ไม่ใช่พวกเดียวกับสามคนนี้ ขอให้เขาเป็นคนดี
‘ชะ ช่วย อื้อ’ เป็นอีกครั้งที่ฉันขอความช่วยเหลือไม่สำเร็จก็ถูกปิดปาก
‘โทษทีว่ะ กูไม่สันทัดเรื่องรังแกเด็ก”
“พวกมึงปล่อยเธอไปเถอะ นึกเสียว่าทำบุญเด็กตาดำๆ’
ตอนนี้ฉันมองเห็นเจ้าของคำพูดนี่ลางๆ แล้ว เขาสูงน่าจะเกือบร้อยแปดสิบ สวมหมวกแก๊ปสีดำ
‘ปล่อยให้โง่!’ คนที่กำลังคร่อมฉันพูด เพื่อนอีกสองคนของเขาหัวเราะอย่างพอใจ
‘งั้นคงต้องเจ็บตัวกันแล้วล่ะ’
‘มึงแน่เหรอวะ สามต่อหนึ่งน่ะ’
นั่นสิ! เขามีแค่คนเดียวจะสู้สามคนนี้ไหวเหรอ?
‘กูแฟร์ ให้พวกมึงบุกมาเลยทีเดียวสามคน’
‘อวดดี งั้นพวกกูจัดให้’
สิ้นคำพูดของหนึ่งในสาม สองคนที่ยืนอยู่ก็เข้าไปรุมคนที่มาใหม่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันมองแทบไม่ทัน แถมตรงนี้มันยังมืดฟ้ามัวดินอีก ได้ยินเพียงแค่เสียงตุ้บ ตั้บ และเสียงกรีดร้องของพวกที่กำลังจะรังแกฉัน ไม่นาน ทั้งสองคนที่ปากดีตอนแรกก็นอนสลบอยู่ที่พื้น
‘มึง!’ คนที่คร่อมฉันไว้ตัวสั่นงันงก ชื่อเจ๋งสินะ มันกระชากผมฉันให้ลุกขึ้นตาม
‘อ๊ะ เจ็บ!’ แรงกระชากที่ผมทำให้ฉันเบ้หน้าร้องไห้
‘อย่าน่าตัวเมีย ปล่อยเด็กไปซะ’ คนที่เข้ามาช่วยฉันไว้กล่าวเตือน
‘มะ มึง แน่จริงก็ปล่อยกูไปสิวะ ไม่งั้นกูจะบีบคอยัยนี่ให้ตายคามือกูเลย’
ฉันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เพราะแรงกระชากที่ผมมันเพิ่มขึ้น แม้คนที่กระทำเรื่องร้ายกาจจะตัวสั่นมือสั่นแต่แรงมันก็มากพอที่จะทำให้ฉันเจ็บตาม
‘กูบอกให้ปล่อยเด็ก’ ฉันมองไม่เห็นแววตาเจ้าของคำพูดนี้ แต่ฟังจากน้ำเสียงเหมือนเขากำลังควบคุมโทสะเอาไว้
‘ปะ ปล่อยก็โง่สิ มึงถอยไป ไม่งั้นอีนี่เจ็บตัว’
ไม่ว่าเปล่า มันกระชากฉันให้ไปอยู่ในอ้อมกอด มือที่เคยจิกผมฉันไว้เปลี่ยนมาเป็นบีบที่ลำคอแทน ‘ปะ ปล่อย อึก’ เพราะแรงบีบมันเพิ่มมากขึ้น
ฉันตอนนี้เหมือนคนกำลังจะขาดอากาศหายใจ ไม่ดีแน่ ถ้าอีกนาทีหากหมอนี่ไม่ยอมปล่อยลำคอฉันมีหวังฉันตายแน่ๆ
‘กากว่ะ ถุ้ย!’ ตาฉันกำลังพล่าเบลอ
‘อร๊าก อึก อั่ก’
เหมือนร่างกายถูกเหวี่ยงด้วยแรงมหาศาล ฉันกำลังจะล้มไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่แล้ว... หมับ!
‘ไม่เป็นไรนะหนู’ ร่างที่กำลังจะกระแทกกับพื้นถูกใครสักคนรับไว้ได้ทัน
‘…’ ฉันตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อพูดอะไรสักอย่าง
แต่จังหวะนั้น สายตาสองคู่ของเราประสานกันพอดี
ดวงตาสีเข้ม แววตาเย็นชาที่เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ปรี้นๆๆ
จังหวะที่ฉันกำลังจะเอื้อมมือไปถอดหมวกแก๊ปที่ปิดบังใบหน้าของเขาเอาไว้เพื่อดูหน้าชัดๆ เสียงแตรรถจากด้านหลังก็ดังขึ้น
‘เฮ้ย! มึงทำอะไรคุณหนู’ เสียงนี้คือติน เขามาถึงแล้ว
‘ติน อย่า!’ ฉันรีบร้องห้ามตินที่กำลังจะเข้าไปต่อยคนที่เพิ่งช่วยชีวิตเอาไว้
‘แต่มัน...’
‘ไม่ใช่เขา เขาช่วยวาไว้’ ฉันรีบพูดแทรกติน เพราะเขากำลังเข้าใจผิด
ตินเหลือบมองไปด้านหลังพวกเรา จึงพยักหน้าเพราะเข้าใจสถานการณ์แล้ว
‘ทีหลังก็ดูแลแฟนให้มันดีๆ’
คนที่เพิ่งช่วยชีวิตปล่อยฉันออกจากอ้อมกอดพร้อมกับคำพูดที่เขากำลังเข้าใจผิด
‘มะ ไม่ใช่ นะ’ ฉันกำลังจะแก้ไขความเข้าใจผิดของเขาแต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อคนที่เพิ่งช่วยชีวิตได้เดินไปขึ้นรถหรูสีดำแล้วขับออกไปทันที
‘คุณหนู ไม่เป็นไรนะครับ ใส่เสื้อก่อนเดี๋ยวไม่สบาย’ ตินถอดเสื้อแขนยาวเขาออก ส่งมาให้ฉัน ฉันรับไว้แต่สายตายังมองไปยังทิศทางที่รถคันนั้นหายวับไป
จะใช่ไหมนะ? ฉันครุ่นคิดอยู่ในใจ
รูปร่างและบุคลิกเขาคล้ายกับคนเมื่อตอนนั้นมาก
ถ้าจะให้ชัวร์ฉันน่าจะได้เห็นรอยสักนั้นอีกสักครั้ง ถ้าเขาคือคนเดียวกัน ก็เท่ากับว่าฉันติดหนี้บุญคุณเขาแล้วถึงสองครั้งสองครา
เคยได้ยินแม่เล่าตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านบอกว่า แม่กับพ่อพบรักกันตอนที่พบกันครั้งที่สาม การพบกันสามครั้งด้วยความบังเอิญมันคือพรมลิขิต แต่สำหรับฉัน ไม่รู้จะได้ดำเนินรอยตามพวกท่านหรือเปล่า ถ้าหากเขาคือพรมลิขิตของฉันจริง ครั้งหน้าขอให้เราได้เจอกันอีกครั้งนะคะ ผู้มีพระคุณ
“เฮือก!” ฉันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฟ้าร้องดังก้องหู
“คุณวา” พี่พิมพ์ที่นั่งอยู่ข้างเตียงเรียกฉันหน้าตาตื่น
“พี่พิมพ์”
“ฝันร้ายเหรอคะ” พี่พิมพ์พยุงฉันให้ลุกขึ้นนั่ง ฉันเรียบเรียงเรื่องราวก่อนหน้าในใจ
จำได้ว่าฉันตื่นแล้วรอบหนึ่งเพราะเสียงฟ้าร้อง และเหมือนจะมีใครบางคนอยู่ในห้องกับฉันด้วย แต่ไม่น่าจะใช่พี่พิมพ์เพราะฉันเรียกแล้วเธอไม่ยอมขานรับ
"วาหลับไปได้ยังไง จำได้ว่าตื่นมาแล้ว"
“ใช่ค่ะ คุณวาตื่นมาแล้ว แต่จู่ๆ ก็สลบไป สงสัยจะเป็นเพราะกลัวเสียงฟ้า”
ฉันพยักหน้าเมื่อพี่พิมพ์เล่าจบ “แล้วก่อนหน้าพี่พิมพ์ได้เข้ามาในห้องหรือเปล่าคะ”
ฉันสงสัยจึงต้องรีบถามออกไป
“อ้อ คงเป็นตินน่ะค่ะ ตินแวะเอาโจ๊กรอบดึกมาฝากคุณวา พี่พิมพ์เลยให้ขึ้นมาปลุกเพราะเห็นว่ายังไม่ดึกมาก” ฉันพยักหน้าด้วยความโล่งใจ
ที่แท้เงาตะคุ่มๆ ที่อยู่ปลายเตียงก็คือติน ทำเอาฉันแทบใจหายใจคว่ำ
“แล้วตอนนี้ตินไปไหนแล้วคะ” ไม่รู้ว่าตัวเองสลบไปนานแค่ไหน แต่พอมองดูจากเวลาข้างหัวเตียงตอนนี้เกือบจะเที่ยงคืนตินคงกลับไปแล้ว
“กลับแล้วค่ะ” ว่าแล้วเชียว อย่างที่คิดไว้เลย
“แล้วนี่คุณวาจะกินโจ๊กหน่อยมั้ยคะ ตอนเย็นก็ทานแค่แซนวิชไปแค่ชิ้นเดียวเอง”
พี่พิมพ์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่ตอนนี้ฉันกินอะไรไม่ลงจริงๆ ถึงแม้ว่าท้องจะประท้วง แต่เพราะฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนก่อนหน้าทำให้ฉันไม่กล้าที่จะเคี้ยวอะไรลงคอ
“ไม่ดีกว่าค่ะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ถ้าพี่พิมพ์หิว กินของวาได้เลยนะคะ” ฉันหันไปยิ้มให้พี่พิมพ์ พร้อมกับเตรียมตัวจะล้มตัวลงนอนต่อ
“ไม่เป็นไรค่ะ ตินซื้อมาฝากพี่ด้วย งั้นคุณวานอนพักต่อเถอะนะคะ ฝนเริ่มซาแล้ว คงไม่มีฟ้าร้องแล้วล่ะค่ะ” ฉันพยักหน้าให้พี่พิมพ์ พยายามข่มตาให้หลับอีกครั้ง
ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่สดใส
ขอให้พรุ่งนี้มีแต่สิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตวาวาคนนี้ด้วยเถิด
แม่คะ ช่วยอวยพรให้คืนนี้วาฝันดีด้วยนะคะ