บทที่ 3 -เพื่อนสาว-
เช้าวันต่อมา...
“กลับบ้านไม่เกินสองทุ่ม ถ้าสองทุ่มเธอยังไม่ถึงคอนโด ฉันจะรายงานแม่เธอ”
ชิ๊ กลับบ้านไม่เกินสองทุ่ม ไม่งั้นจะรายงานแม่เธอ ขี้ฟ้อง
“รู้แล้วหนา พี่ย้ำกับพิ้งค์จนหลอนไปหมดแล้วเลิกทวนสักที่เถอะ”
ก็มันจริงอะ เขาพูดประโยคนี้กับฉันตั้งแต่ก่อนออกจากห้องจนมาถึงลานจอดรถข้างล่างจนฉันหลอนไปหมดแล้วก็ยังทวนไม่หยุด ทวนอยู่นั้นแหละทวนจนฉันจำขึ้นใจ แล้วคือเห็นฉันเป็นเด็กป.1หรือไง เรียนเสร็จต้องรีบกลับบ้านห้ามไปเถลไถลที่ไหนอะ
ชิ๊!
“แล้วนี้จะให้พิ้งค์ขับคันไหนไปเรียนอะ” ฉันยืนกอดอกมองรถสองคันที่จอดอยู่ตรงหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ เริ่มอารมณ์เสียเพราะประโยคกวนใจของเขานั้นแหละ กะว่าจะไปมหาลัยด้วยใบหน้าเบิกบานสักหน่อย แต่ก็อย่างที่เห็นแหละทำฉันหน้าหงิกตั้งแต่เช้าเลย
อารมณ์เสีย!
“คันสีชมพูรถของเธอ”
!!!
ฉันหูผึ่งเบิกตาโตเท่าไข่หานทันทีที่ได้ยินว่ารถมินิคูเปอร์ที่จอดอยู่ตรงหน้าคือของฉัน จากที่อารมณ์เสียเมื่อกี้คือหายวับไปเลย คือเข้าใจความหมายของเธอในแบบฉันปะ มันหมายถึงว่ายกให้ฉันถูกไหม
“เดี๋ยวพี่ทาม พี่บอกของพิ้งค์หมายถึงยกรถคันนี้ให้พิ้งค์ใช้เลยใช่ไหม”
“แม่ซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเข้าเรียน” เห้ย! จริงเหรออารันซื้อให้ฉันจริง ๆ เหรอ
แก~แม่สามีฉันใจดีเว่อร์อะ
“อารันซื้อให้พิ้งค์จริง ๆ เหรอ” ฉันเดินเข้าไปหาตัวรถด้วยสีหน้าดีใจแบบสุดๆ ก่อนจะใช้นิ้วเรียวลูบไล้ตัวรถอย่างปลาบปลื้ม
“งื้อ~ พิ้งค์ดีใจจัง” ฉันฟุบหน้าลงกับกระโปรงรถแล้วดุ๊กดิ๊กขาอย่างดีใจ แม่สามีใจดีเว่อร์อ่ะ ขนาดแม่ฉันยังไม่ซื้อให้เลย
“เลิกดีใจแล้วขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอก ดีใจเหมือนเด็กได้ตุ๊กตาไปได้” พี่ทามที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ข้างหน้ารถพูดเสียงเรียบด้วยมาดนิ่งๆหยิ่งๆของเขานั้นแหละก่อนจะเดินไปขึ้นรถออดี้อาร์แปดสุดหรูสีดำของเขาที่จอดอยู่ข้างๆรถฉัน
ชิ๊ ตัวเองก็พูดได้สิเป็นลูกคนรวยนี่...ดีใจเหมือนได้ตุ๊กตาไปได้งั้นเหรอ นี่มันรถราคาเป็นล้านนะ! อีกอย่างไม่ให้ฉันดีใจที่ได้รถแล้วจะให้ฉันดีใจที่ได้เขาเป็นสามีหรือไง!
เหอะ!
ปึก!
ฉันเลิกสนใจพี่ทามที่ขึ้นรถไปแล้ว แล้วหันมาเปิดประตูรถของตัวเอง ขึ้นไปนั่งให้เรียบร้อยก่อนจะปิดประตูรถในเวลาต่อมา จากนั้นก็พนมมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรถก่อนอันดับแรกเพื่อความสิริมงคลก่อนจะสตาร์ทรถตามด้วยคาดเข็มขัดนิรภัยในเวลาต่อมา จากนั้นก็เข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งพุ่งทะยานออกไปจากลานจอดรถทันที จนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัย ฉันก็เข้าไปจอดหน้าตึกคณะแพทยศาสตร์ของตัวเองอย่างปลอดภัย...
@มหาวิทยาลัย
“เฮ้อ~ ขับรถวันแรก...แกขับได้ตีนผีมากพิ้งค์ แต่ไม่เป็นไรขับเร็วก็ถึงเร็วแบบนี้แหละ”
หลังจากที่จอดรถเสร็จแล้วฉันก็นั่งนิ่งคิดเรื่องการขับรถของตัวเองอยู่สักพักเพราะเมื่อกี้ฉันขับได้น่าไปสน.มาก แต่พอคิดได้ว่าขับเร็วก็ถึงเร็วฉันก็ฉีกยิ้มทันที เพราะขับเร็วก็ถึงเร็วจริงนั้นแหละถึงแม้จะโดนชาวบ้านชาวช่องบีบแตรไล่ด่าทอจนสนั่นทั่วถนนก็ตาม
ก๊อก! ก๊อก!
ขวับ!
“พี่ทาม?”
!!!
“พี่ทาม!” เชี้ย~ อุ้ยตายคำหยาบ ฉันตีปากตัวเองทันทีที่หลุดคำหยาบออกไปอย่างอัตโนมัติเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ฉันขับรถตามหลังรถของพี่ทามอยู่ แต่อยู่ ๆ ฉันก็มาถึงมหาวิทยาลัยก่อนพี่ทามสะอีกไม่รู้ว่าแซงพี่ทามไปตอนไหน
แล้วคือสภาพการขับรถของฉันเมื่อกี้คือ...
ตายแล้วฉันตายแน่ ๆ “ตายแน่ยัยพิ้งค์โดนพี่ทามดุแน่แก หน้าขมึงทึงมาด้วย”
ปึก!
ฉันค่อยๆลงจากรถด้วยสีหน้าที่หดลงเหลือนิดเดียวแบบไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นัก เพราะตอนนี้พี่ทามเขายืนจ้องหน้าฉันตานิ่งเลยแถมยังเท้าเอวอีก เขาต้องโกรธฉันแน่ ๆ ที่ขับรถเร็วชนิดฟาสแปดขนาดนั้น
“พี่ทาม~ คือพิ้งค์...” ฉันเรียกชื่อพี่ทามเสียงอ่อยพลางทำหน้าจ่อยเหมือนน้องหมาง่องแง่งเบาๆ
“แซงซ้ายแซงขวาแบบนั้นคิดว่าตัวเองอยู่ในสนามแข่งรถหรือไง” นั้นไง ฉันว่าแล้วว่าต้องโดนดุแน่นอน คือฉันแค่ดีใจที่ได้ขับรถก็เลยลืมตัวเหยียบคันเร่งลึกไปหน่อย ทำไงดีจะเถียงกลับก็ไม่ได้เพราะหลักฐานมันคาตา งั้นยอมรับไปเถอะ
“พิ้งค์ลืมตัวอะ แต่พิ้งค์สัญญานะต่อไปนี้จะขับช้า ๆ แบบเต่าล้านปีเลย แฮร่ๆ” พูดจบฉันก็หัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนกลับไป ในขณะที่พี่ทามเอาแต่ยืนจ้องหน้าฉันนิ่งไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ถามว่าอึดอัดไหม อึดอัดมาก
ฉันก็เลยคิดว่า...ฉันไม่ควรอยู่ตรงนี้นานไปมากกว่านี้แล้วแหละ ก็เลยค่อยๆขยับเท้าถอยหลังออกไปที่ละก้าวสองก้าวช้า ๆ ก่อนจะยกมือไหว้พี่ทามแล้วพูดว่า...
“พะพิ้งค์ ๆ...ปะไปก่อนนะคะ บาย” จากนั้นก็...ตึกตึกตึก รีบหมุนตัวชิ่งออกมาเลย วิ่งตุบๆโดยไม่หันหลังไปมองพี่ทามด้านหลังแม้แต่นิดเดียว เพราะกลัวว่าภาพสีหน้าถมึงทึงนั้นจะติดตาเอา ไม่งั้นวันนี้ฉันเรียนไม่เข้าหัวแน่
หลอน!
พอวิ่งมาไกลจนมาถึงในคณะแล้ว ฉันก็หยุดวิ่งแล้วสลับเป็นเดินแทน ก่อนจะรีบเดินเร็วๆอีกครั้งเพื่อไปขึ้นลิฟต์รวมกับคนอื่น ๆ ที่กำลังจะขึ้นไปชั้นบนเหมือนกัน
ติ๊ง.
ตุบ!
“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ” ฉันชนผู้ชายคนหนึ่งหลังจากที่เดินออกมาจากลิฟต์ แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร จนกระทั่งที่เขาหันมาทางฉัน...
โห่... สูง หล่อ ขาว งานดีมาก
“ไม่เป็นไรครับ” พูดจาเพราะอีก ผู้ดีจากไหนเนี่ย
“เอ๋อ...ค่ะ งั้นขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ” ฉันก้มหัวลงเบาๆอย่างเขินๆให้เขาก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น แต่พอเดินออกมาได้ไม่นานฉันก็อยากกระโดดโลดเต้นทันที
เพราะเขา...หล่อมาก!! ตัวก็หอมมากด้วย
อร๊าย! พิ้งค์อยากแจกเบอร์อะ ^^ ฉันเดินพร้อมเอี่ยวตัวหันไปดูเขา บิดตัวด้วยความเขินอายจนกล้ามเนื้อคอหดเกร็งไปหมด แต่สุดท้ายก็ต้องหันกลับมาทางเดิมเมื่อแผ่นหลังกว้างๆนั้นหายไปกับเสาอาคารในที่สุด ฉันถึงได้กลับมาเดินแบบคนปกติทั่วไป
ถ้าฉันเจอเขาอีกนะ บอกเลยมีแจกเบอร์สามตัวหลังแน่! ฮึ่ย! มันเขี้ยวผู้ชายหล่อ!
ห้องเรียน 208
หาเจอสักที... หลังจากที่เดินหาห้องเรียนอยู่สักพักฉันก็เจอห้องเรียนของตัวเองสักที หาจนเกือบจะท้อแล้วกลับไปนอนแล้วนะ แต่นึกถึงความยากลำบากที่กว่าจะสอบเข้ามาได้ก็เลยพยายามต่อจนเจอ
ฟุบ! ฉันนั่งลงที่โต๊ะแถวกลางของห้องหลังจากที่เดินเข้ามาข้างใน
...แต่นั่งได้ไม่ถึงห้านาทีจู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งน่าตาสะสวยใช้ได้เลย จนฉันยังคิดเลยว่าผู้หญิงอะไรใช้ความสวยเปลืองมาก อ้อลืมบอกเธอมายืนค้ำหัวจ้องฉันเบาๆก่อนจะขยับปากสวยๆนั้นพูดกับฉัน
“เธอนั่งที่ของฉัน” ฉันก้มลงมองที่เก้าอี้ของตัวเองทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเธอนิดๆด้วยความสงสัยว่า...โต๊ะมีตั้งหลายตัวจำเป็นไหมที่ต้องมานั่งโต๊ะนี้โต๊ะเดียว ทำเป็นเด็กมอปลายที่ชอบจองโต๊ะในห้องเรียนไปได้ แต่ด้วยความที่ไม่อยากมีปัญหากันฉันเลยยอมขอโทษเธอไป
“อ้อ โทษที” ฉันขยับไปนั่งที่โต๊ะอีกตัวที่อยู่ข้างๆแทนพร้อมกับฉีกยิ้มเป็นมิตรให้เธอ ยอมเพราะเห็นว่าสวยกว่าหรอกนะถ้าสวยเท่ากันฉันกระโดดถีบไปแล้ว
หมั่นไส้!
“เธอชื่ออะไรอะ”
“เราเหรอ...” ฉันชี้มาที่ตัวเองแบบงงๆหลังจากที่ถูกถามชื่อ
“อื้ม เธอนั้นแหละถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใคร ในห้องนี้มีเธอกับเราสองคนที่นั่งอยู่” พอผู้หญิงหน้าสวยคนนี้พูด ฉันก็ปรายตามองไปรอบ ๆ ห้องทันทีก่อนจะเจอกับ...
“...”
“...” เอ๋อ..ความว่างเปล่าและเงียบสนิทชนิดที่ท้องร้องยังได้ยิน อะไรคือการเรียนวันแรกแต่ยังไม่มีใครมา มีแค่ฉันกับยัยหน้าสวยคนนี้สองคนที่นั่งเอ๋ออยู่เหรอ
แต่ช่างมันเถอะมาทำความรู้จักกับคุณคนสวยกว่าข้างๆฉันดีกว่า
“เอ่อ...เราชื่อน้ำพิ้งค์อะ แล้วเธออะ”
“เราชื่อสวย” หื้ม...นางชื่อสวยสมหน้าตามาก สวยสมชื่อ! อยากให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนลุกขึ้นมาตบเหรอ ถึงได้ตั้งชื่อไม่ดูคนข้างๆเลย
“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“อื้ม เช่นกัน”
“...”
“...”
ปึก!
ตึก ตึก ตึก
“เฮลโล่วเฟรนส”
หลังจากที่ฉันกับสวยทำความรู้จักกันไปเรียบร้อยแล้ว ฉันกับสวยก็นั่งเงียบกริบไม่มีใครพูดต่อหลังจากนั้น แต่ไม่นานประตูที่ถูกปิดอยู่ก็ถูกผลักออกโดยใครบางคน
ใครบางคนที่เดินเข้ามาอย่างกับนางงามจักรวาลด้วยหน้าตาและจริตจะก้านที่ไม่ธรรมดา เพราะเธอเดินเหมือนกำลังเดินอยู่บนพรหมแดงแล้วหมุนตัวฟูลเทิร์นจนเกือบหน้าคะมำตรงหน้าฉันกับสวย
ยัยนี้ดูมิสยูนีเวิร์สมากไปปะ หมุนสะฉันเวียนหัวเลย
ฟุบ!
ขวับ!
“ฮาย~มายเฟรนส ว้อช เยอรเน๊ม” เอ่อ...หันขวับมาขนาดนั้นคอเคล็ดยังอะ แต่เอาเถอะคอเคล็ดก็ไปดามเฝือกเอาเองละกันนะ
“เอ่อ...มายเนมอิส วอเตอร์พิ้งค์ แอนท์ ชี เนม บิวตี้ฟูล”
ขวับ!
เอาสิภาษาฝรั่งมาฉันก็ภาษาฝรั่งกลับนั้นแหละ
“โอ้วเยียร์ วอเตอร์พิ้งค์แอนท์บิวตี้ฟูล...ไนททูมิทยูว มายเน๊มอิสชิลลี่ไทยแลนด์ ^^”
ชิลลี่ไทยแลนด์? เดี๋ยวนะชีลลี่ไทยแลนด์นี่ใช่พริกไทยปะ น่าจะใช่แหละ
“อ้อ เยียร์ ไนท์ทูมิทยูทูว”
แล้วฉันก็ยื่นมือไปเช็คแฮนด์กับนางมิสยูนีเวอร์สที่ยื่นมือมาข้างหน้าฉันกับสวยด้วยรอยยิ้มนางสาวไทย
“พวกเธอมาจากจังหวัดอะไรกันเหรอ” คุณชีลลี่ไทยแลนด์ถามฉันกับสวย
“...เรามาจากเชียงใหม่อะ” ฉันตอบกลับไป
“เรามาจากกรุงเทพ” คุณสวยตอบ แต่เดี๋ยวนะมันจะมาจากกรุงเทพได้ไงก็มันอยู่กรุงเทพแล้ว มึงงงอะไรปะเนี่ยสวย
“อ่า~ เรามาจากขอนแก่น”
“นี่ วอเตอร์พิ้งค์”
“เอ่อ...เรียกพิ้งค์เฉยๆก็ได้” ฉันบอกด้วยด้วยสีหน้ายิ้มแห้งๆ
“อ่าๆพิ้งค์...พวกเธอคิดยังไงถึงได้มาเรียนแพทย์อะ เอาเธอก่อนคุณสวย นั่งเงียบเป็นผู้ดีเชียวนะ”
“ที่บ้านเราให้เรียนเพราะจะได้ช่วยดูแลธุรกิจนะ”
“ธุรกิจบ้านเธอป่วยเหรอ...หยอกๆ ^^”
“ไม่ได้ป่วยหรอกพ่อเราแค่อยากให้เรียนแล้วช่วยแบ่งเบางานกับพี่ชายเรา”
“อ้อ...แล้วเธออะพิ้งค์”
“เราคิดว่า...คณะนี้ผู้ชายหล่อดีก็เลยเรียน”
“เห้ย!! จริงดิสุดยอดเลยอะที่โลกเหวี่ยงเราสองคนมาเจอกัน ฮ่าๆ เราก็คิดเหมือนเธอเราถึงได้ลงเรียนคณะนี้”
พริกไทยลุกขึ้นมากอดฉันแล้วเขย่าตัวฉันแรงๆเหมือนมันคลั่งอะไรสักอย่างก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม
เอาละฉันว่า...ฉันได้อะไรเยอะจากการมาเรียนก่อนเวลาในวันนี้แล้วแหละ อย่างเช่นเพื่อนอย่างพริกไทยดูเหมือนมันจะศิลเสมอกับฉันอยู่นะ ส่วนยัยสวยข้างๆฉันนั้น....ปล่อยให้มันนั่งสวยต่อไปเถอะ