บทที่ 1 ‘สามีน้ำพิ้งค์’
[ Nampink Part ]
1 สัปดาห์ต่อมา...
@คอนโดทามไท
“หลายวันก่อนก็ส่งตัวเข้าหอไปแล้วรอบหนึ่ง วันนี้ก็เหมือนส่งอีกรอบ ไม่เป็นไรหรอกเนอะนัน”
“จะเป็นอะไรละ เธอก็พูดจาแปลกๆรัน”
ไม่ต้องสงสัยหรอก ว่าเสียงที่คุยกันนั้นคือเสียงของใคร เป็นเสียงแม่ฉันกับแม่พี่ทามเองแหละ
และใช่ค่ะ ตอนนี้ฉันมาถึงกรุงเทพแล้ว และตอนนี้ก็ยืนอยู่หน้าห้องของพี่ทามแล้วด้วย แล้วที่แม่ฉันกับอารันแม่ของพี่ทามพูดแบบนั้นเมื่อกี้ ก็เพราะว่าหลายวันก่อนมันเป็นวันแต่งงานของฉันกับพี่ทามซึ่งเราก็จัดกันแบบเล็ก ๆ อบอุ่น ๆ มีแค่คนในครอบครัวเท่านั้นที่ไปแสดงความยินดีกับเรา ดูๆก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหมละ
ใช่..วันแต่งนะไม่มี แต่คืนส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าห้องหอกันนะมี ก็หลังจากที่ส่งตัวเข้าห้องหอเสร็จพี่ทามก็หนีกลับมากรุงเทพเลยไง ซึ่งแน่นอนคืนนั้นไม่มีใครรู้นอกจากฉันคนเดียว ส่วนคนอื่น ๆ ก็มารู้ตอนเช้าของอีกวันเพราะพี่ทามไม่ได้อยู่ทานข้าวเช้าด้วยกันไง
ตอนนี้ก็เลยเหมือนเป็นการส่งเข้าห้องหออีกรอบตามที่แม่พี่ทามบอกนั้นแหละ ก็งงเหมือนกันยอมแต่งงานกับฉันแต่ไม่ยอมเข้าห้องหอกับฉัน แล้วจะยอมแต่งทำไม งงไหม?
“เรื่องคืนนั้นช่างมันเถอะหนา เอาเรื่องตอนนี้ดีกว่าเราก็กดอ๊อดตั้งนานแล้วนะรันทำไมเจ้าทามถึงยังไม่มาเปิดประตูอีกละ” แม่ฉันที่รู้สึกว่าตัวเองกดอ๊อดหลายครั้งแล้วแต่เจ้าของห้องก็ยังไม่มาเปิดให้สักทีจึงบ่นกับแม่พี่ทามเบาๆ แต่มันก็จริงอะฉันเองก็ยืนจนตะคริวจะกินขาอยู่แล้วเนี่ยยังไม่เห็นเจ้าของห้องจะมาเปิดประตูสักที
“มาๆ เดี๋ยวฉันกดเอง เฮ้อ ลำบากจริง ๆ รหัสห้องลูกก็ดันลืม” คุณแม่พี่ทามบ่นเบาๆคนเดียวก่อนจะยื่นมือกดอ๊อดแทนแม่ฉัน
ติ๊งน๋อง~ ติ๊งน๋อง~
ติ๊งน๋อง~ ติ๊งน๋อง~
ปึก!
เฮือก!!!
พวกฉันสามคนสะดุ้งเฮือกวิญญาณแทบหลุดจากร่าง เมื่อจู่ ๆ คนด้านในก็กระชากประตูออกอย่างแรงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ที่ทำให้ฉันตกใจจนต้องหันหน้าหนีก็คือ พี่ทามเขามาเปิดประตูทั้ง ๆ ที่ตัวเองเนื้อตัวชุ่มไปด้วยน้ำโดยที่ท่อนล่างมีแค่ผ้าขนหนูพันเอวไว้ผืนเดียว ส่วนท่อนบนคือโล่งเลยค่ะ โชว์ซิกแพคกับผิวขาวๆของเขาเน้นๆไปเลย
“อุ้ยตาย ตาทาม! ทำไมแกไม่ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนมาเปิดประตูละหะ” แม่พี่ทามยกมือทาบอกเมื่อเห็นสภาพที่ลูกชายออกมาเปิดประตูให้แขก
“ก็ผมกำลังอาบน้ำอยู่” เขาตอบแม่ตัวเองเสียงเรียบแต่สายตากลับจ้องมาที่ฉัน แล้วคือมองมาที่ฉันทำไมเล่า ฉันไม่ได้เป็นคนกดกริ่งถี่ ๆ นั้นสักหน่อย
“อานันสวัสดีครับ”
“หวัดดีจ้า บอกให้เรียกแม่ได้แล้ว เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วเรียกอาอยู่นั้นแหละ ไปๆแม่ว่าเข้าข้างในกันดีกว่า” แม่ฉันตอบพี่ทามอย่างยิ้มๆ ก่อนจะชวนทุกคนเข้าไปข้างใน ซึ่งฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากลากกระเป๋าตัวเองเดินตามหลังแม่เข้าไป
ซึ่งพอเข้ามาในห้องแล้วฉันแบบอ้าปากค้างเลยอะ ห้องหรูหรามากแต่งสไตล์โมเดิร์นแบบผู้ชายสายเนียบแต่แอบเย็นชาน่าค้นหาอะ เออ แบบผู้ชายเย็นชาแบด ๆ แต่มีความเรียบร้อยผสมกันตามสไตล์เขานั้นแหละ
อย่างนี้แหละเนอะคนรวย มีคอนโดหรูหราหมาเห่ามาก เพอร์เฟคไปทุกอย่าง
อ้อ...ฉันยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่าพี่ทามนะเป็นลูกเจ้าของไร่องุ่นหลายพันไร่เลยนะแถมยังมีธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมายด้วย เป็นไงละรวยเว่อร์ แถมพ่อของพี่ทามยังเป็นคนมีอิทธิพลที่คนในแถบนั้นเคารพนับถือมากอีกด้วย ไงละสามีน้ำพิ้งค์ดีกรีไม่ธรรมดาใช่ไหมละ
คริคริ แอบภูมิใจเบาๆ ^^
“เรามันแสบมากเลยนะทามที่คืนนั้นหนีกลับมากรุงเทพก่อน แม่หยิกสักทีดีไหม” อารันต่อว่าตาเขียวพร้อมทำท่าจะเข้าไปหยิกแขนพี่ทามจริง ๆ
“ผมมีธุระที่มหาวิทยาลัยตอนเช้าเลยต้องรีบกลับมาก่อนนะครับ”
ทุกคนเชื่อที่พี่ทามพูดไหม ถ้าทุกคนเชื่อฉันจะบอกเลยว่า ทุกคนโดนหลอก เพราะตอนนี้พี่ทามกำลังโกหกอยู่ ใช่แล้วแหละ เห็นหน้านิ่งๆแบบนั้นแต่ความร้ายกาจชนิดลิมิเตดอิดิชั่นเลยนะ ก็เขานะแค่ไม่อยากเข้าห้องหอกับฉันแค่นั้นแหละ ทำเป็นยกเรื่องมหาลัยมาอ้างให้ดูดี
“เอาหนารัน ช่างเรื่องนั้นไปเถอะเรื่องมันผ่านไปแล้ว อีกอย่างทามเขาอาจจะมีเหตุผลจำเป็นที่ต้องกลับมากรุงเทพกะทันหันจริง ๆ ก็ได้ เธออย่าไปดุลูกเลย”
แม่ฉันก็คือแม่ฉัน แม่ฉันที่แปลว่าเข้าข้างพี่ทามมาโดยตลอดเสมือนเป็นลูกในไส้ของตัวเอง เฮ้อ~ ฉันละเบื่อจริง ๆ เลยทีกับฉันไม่เห็นจะเข้าข้างอะไรแบบนี้บ้างเลยเหอะ
เช๊อะ!
“อะ แม่ก็ไม่มีอะไรจะพูดมากหรอกเพราะบอกในคืนส่งตัวเข้าหอไปหมดแล้ว แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วมาส่งตัวน้ำพิ้งค์ให้กับทามอีกครั้งแม่ก็ขอให้ทามเอ็นดูน้องมาก ๆ นะลูก น้องมันยังเด็กอาจจะยังดื้อบ้างซนบ้างตามประสา ที่สำคัญถ้าทะเลาะกันก็รีบปรับความเข้าใจกันนะจะได้อยู่อย่างมีความสุขนะลูกนะ” ขนาดไม่มีอะไรจะพูดนะ แต่ยาวมาก
“ส่วนของแม่...” อันนี้อารันแม่พี่ทามกำลังจะพูด “แม่ขออย่างเดียวจากทามอย่าแกล้งน้องเด็ดขาด ส่วนหนูพิ้งค์ถ้าโดนพี่เขาแกล้งโทรมาบอกแม่ได้เลยเพราะแม่จะจัดการเอง”
อารันพูดด้วยสีหน้าขึงขังจริงจังมาก ในขณะที่พี่ทามมองหน้าแม่ตัวเองนิ่งๆเหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับน้ำเสียงสีหน้าและประโยคเอาจริงเอาจังของแม่ตัวเองเลยสักนิด เย็นชาจริง ๆ
“โอเค เอาละแม่กับอารันกลับก่อนละกัน เพราะแม่ๆจะแวะไปหาเพื่อนเก่าสักหน่อย”
แม่หันมายิ้มให้ฉันและพี่ทามก่อนจะควงแขนอารันหันหลังเดินไปที่ประตูอย่างเร่งรีบ โดยที่ฉันได้แต่ยืนทำอะไรไม่ถูกที่กำลังจะถูกทิ้งให้อยู่กับพี่ทามตามลำพัง
“เอ้าแม่! ไหนว่าจะกลับเย็นๆไง โกหกกันนี่!” ฉันตะโกนไล่หลังแม่ที่กำลังจะถึงประตู
"แม่รีบ เพื่อนรอเจอแม่อยู่ ไปแล้วนะ"
แล้วแม่ฉันก็ควงแขนแม่พี่ทามเดินออกไปข้างนอกอย่างเร็วแสง ทำให้ในห้องตอนนี้เหลือแค่ฉันกับพี่ทามสองคน ซึ่งพี่ทามก็ยังอยู่กับผ้าขนหนูผืนเดียวเหมือนเดิม
เอาไงดีอะ ฉันควรจะเริ่มพูดกับสามมีตัวเองยังไงดี คือเข้าใจฉันไหมว่าตั้งแต่พวกเราโตอะ พวกเราก็ห่างเหินกันมากเลย ไม่ได้มานั่งเล่นด้วยกันเหมือนตอนประถม ใช่ พอขึ้นมัธยมพี่ทามก็ไปเรียนที่อื่น ส่วนฉันก็เรียนที่อื่น เราสองคนเลยห่างเหินกันไปโดยปริยาย พอมาตอนนี้ก็เลยรู้สึกเกร็งๆต่อกัน แต่เอาจริง ๆ น่าจะมีแค่ฉันคนเดียวแหละที่รู้สึกเกร็งอะ เพราะพี่ทามไม่น่าจะเป็นหรอกเย็นชาขนาดนั้น
"เอ๋อ...ห้องพี่ทามอยู่ไหนอะ พิ้งค์จะเอาเสื้อผ้าไปเก็บ" ฉันพูดเสียงแผ่วแทบจะไม่ได้ยินออกไปโดยที่ไม่หันไปทางเจ้าของห้องเลย ก็ฉันกลัวอะ กลัวจะไม่มองหน้าแต่มองอย่างอื่นแทน ก็น่ะเล่นขาวจั๊วะล่อตาขนาดนั้นถ้าหันไปก็ต้องมีโฟกัสผิดจุดบ้างแหละ
"เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย" เสียงนิ่งๆกระด้างหน่อยๆตอบฉันเป็นประโยคสั้นๆแต่กระทัดรัด ฉันก็เลยปรายตามองตามที่เขาบอกก่อนจะเห็นว่าทางซ้ายมือมีซอยให้เข้าไป แต่ขวามือมันก็มีซอยเหมือนกันกันอะ อยากรู้จังว่าเป็นห้องอะไร
"แล้วขวามือห้องอะไรอะ" ฉันถามออกไปอย่างอยากรู้อยากเห็น
"ห้องออกกกำลังกายของฉัน"
ห้องออกกำลังกายงั้นเหรอ ฟังดูแปลกๆอยู่นะน้ำเสียงของเขาอะ ไม่ใช่ว่าเปิดออกมาแล้วมีครบทั้งโซ่ แส้ กุญแจมือนะ หรือฉันคิดมากไปเอง
“คิดอะไรอยู่” พี่ทามหรี่ตาถามฉัน
“เอ๋อ..ปะเปล่าค่ะ พิ้งค์เข้าไปใช้ห้องนั้นด้วยได้ใช่ไหมคะ”
ฉันหันไปถามเขาอีกครั้ง แต่ตอนหันไปมองเขาสายตาฉันดันไปโฟกัสตรงกล้ามหน้าท้องเป็นลอนสวยชัดเจนน่าสัมผัสนั้นพอดี
OMG คนอะไรทำไมถึงได้เพอร์เฟคขนาดนี้นะ แล้วที่สำคัญคือสมองฉันดันคิดอกุศลเห็นภาพเขาถือแส้ด้วยสีหน้าเร่าร้อนพอดีนี่สิ
โอ้ย ฉันจะบ้าตายทำไมถึงได้เป็นคนใจบาปแบบนี้นะ ไปเลยนะออกไปเลยนะ ฉันรีบสะบัดหัวทิ้งความคิดพวกนั้นทิ้งไปให้หมด ก่อนจะหันไปทางพี่ทามอีกครั้ง แต่...
0_0
โอ้..จอร์จ!
อยู่ ๆ ฉันก็ต้องรีบเบือนหน้าหนีหันไปทางอื่นอีกครั้ง เมื่อสายตาไม่รักดีของฉันดันเลื่อนต่ำลงไปมองข้างล่างในผ้าขนหนูนั้นแทน ตายๆ ฉันต้องตายแน่ ๆ ทำไมถึงรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแบบนี้นะ มันรู้สึกวูบวาบหวิวๆที่ท้องน้อยไปหมดเลยอะ บ้าจริงนี่ฉันกำลังคิดเรื่องทะลึ่งอะไรอีกเนี่ย
"เป็นเด็กเป็นเล็กหัดมาจ้องร่างกายผู้ชายแบบนี้ได้ไงวะ"
ขวับ!!
"บ้า! ใครจ้องไม่มี๊ พิ้งค์ไม่ได้จ้องสักหน่อย" ฉันหันขวับรีบปฏิเสธพี่ทามเสียงสูงทันทีที่เขากล่าวหาฉัน ฉ...ฉันไม่ได้ตั้งใจมองนะสายตามันไปโฟกัสเองอะ
โอ้ยแล้วทำไมฉันต้องเลิ่กลั่กด้วยเนี่ย แล้วไอ้อากาศบ้านี้อยู่ ๆทำไมมันถึงได้ร้อนอบอ้าวอย่างนี้นะ
ฉันยกมือขึ้นมาพัดหน้าตัวเองเบาๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหันไปทางพี่ทามแล้วพบว่าเขากำลังจ้องฉันไม่วางตาเลย
อะไรเนี่ยจะมาจับผิดอะไรฉันนักหนาละ แค่บังเอิญหันไปมองเฉยๆไม่ได้เข้าไปจับสักหน่อย
ฉันจะบอกให้นะเผื่อลืม...ฉันกำลังจะเป็นว่าที่หมอในอนาคตนะ พอฉันได้เรียนสรีรวิทยาฉันก็ต้องได้เห็นมันอยู่ดีนั้นแหละ ตอนนี้ก็..ขอมองล่วงหน้าก่อนนิดๆหน่อยๆไม่ได้หรือไง
“อีกหน่อยพิ้งค์ก็ได้เห็นอยู่ดีนั้นแหละ พี่อย่ามาหวงของหน่อยเลย”
“เธอว่าไงนะ?”
“เอ๋อ...”
บ้าจริง นี่แหนะนังปากไม่รักดีพูดอะไรของฉันเนี่ย ตายๆ แล้วดูหน้าพี่ทามจ้องฉันตอนนี้สิอย่างกับอสูรร้ายอะ คือฉันไม่ได้หมายถึงเรื่อง18 ไง แต่หมายถึงเรื่องเรียนวิชาสรีรวิทยาต่างหาก
“พะ...พิ้งค์หมายถึงเรียนวิชาสรีรวิทยาค่ะ”
“หึ แก่แดดไม่เบาเลยนะเธอนะ”
เฮ้ย! มันไม่ใช่แบบนั้นนะ ฉันหมายถึงเรื่องเรียน ไอ้พี่ทาม! ฉันรีบลากกระเป๋าแล้วเดินตามพี่ทามที่เดินไปทางห้องนอนทันที เพื่ออธิบายสิ่งที่เขาว่าฉันเมื่อกี้ คือฉันไม่ได้แก่แดดนะเพราะอีกหน่อยฉันต้องเรียนวิชานั้นจริง ๆ นี่
“พี่ทาม พี่ทาม พี่ทาม!”
กึก!
โป๊ก!
โอ้ย! คนบ้านี่คิดจะหยุดก็หยุดกันดื้อๆแบบนี้เลยเหรอ แล้วนี่มันแผ่นหลังหรือผนังปูนกันแน่ทำไมมันแข็งอย่างนี้!
“จะเสียงดังทำไมอยู่กันแค่นี้”
“ก็พี่ไม่ได้ยินเองพิ้งค์ก็นึกว่าหูตึง”
“เธอนี่มัน”
เขาถลึงตาดุใส่ฉันทันทีที่ฉันว่าเขาหูตึง ฉันจึงยิ้มแห้งๆกลบเกลื่อนกลับไปแทน ตามด้วยรูดซิปปากตัวเองอย่างไม่ต้องสั่ง ฉันไม่กล้าลองดีด้วยหรอกเพราะเดี๋ยวฉันจะลำบากเอาถ้าท้าทายพี่ทาม
“นั้นตู้เสื้อผ้าของเธอไปเก็บของไว้ในนั้น”
ฉันมองตามที่พี่ทามชี้นิ้วไปที่ตู้เสื้อผ้าด้านหลังเขาก่อนจะสังเกตเห็นว่าห้องนี้เป็นห้องแต่งตัวขนาดใหญ่มีตู้เรียงกันเป็นตัวยู ส่วนตรงกลางก็เป็นตู้กระจกใส่เครื่องประดับพวกแอกเซสเซอร์รี่ต่าง ๆมากมาย ห้องนี้ก็คุมโทนเหมือนเดิมแอบหรูหราไม่เบาเหมือนกัน
เอาจริง ๆ เขาน่าจะเรียนบริหารมากกว่าวิศวะนะเพราะลุคออกจะซีอีโอสายเนียบขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละคนเย็นชาสุขุมแบบนี้มีอะไรลึกลับเยอะแยะจะตาย ไอ้ประโยคที่ว่าตัวจริงไม่ตรงปกก็คือใช้กับพี่ทามได้อยู่
“ค่ะ” ฉันตอบกลับสั้นๆแล้วลากกระเป๋าไปที่ตู้ที่พี่ทามบอกทันทีก่อนจะเปิดกระเป๋าจัดการเก็บของเข้าตู้
“พรุ่งนี้พิ้งค์มีเรียนเช้า แต่พิ้งค์ขึ้นรถเมย์ไม่เป็น...” ในขณะที่มือกำลังสาละวนกับการเก็บของมากมายในกระเป๋าฉันก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องการเดินทางไปเรียนวันแรกในวันพรุ่งนี้ก็เลยบอกพี่ทามไป
“รถมีสองคัน”
“แต่พิ้งค์ไม่ชินกับเส้นทาง”
“โหลดแอพมาเก็บไว้ในมือถือ”
หึ เข้าทางฉันเลยให้รถฉันใช้แบบนี้สิดี ฉันจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระหน่อย นึกว่าจะได้คนขับรถไปส่งไปรับเช้าบ่ายแล้วสะอีก
“แต่ต้องกลับห้องไม่เกินสองทุ่ม”
เพล้ง!! พังในพริบตา หมดกันความใฝ่ฝันของฉันที่จะได้ลองกลับห้องหลังสองทุ่ม เอาจริง ๆ ฉันก็โตแล้วไหม ไม่เห็นต้องวางกรอบให้ฉันเลย เซ็ง!!
“อย่าคิดว่าฉันให้ใช้รถแล้วจะมีอิสระ และอย่าคิดมาสร้างปัญหาให้ฉันปวดหัว ไม่งั้นฉันเอาเธอตายแน่”
อยู่ ๆ พี่ทามก็เดินมาหาฉันแล้วโน้มใบหน้าลงมาใกล้หน้าฉันแบบที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว หนำซ้ำปลายจมูกของเขายังเฉียดกับแก้มของฉันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆที่รดแก้มฉันตอนนี้อีกด้วย ทำเอาหัวใจดวงน้อย ๆ ของฉันเต้นไม่เป็นส่ำเลย
“…”
“…”
พี่ทามสบตากับฉันนานนับนาทีโดยที่ไม่พูดอะไรออกมา เช่นเดียวกับฉันที่ไม่กล้าพูดอะไรออกไปเหมือนกันนอกจากยืนแข็งทื่อให้พี่ทามจ้องตาเล่นอย่างเดียว แต่ไม่นานพี่ทามก็ถอยออกไปแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำในที่สุด ฉันที่เห็นว่าคนตัวสูงไปแล้วก็เลยระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกกับการกระทำของเขาเมื่อกี้
“เฮ้อ~ เกือบไปแล้วพิ้งค์”