EP : 8 : ฝันไปเถอะเมฆษ
“...พี่เมฆ”
“...”
“พี่เมฆ...พี่เมฆ!” ความจริงฉันเรียกเขาหลายรอบแล้วนะแต่ดูท่าทางคุณเมฆาจะหลับสนิทเลยไม่ขยับตัวแม้แต่น้อยสุดท้ายเลยต้องเรียกเสียงดัง
“อื้อ~”
“ตื่น!”
“...อืม~ มีอะไรน้ำผิง” เขาปรือตามองก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียฉันเลยวางถุงของกินมากมายลงที่โต๊ะตรงหน้าด้วยอาการกระแทกกระทั้น
“ลุกขึ้นมากินข้าว”
“...อืม~ ป้าเล็กฝากมาให้เหรอ” เขาบิดขี้เกียจลุกขึ้นนั่งช้า ๆ แล้วเอยถามฉัน
“เหอะ!” ฉันแค่นเสียงพร้อมกับกรอกตามองบนทันทีจากนั้นก็นั่งลงที่โซฟาอีกตัวแต่นั่งไม่ถนัดเพราะมันค่อยข้างไกลจากโต๊ะกลางเลยขยับลงไปนั่งที่พื้นแล้วจัดการเอาอาหารออกจากถุงพร้อมกับเปิดกล่องอาหารที่ซื้อมาหลายกล่อง
“น้องผิงทำอะไร?”
“จะกินข้าวไง ไปล้างหน้าไปพี่เมฆ นั่งทำหน้าง่วงอยู่ได้” ฉันบ่นใส่แต่เขาก็เอาแต่นั่งทำหน้างงแล้วมองฉันไม่ยอมขยับ
“อะไร? ไปสิคะ ไปล้างหน้า”
“...โอเค” เขารับคำค่อนข้างช้าก่อนจะยอมลุกแล้วเดินไปทางห้องน้ำ
นึกว่าแกล้งหลับไม่คิดว่าจะหลับจริง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหนื่อยอะไรขนาดนั้น คงงานหนักมากมั้งคะ
“ป้าเล็กซื้อมาเหรอ” เขาหายไปพักหนึ่งก็เดินออกมา หน้าเน่อเปียกเชียว
“ทำไมพี่เมฆไม่เช็ดหน้า?”
“เช็ดหน้า? อ่อ โทษทีครับพี่ลืม” เขาบอกแล้วก็หันรีหันขวางมองหาทิชชู่
“อยู่บนโต๊ะผิง” ฉันบอกด้วยความรำคาญ จำได้ว่าบนโต๊ะเขาไม่มีทิชชู่วางไว้ พอบอกเขาก็เดินไปหยิบมาเช็ดทันทีก่อนจะเดินกลับมาแล้วนั่งลงที่พื้นเหมือนฉันที่กำลังนั่งดูดโกโก้อยู่
“ตกลงป้าเล็กซื้อมาเหรอ? พี่บอกว่าให้ซื้อแค่ข้าวกล่องเดียวทำไมวันนี้ป้าแกซื้อมาเยอะ”
“ผิงซื้อเอง”
“น้องผิงซื้อ?” เขาทวนคำตอบของฉัน ทำหน้าฉงนที่มองแล้วรำคาญตามาก
“ค่ะ เลิกถามสักทีได้ไหม กินข้าวได้แล้วผิงหิว” ฉันตัดบทแล้วหยิบช้อนตักอาหารกิน ตอนแรกสั่งเป็นราดข้าวแต่เปลี่ยนให้เขาทำเป็นกับข้าวมาให้แทน ฉันเริ่มกินได้สองสามคำแต่นั่งใกล้กันแค่นี้ถึงไม่มองตรง ๆ ก็รู้ว่าพี่เมฆของคุณแม่ยังไม่ได้กินข้าวสักคำเพราะเอาแต่มองฉัน
“อะไรอีกคะ?” ไม่ไหว กินข้าวไม่อร่อยนะถ้ามีคนมานั่งจ้อง
“...ซื้อข้าวมาให้พี่เหรอ”
“ไม่อ่ะ ผิงซื้อของผิงแต่เห็นป้าแม่บ้านเขากำลังซื้อให้พี่เมฆผิงเลยอาสาเอาขึ้นมาให้ป้าเขาจะได้ไปพักผ่อน จบยัง?” ฉันตอบ พอได้คำตอบเขาก็มองอาหารก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ แล้วหยิบช้อนมาตักข้าวกินเงียบ ๆ
ยิ้มอะไร? ประสาท
ฉันเลิกสนใจเขาแล้วลงมือกินต่อบ้างเพราะหิวมาก อาหารที่นี่อร่อยด้วยสิถึงจะเป็นอาหารง่าย ๆ ก็ตาม
“ขอบคุณนะครับ” กินได้ไม่กี่คำเขาก็เอ่ยคำนี้ออกมาฉันเลยมองไปที่เขาแล้วขมวดคิ้ว
“แค่ถือข้าวมาให้ขอบคุณทำไม” ฉันบอกแล้วก็แอบเบ้ปากใส่เขาที่กำลังยิ้มบาง ๆ นิดหน่อยพอเห็นหน้าตาท่าทางของฉันเขาก็ยิ้มขำเบา ๆ
“หึ ๆๆ ป้าแก้วไม่กล้าซื้อนอกเหนือคำสั่งหรอกน้องผิง” คำพูดของเขาทำช้อนฉันชะงัก พอมองเขาอีกครั้งคุณเมฆาของทุกคนที่นี่ก็เอาแต่มองฉันแล้วอมยิ้ม
“...วันนี้ป้าแก้วอาจจะอยากซื้อนอกเหนือคำสั่งก็ได้จะไปรู้เหรอ กิน ๆ เข้าไปเถอะพี่เมฆ” ฉันตัดบทแต่เขาก็ยังมองแล้วยิ้มต่อ ฉันรำคาญรอยยิ้มพี่เมฆของคุณแม่มากเลยแกล้งด้วยการตักอาหารให้เขาซะ!
“ตักหมูกรอบให้พี่เยอะไม่กลัวตัวเองไม่อิ่มรึไงเรา”
“ยุ่ง!”
“หึ ๆๆ พี่ไม่กินหมูกรอบน้องผิงก็รู้”
“...กิน ๆ เข้าไปเถอะค่ะ”
“ไม่อยากแย่งน้อง”
“...”
“เอาคืนไหม?”
“ไม่ กิน ๆ ไปเลย พูดมาก” ฉันว่าเขาเบา ๆ แล้วก็กินต่อแบบไม่สนใจเขาอีกเลยถึงแม้จะรู้ว่าพี่เมฆของคุณแม่มองฉันบ่อย ๆ ก็ตาม
...น่ารำคาญเป็นบ้า รู้แบบนี้ไม่ซื้อข้าวขึ้นมาให้ก็ดี
-เวลาต่อมา-
“อารมณ์ดีจังเลยนะครับนาย”
“ปกติ”
“หึ ๆๆ ใช่เหรอครับ ตอนกลับเข้าบริษัทผมยังเห็นนายล้า ๆ อยู่เลย ไม่ใช่ว่าข้าวกลางวันอร่อยเลยอารมณ์ดีเหรอครับ”
“เรื่องของกู” ผมตอบแต่ก็ยิ้มมุมปากไปด้วยคนสนิทอย่างนธีเลยยิ่งยิ้มไปกันใหญ่ แต่ผมกับมันไม่ได้คุยอะไรกันต่อเพราะลิฟท์เปิดออกพอดี
“คุยงานเสร็จนายจะดื่มต่อไหมครับ”
“คงไม่” ...ถ้าเลี่ยงได้
“รีบกลับไปเฝ้าหลังคาบ้านนายใหญ่เหรอครับ”
“รู้ดีขนาดนี้อยากไปนั่งเฝ้าให้กูทั้งวันไหมไอ้ธี?”
“ฮ่า ๆๆ ผมล้อเล่นน่านาย” ไอ้นธียิ้มเจื่อนเพราะรู้ว่าหน้าที่ที่ผมถามคืออะไร
“ถ้างั้นก็เลิกปากดีกับกูแล้วเก็บปากไว้ต่อล้อต่อเถียงกับคนอื่นไม่งั้นกูเปลี่ยนหน้าที่มึง” ผมขู่ก่อนจะเดินไปที่รถเพราะวันนี้มีนัดกินข้าวแล้วก็คุยงานกับลูกค้า ความจริงก็ไม่เชิงเป็นการคุยงานหรอกครับเพราะผมได้ข่าวว่าคุณสุรชาติจะพาลูกสาวคนโตมาด้วย ผมว่าน่าจะเป็นการแนะนำลูกสาวให้รู้จักกับผมมากกว่า
หึ ๆๆ นึกแล้วก็ขำ ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่เข้ามาช่วยงานป๊าคนอย่าง เมฆา ศิริชญานันท์ มีนักธุรกิจ นักการเมืองคนใหญ่คนโตจากหลายแวดวงต้องการให้ทำความรู้จักกับลูกสาวของตัวเองเยอะแยะมากมาย มีผู้หญิงสนใจพยายามเข้าหาจนนับไม่ถ้วนแต่ผมกลับไม่เคยสนใจใคร สนใจแค่คนเดียวแต่ก็เป็นคนที่ไม่เคยคิดอยากจะเข้าหาผมเลย มีแต่จะหนีห่างด้วยความรังเกียจด้วยซ้ำ แต่เขาจะหนีห่างก็ไม่แปลกในเมื่อเขา...รู้จักกำพืชของผมดี
...กำพืชที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาเลย
-สองวันต่อมา-
“พี่เมฆ” ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตั้งแต่เช้าจนตอนนี้อีกแค่ 15 นาทีก็จะถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันอ้าปากคุยกับสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งชีวิตในห้องนี้ที่ตั้งแต่มาถึงก็เอาแต่นั่งหน้าเครียดดูหน้าจออคอมสลับกับจอแท็บเล็ตไปมา เพิ่งรู้ว่าเขางานยุ่งมากก็ตอนมานั่งทำงานในห้องด้วยนี่ล่ะค่ะ
“ครับ” เขาละสายตาเคร่งเครียดจากจอแท็บเล็ตมองมาที่ฉันพร้อมกับขานรับ
“...ผิงอ่านเอกสารตรงนี้แล้วไม่เข้าใจ” ฉันนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยออกไป เอกสารที่พยายามอ่านอย่างตั้งใจตลอดทั้งอาทิตย์แรกที่มาฝึกงานแต่ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากอ่านเอกสารแฟ้มนี้ ตอนนี้อ่านได้เกินครึ่งแล้วแต่เอกสารหน้านี้ทำฉันสะดุดมาเกินหนึ่งชั่วโมง พยายามอ่านพยายามทำความเข้าใจจนกระทั่งลองเขียนแยกเป็นจุด ๆ แล้วทำความเข้าใจใหม่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีสุดท้ายเลยต้องลดฟอร์มลงแล้วถามเขานี่ไง พอเอ่ยปากถามเขาก็ยกคิ้วขึ้นแล้วขยับตัวลุกเดินมาหาฉันทันที
“ไหนครับ”
“กวนพี่เมฆรึเปล่า ทำงานเสร็จก่อนก็ได้นะ” ฉันแอบมีมารยาทเพราะยังไงงานที่เขากำลังทำมันก็คืองานของบริษัทคุณพ่อ ถึงแม้ว่าเขาจะทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองด้วยก็ตามเถอะ
“ไม่เป็นไร” เขาส่ายหน้าเบา ๆ แล้วเดินมาหยุดข้างเก้าอี้ก่อนจะจับแฟ้มแล้วขยับเปลี่ยนองศานิดหน่อยเพื่อให้ตัวเองอ่านได้ถนัด เขามองดูแป๊บเดียวก็ก้มตัวลงมานิดหน่อยแต่เป็นนิดหน่อยที่ทำให้ฉันได้กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ จากตัวเขา
“ไม่เข้าใจตรงนี้ใช่ไหม” เขาเริ่มอธิบายในทันที ดูเอกสารไม่ถึง 10 วินาทีด้วยซ้ำก็ถามแล้วเริ่มอธิบายเลย
“เข้าใจรึยัง” เขาอธิบายให้ฉันฟังเป็นการอธิบายที่สั้น กระชับ แต่เข้าใจได้ง่ายมาก ๆ พออธิบายเสร็จก็ถามออกมาฉันเลยพยักหน้าแล้วหันหน้าไปหาเขา
“อื้ม ผิงเข้าใจ... / ...”
ฉันเผลอหันไปทั้งที่น่าจะรู้ว่าหน้าเขาที่ก้มลงมาอธิบายมันอยู่ในระดับเดียวกันกับฉันตั้งนานแล้ว แถมที่สำคัญหน้าพี่เมฆของคุณแม่ก็ยังห่างจากฉันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ...
บ้าที่สุดเลย ฉันเกลียดการที่ฉันต้องอยู่ใกล้กับผู้ชายคนนี้มาแต่ไหนแต่ไร ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องงานฉันไม่มีทางยอมให้เขามายืนใกล้ ๆ แบบนี้แน่
“...ขยับออกไป” ฉันบอกเบา ๆ เพราะพี่เมฆของคุณแม่ยังอยู่ที่เดิมแล้วก็มองฉันไม่ละสายตา แต่พอฉันอ้าปากถามสายตาเขากลับมองต่ำลงไปและฉันมั่นใจว่าสิ่งที่เขามองคือริมฝีปากของฉัน
“...เข้าใจแล้วเหรอ” เสียงทุ้มแต่แผ่วเบาผิดปกติทำให้ฉันใจเต้นผิดจังหวะแล้วชั่วขณะนั้นภาพเหตุการณ์ที่ฉันไม่อยากจดจำก็โผล่มา
ผลัก!
“เข้าใจแล้ว ไปทำงานต่อเลย” ฉันดันไหล่เขาให้ขยับออกห่างแล้วบอกจากนั้นก็หันหน้ากลับแต่ฉันเห็นนะ เห็นเขายิ้มมุมปาก
...รอยยิ้มของคนเจ้าเล่ห์ชัด ๆ
“น้องผิงมีตรงไหนไม่เข้าใจอีกก็ถามพี่นะ” เขาบอกก่อนจะเดินไปโดยที่ฉันไม่ได้พูดอะไร
เหอะ! ไม่ถามหรอกไอ้เจ้าชู้!
...อย่าคิดว่าจะได้เข้ามาใกล้แล้วทำท่าทางเจ้าชู้เหมือนที่เคยทำกับผู้หญิงคนอื่นแบบที่ทำเมื่อกี้อีก ฝันไปเถอะเมฆา!