1 ความคิดถึงที่ไม่เลือนหาย(2)
“ข้าจะทำให้เจ้าร่าเริงขึ้นเอง” เจ้าชายคว้าข้อมือเจ้าหญิงก่อนดึงให้เดินราวกับลอยตามร่างสูงสง่างามไป ความมืดอ่อนโยนเริ่มโอบกอดท้องฟ้าเหนือพระราชวัง คลุมกรงนกหลากสีไว้ในเงางดงามและน่าหลงใหล ไฟถูกจุดขึ้นในกรงนกว่างเปล่ามากมายใต้กิ่งไม้ ดูสว่างงดงามราวโคมไฟมากมาย พลันเสียงพิณโปร่งใสดังขึ้น กล่อมสวนดอกไม้ในแสงแดดสุดท้ายด้วยเพลงอ่อนหวาน
“เต้นรำกับข้าได้ไหม” เจ้าชายเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “งานเต้นรำครั้งที่แล้วถูกพ่อมดแม่มดเผาเสียยับเยิน ข้ายังไม่ทันเต้นรำกับเจ้าด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นคืนนี้ข้าจะกอดเจ้าไว้เอง”
แล้วมืออุ่นของร่างสง่างามเคลื่อนสัมผัสแผ่นหลังของร่างในชุดสีฟ้า รั้งให้ชิดใกล้เข้ามาก่อนจะพาเต้นรำไป ทำนองเพลงร่าเริง ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับความว่างเปล่าในหัวใจ
เหนือขึ้นไป...ชิดใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจคือเจ้าชายที่ทั้งร่าเริงและใจดี เจ้าชายแห่งเทพนิยายต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ไม่มีนิทานเรื่องไหนที่เจ้าหญิงหลงรักพ่อมด เทพนิยายที่ดีต้องจบลงเช่นนี้ใช่ไหม...?
หากแต่ทำไมถึงทำใจไม่ได้ ทรมาน...และคิดถึงใบหน้าราวรูปสลักในแสงจันทร์นั้นอย่างไม่อาจหยุดยั้ง ดวงตาหวานเศร้าเหม่อมองออกไปไกล เลยจากระเบียงวังสูงลิบทะเลกว้างสุดตาเริ่มหลับใหลภายใต้หมอกที่โอบกอดราวผ้าห่มผืนใหญ่ ขุ่นมัวเยือกเย็นทว่าก็งดงามราวกับความฝันที่เลือนรางห่างไกล
“เจ้ามองไปไกลๆ อีกแล้ว” เสียงทุ้มอ่อนโยนทำให้โอเดทหายใจขาดห้วง มืออุ่นของร่างสูงรั้งใบหน้าเธอให้เงยมองเขาใกล้ๆ “โอเดทข้ารักเจ้า เจ้ารู้ใช่ไหม”
เจ้าหญิงนิ่งไป ทั้งที่ควรดีใจกลับเจ็บแปลบจนต้องก้มหน้าและเสมองไปอีกทาง
“ขอบใจนะซิกฟริด” หัวใจที่คิดถึงเฟรเดอริคบีบแรงอย่างทรมาน เธอไม่อาจโอบกอดเทวทูตปีกดำได้อีกแล้ว...เฟรเดอริค ลาเมนเทียจากไปแล้วตลอดกาล
ทว่าเมื่อนั้นเจ้าหญิงสัมผัสถึงมืออุ่นร้อนที่รั้งใบหน้าของเธอขึ้น นิ่งและราวกับตรึงให้ขยับไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ก่อนที่ใบหน้าราวรูปสลักไร้ที่ติจะโน้มลงมา แล้วโดยไม่อาจขัดขืนหรือหนีได้ทันริมฝีปากอุ่นของร่างนั้นก็ทาบทับลงมาบนริมฝีปากของเธอแล้ว
อยากจะขัดขืน...ทว่ามือของร่างสูงยังเหนี่ยวรั้ง...ครอบครองริมฝีปากของเธออย่างแนบแน่นและอ่อนหวาน ราวกับจะฝังคำบอกรักและความเป็นเจ้าของลงลึกสุดในหัวใจ ตอกย้ำว่าเธอเป็นของเขาและจะต้องอยู่เคียงข้างเขา ไม่มีวันยอมให้คิดถึงอดีตที่จบลงและผ่านเลยไปแล้วไกลแสนไกล...
วันเดียวกัน ใต้ท้องฟ้าสีเทาหม่นเช่นเดียวกับที่โอบกอดท้องทะเลแห่งเอเดลริคไว้ เหนือระเบียงสายลมปนหิมะแห่งบาลเธียกลีบกุหลาบที่เคยฟุ้งกระจายหลับใหลเหนือพื้นหินเย็นเยียบ ไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งนี้คือเรื่องจริง โอดิลเอ่ยลาและจากเฟรเดอริคไป ร่างอันดูราวกับรูปสลักเงียบงันของพ่อมดขาวนิ่งมองไปไกลแสน
สุดขอบฟ้าเวิ้งว้างนั้นสายลมพัดเริงร่าทว่าว่างเปล่าและไม่มีใคร...มีมีเพียงลานหิมะเย็นเยียบและเส้นขุ่นมัวของขอบฟ้า แน่นิ่งราวสุสานทว่าก็สง่างาม และบางทีความตายอาจเป็นเช่นนั้นก็ได้...เหมือนกับหัวใจของเขาที่ได้สูญเสียเจ้าหญิงผู้นั้นไป
ดวงไฟแห่งท้องฟ้าเพิ่งตกดิน ความเยือกเย็นคืบคลาน ปกคลุมท้องฟ้าด้วยชุดสีดำราวกับแวมไพร์ที่กระหายความมืดอันไร้กาลเวลา ดวงจันทร์สีหม่นลอยขึ้น ทว่าเฟรเดอริคยังคงยืนนิ่ง ปล่อยแสงเยือกเย็นเงียบงันโอยกอดใบหน้าราวรูปสลักราวกับหลงรักอยู่เช่นนั้นจนมันลอยตกลับขอบฟ้า
ทุกอย่างจบสิ้นแล้วจริงๆ หรือ...? แต่หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดเขาถึงยังไม่ตาย หนำซ้ำกลายเป็นพ่อมดขาวที่ทรงพลังเวทย์สูงสุดราวกับถูกกำหนดไว้...
แล้วดวงตาสีม่วงที่หม่นหมองด้วยความคิดมากมายกลับเปล่งประกาย บางทีอาจเป็นไปได้ถึงจะยังไม่เห็นทางและไม่แน่ใจ หากทว่าเขาอาจถูกกำหนดให้เปลี่ยนแปลงทุกออย่างที่ผ่านพ้นไป...
ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นใหม่ แล้วในที่สุดเฟรเดอริคก็รู้ว่าจะต้องเอ่ยสิ่งใดก่อนที่สายลมจะพัดผ่านไป
“ข้าจะสร้างบาลเธียขึ้นใหม่อีกครั้ง”