บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5

หลังจากที่ทานข้าวกับพี่แบล็คเสร็จเขาก็ขับรถมาส่ง กระนั้นฉันก็ไม่ได้ให้พี่แบล็คส่งถึงหน้าบ้าน แต่เว้นระยะห่างออกมาอีกหน่อย เพราะกลัวว่าพ่อจะเห็น

“ฝันดีนะข้าวหอม อย่าลืมฝันถึงพี่ด้วยล่ะ” ประโยคนี้ฉันมักจะได้ยินบ่อยๆ จากปากเขา ทว่าสิ่งที่ตอบกลับไปทุกครั้งก็คือ

“ฝันร้ายน่ะสิไม่ว่า” กล่าวจบก็รีบเดินตรงไปทางประตูรั้วบ้านของตัวเอง โดยไม่รอฟังว่าเขาจะพูดอะไรออกมาอีก ขืนยืนตรงนั้นนานเดี๋ยวถ้าพ่อออกมาเห็นแล้วจะซวยเอาได้

“ออกเวรตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกลับเอาป่านนี้” พ่อยังคงนั่งทำงานอยู่ตรงที่ประจำของตัวเอง อันที่จริงพ่อฉันควรอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำ แต่เพราะเป็นหุ้นส่วนในโรงพยาบาลนั้นจึงสามารถทำอะไรก็ได้

กระนั้นถ้าหากมีเคสด่วนพ่อก็รีบไปที่โรงพยาบาลตลอด ไม่เคยปล่อยให้ใครต้องรอ

ท่านทำงานไม่เป็นเวลาแบบนี้แหละ นึกอยากจะไปก็ไป บางทีตอนเช้าเข้าเวร ตอนเย็นก็กลับมาบ้าน แล้วไปอีกทีตอนประมาณเที่ยงคืน

จริงๆ แล้วพ่อไม่ต้องเป็นหมอแล้วก็ได้ เพราะท่านมีหุ้นอยู่หลายโรงพยาบาล แต่ถ้าจะให้อยู่บ้านเฉยๆ ก็ไม่ได้อีก สู้เอาเวลาตรงนี้ไปรักษาคนไข้ดีกว่า

“ตอนแรกข้าวกลับแล้ว แต่ระหว่างทางเจอคนขอความช่วยเหลือพอดี เลยพาไปส่งโรงพยาบาล” อธิบายเท่าที่พูดได้ก็พอ ส่วนเรื่องของพี่แบล็คตัดไปเลย ไม่อย่างนั้นระเบิดลงกลางหัวฉันแน่

“งั้นขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป พ่อจะพาไปทานข้าวนอกบ้าน”

“ข้าวไม่หิว พ่อกับแม่ไปกันสองคนเถอะค่ะ” เพิ่งกินข้าวมาอิ่มๆ ถ้าหิวสิแปลก กระเพาะฉันไม่ได้ใหญ่เหมือนคนที่ชอบกินจุโชว์ตามรายการวาไรตี้นะ

“ไปนั่งเฉยๆ ก็ได้”

“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” คิ้วเรียวเล็กขมวดเข้าหากัน ประโยคเมื่อครู่ทำให้ฉันเกิดความฉงนใจ

“ไม่ต้องสงสัยเดี๋ยวไปก็รู้เอง ขึ้นห้องแล้วทำตามที่พ่อบอกก็พอ”

“ค่ะ” สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องพับความสงสัยของตัวเองเก็บไป แล้วเดินขึ้นห้องเพื่อทำตามสิ่งที่พ่อสั่ง

หวังว่าพ่อคงไม่ทำให้ฉันลำบากใจอีกหรอกนะ...

รถยนต์คันหรูขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนนเพียงไม่นานก็มาถึงจุดหมาย เมื่อรถถูกจอดสนิท ทั้งฉันและพ่อกับแม่ก็เปิดประตูลงไปยืนบนพื้นหินกรวด

ตรงหน้าคือภัตตาคารอาหารขนาดใหญ่ที่ใช้กระจกแทนผนังปิดทึบ แค่ยืนมองข้างนอกก็เห็นแล้วว่าภายในหรูหราขนาดไหน นี่ต้องไม่ใช่การทานข้าวนอกบ้านธรรมดาแน่ๆ พ่อต้องนัดใครสักคนเอาไว้

“เข้าไปด้านในกันเถอะ” พ่อนำหน้าไปก่อนใคร โดยมีฉันกับแม่เดินตามหลัง

“พ่อนัดใครเอาไว้เหรอคะแม่” เมื่อเห็นว่าทิ้งระยะห่างจากพ่อพอสมควรแล้ว ฉันจึงหันไปถามแม่ที่เดินอยู่ข้างกัน

“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ” รอยยิ้มอ่อนโยนของแม่ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจได้เลยในเวลานี้

ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังส่งสัญญาณเตือนว่ามันต้องมีเรื่อง และแน่นอนว่าเรื่องนั้นต้องเกี่ยวข้องกับฉันโดยตรง

“สวัสดีครับคุณปราชญ์ ขอโทษที่ให้รอนะครับ” เมื่อเห็นว่าพ่อยกมือไหว้ทักทายผู้ชายคนหนึ่ง ที่ดูแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อ ฉันและแม่ก็รีบยกมือไหว้ตาม

พอเงยหน้าขึ้นมาและหันไปมองข้างกายเขา ก็เห็นว่ามีผู้ชายอีกคนยืนอยู่ด้วย ซึ่งอายุก็คงจะไล่เลี่ยกับฉัน หรือไม่ก็มากกว่า

พอเขาเห็นว่าฉันกำลังมอง ดวงตาคมคู่นั้นก็เลื่อนขึ้นมาสบตา

หน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน บุคลิกดูสุภาพก็จริง แต่นั่นก็ไม่ทำให้ฉันสนใจมากนัก

“สวัสดีครับคุณเขต คุณขวัญข้าว ผมเองก็เพิ่งมาเหมือนกัน ยังไงเชิญนั่งเลยครับ” ชายคนนั้นผายมือเชิญให้ครอบครัวของฉันนั่งลง บังเอิญหรือเป็นความตั้งใจของใครไม่รู้ ที่ฉันดันได้นั่งข้างผู้ชายอีกคน “อยากทานอะไรเพิ่มก็สั่งได้เลยนะครับ...แล้วนี่ลูกสาวใช่หรือเปล่า”

กล่าวตามมารยาทในการร่วมโต๊ะอาหารจบ ท้ายประโยคความสนใจก็ถูกหันเหมาที่ฉัน

“ข้าวหอมครับ ลูกสาวผมเองที่เคยพูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ” พ่อแนะนำฉันให้ผู้ชายแปลกหน้าสองคนได้รู้จัก

ไม่รู้จะทำยังไงจึงได้แต่ส่งยิ้มกลับไปเพื่อเป็นการทักทายอย่างเป็นมิตร

“ส่วนนี่ปลื้มนะครับ ลูกชายของผมเอง ให้ข้าวหอมเรียกพี่ก็ได้ เพราะปลื้มอายุมากกว่า” คุณปราชญ์แนะนำลูกชายของตัวเองให้ครอบครัวฉันได้รู้จักบ้าง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel