EPISODE – 01 / 2
แต่แทนที่โซลจะตอบฉันด้วยคำพูด เขากลับลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่เมื่อกี้แล้วเดินเข้ามาหาฉันที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่ข้างโซฟาติดมุมห้อง
เขาเดินต้อนฉันจนหลังติดกับผนังห้องไร้หนทางหลบหนี สองมือหนาของโซลยกขึ้นมาจับไหล่ทั้งสองข้างของฉันไว้แนบแน่น เพียงเสี้ยววินาที ผู้ชายหล่อเหลาตรงหน้าก็ก้มลงจูบที่ริมฝีปากฉันแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“อืม” เขาครางเบาๆ จากนั้นก็เพิ่มแรงบดขยี้ หนักขึ้นๆ
“อื้ม ออ อ่อน (พอก่อน)” เพราะไม่ทันจะได้เตรียมรับมือกับจุมพิตจากผู้ชายคนนี้เลยทำให้ฉันหายใจไม่ทันกับการรุกที่แสนรวดเร็วนี้
จูบ... ที่เร่าร้อนเหมือนมีไฟราคะอยู่ในนั้น
โซลพยายามใช้ฟันขบกัดริมฝีปากล่างฉันให้เผยอเปิดเพื่อที่จะได้รุกล้ำลิ้นสากหนาของตัวเองเข้ามาสำรวจโพรงปากที่หวานฉ่ำของฉัน
ไม่ไหวแล้ว! หายใจไม่ทัน!
ฉันเหมือนคนจะขาดอากาศหายใจ ยิ่งร้องท้วงเท่าไหร่ โซลยิ่งเร่งจังหวะรุกเร้าที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ร่างกายฉันเริ่มจะหมดเรี่ยวแรงต่อต้าน แข้งขากำลังอ่อนแรง
ฉันกำลังจะปล่อยร่างบางเบาของตัวเองทิ้งดิ่งลงสู้พื้นห้องที่เย็นเฉียบ แต่โซลคงรับรู้ เขาเลยเปลี่ยนเป็นเอามือข้างหนึ่งมาโอบรัดเอวบางฉันเพื่อช่วยพยุงร่างบางไม่ให้ล้มลงไป ทำให้ตอนนี้เนื้อกายของเราสองคนแนบสนิทกันยิ่งกว่าเก่า
ผู้ชายตะกละตะกลามตรงหน้ายังคงไม่ถอนจูบที่เร่าร้อนออกจากริมฝีปากบางของฉัน เขาทั้งกัดทั้งดูดดุน ลิ้มรสน้ำหวานที่หลั่งไหลเป็นสายธารอยู่ในโพรงปากนี้
เมื่อเต็มที่กับการดูดดื่มน้ำผึ้งหวานในโพรงปากเสร็จ โซลก็เริ่มเคลื่อนจมูกโด่งรั้นดอมดมมาตามลำคอระหง ทุกพื้นที่ๆ ริมฝีปากหนาและจมูกโด่งกล้ำกรายลากผ่าน ฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขา
ความรู้สึกหวาบหวามที่ไม่เคยได้สัมผัสจากใครมาก่อน ทำให้ขนอ่อนในกายพร้อมใจกันลุกชันอย่างเสียวสะท้าน
“ซ... โซล อ๊ะ” ฉันพยายามเปล่งเสียงให้ดังที่สุดเพื่อหยุดเขา
แต่แทนที่มันจะมีคำพูดมากมายกว่านั้นเอ่ยออกมา เสียงตัวเองกลับขาดหายไปสะดื้อๆ ร่างกายสั่นเทิ่มด้วยความสยิวที่คนตาคมมอบให้
“ฉันว่าเธอคงยืนไม่ไหวอีกแล้วล่ะ” โซลพูดอะไรบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแต่ทว่าเซ็กซี่ จนคนฟังอย่างฉันยอมพยักหน้าตอบแบบไม่รู้ตัว
ร่างกายรู้สึกเบาหวิวเหมือนปุยนุ่น สัมผัสได้ว่าร่างกายกำลังล่องลอยเหมือนมีปีกบินได้ ไม่นานแผ่นหลังบางก็สัมผัสกับความนุ่มหยุ่นราวกับว่าปีกนั้นได้หายไปแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสติกลับมาครบแล้วหรืออะไร ตั้งแต่ที่แผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความนุ่มนั้น ฉันก็ลืมตาโพลง มองสภาพแวดล้อมรอบข้างที่แสนคุ้นเคย
นะ... นี่มันห้องนอนฉัน!!
“โซล เดี๋ยวสิ” ฉันรีบร้องห้ามจอมฉวยโอกาสบนร่าง
“ไม่ทันแล้วล่ะ แก้มใส เป็นของฉันเถอะนะ” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่หวานหูจากคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนตัวเอง เพราะหลังจากนั้นฉันก็ไม่อาจต้านทานความเอาแต่ใจของผู้ชายคนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
“อ๊ะ จะ เจ็บ”
เจ็บ... นี่คือความรู้สึกที่ฉันรับรู้ได้ในตอนนี้
มันเหมือนร่างกายฉันจะแตกสลาย ตอนที่คนเอาแต่ใจสอดแทรกสัญลักษณ์ของความเป็นชายผ่านปากถ้ำที่แสนชุ่มฉ่ำเข้ามา
ถึงแม้ฉันจะไม่เห็นกับตาตอนที่เขาสอดใส่ แต่ก็พอจะรู้ว่าขนาดมันต้องใหญ่มากแน่ๆ ไม่งั้นฉันคงไม่เจ็บเหมือนร่างกายจะขาดออกจากกันแบบนี้หรอก
“อีกนิดนะ ทนอีกนิด” โซลจูบที่หน้าผากเพื่อปลอบโยน
ฉันสัมผัสได้ว่าเจ้าสิ่งที่กึ่งแข็งกึ่งนิ่มนั่นกำลังจะหลุดออกไป
แต่มันก็แค่เกือบ... เพราะหลังจากนั้นโซลก็ดันมันเข้ามาครั้งเดียวจนฉันเจ็บและจุกไปทั้งท้องน้อย
“โซล กะ... แก้ม เจ็บ อ๊ะ อา” ฉันทั้งพูดทั้งส่งเสียงครวญครางที่น่าอายออกมาพร้อมๆ กัน ตามจังหวะกระแทกกระทั้นของร่างหนาที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่เบื้องบน ผู้กำลังคุมบังเหียนของม้าตัวบางอย่างฉันให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ
“อื้อ ร้อน” ฉันไม่อาจรับรู้ได้ว่าตอนนี้สิ่งที่เสียงทุ้มเอ่ยคืออะไร
สติฉันกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้วในนาทีนี้ ร่างกายเริ่มร้อนฉ่ามากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อกาฬเริ่มจะไหลซึมออกมาทุกรูขุมขนจนชุ่มฉ่ำร่างกายไปหมด ฉันอยากจะปรือตามองร่างสูงตรงหน้าตอนนี้มากเหลือเกิน อยากรู้ว่าเขาจะใช้สายตาแบบไหนจ้องมองฉัน อยากรับรู้สิ่งที่เขาสื่อออกมาด้วยตาตัวเอง
แต่... เพราะคำว่าอายคำเดียว มันเลยทำให้ฉันเลือกที่จะหลับตาต่อไป แล้วใช้ร่างกายมองแทน ร่างกายเปรียบเสมือนดวงตาของฉันไปแล้วในตอนนี้
“ม... ไม่ไหวแล้ว แก้ม ทนอีกนิดนะ”
เสียงหอบกระเส่าของโซลดังขึ้นข้างใบหูเล็กของฉัน ลมหายใจหอบรวยรินเป่ารดที่ซอกคอขาว ยิ่งปลุกเร้าให้เลือดในกายฉันสูบฉีดมากกว่าเดิม
“อ๊ะ อ่า พ... พอแล้ว ไม่ อ๊ะ อย่า... หยุด”
ปากฉันพยายามร้องห้ามร่างหนาที่กำลังเพิ่มแรงกระแทกหนักหน่วงกว่าคราแรก จนได้ยินเสียงเตียงดังเอี๊ยดอ๊าดสนั่นห้อง
“อา~ เบาไม่ได้แล้ว ทนอีกนิดนะ ฉันจะ.. อืม~” เหมือนเสียงโซลจะขาดหายเป็นช่วงๆ ตอนที่พูดกับฉัน แต่แรงขยับของเขากลับกระชั้นถี่ยิ่งกว่าเดิม
“ซะ โซล มะ ไม่ไหวแล้ว จะ เจ็บ... มาก” รู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำใสๆ กลิ้งลงที่หางตาทั้งซ้ายและขวา นั่นอาจจะเป็นการช่วยระบายความอัดอั้นที่มวลอยู่ในอก
ไม่สิ... มันมวลอยู่ในท้องน้อยและส่วนอ่อนไหวนั่นมากกว่า
“กรุงโซล เรียกสิ นี่คือชื่อเต็มฉัน” ชื่อเต็มเขางั้นเหรอ?
“กะ... กรุงโซล” และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ฉันเอื้อนเอ่ยออกไป เพราะหลังจากนั้น บทเพลงรักที่โหมกระพืออยู่มันก็ทำให้สมองฉันขาวโพลนสติลอยหายไปจนหมดสิ้น