บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 พิษเย็นและเก้าเยือกแข็ง

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

ถังเฟยหู่เอ่ยถามจิ้งจอกหิมะเก้าหางที่พึ่งฟื้นขึ้นมา ในคราแรกมันยังสับสนอยู่มาก แต่ไม่นานนักมันก็เริ่มได้สติขึ้นมา มันเริ่มสำรวจรอบๆตัวมัน มันได้เจอกับชายหนุ่มผู้ซึ่งได้ช่วยชีวิตของมันไว้ ในที่แววตาที่งดงามของมันสะท้อนภาพของชายหนุ่มตาเดียวผู้นี้ไว้ราวกับจะจดจำภาพนี้ไว้ในห้วงจิตใจของมัน

“…เจ้ากำลังป่วยสินะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาเมื่อมองสำรวจร่างกายของจิ้งจอกหิมะตัวนี้ ที่เขาหมายถึงนั้นไม่ใช่หมายถึงอาการบาดเจ็บภายนอกอันใด ภายในสายตาของแพทย์ฝีมือดีอย่างเขา สามารถรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดแผกไปบ้าง เขาเอื้อมมือออกไปเพื่อวางมือบนหัวของมัน แต่จิ้งจอกหิมะนั้นกลับพยายามถอยหนีไป

“ไม่เป็นไร ข้าเพียงจะขอตรวจดูหน่อย เจ้าไว้ใจข้าได้นะ” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มที่จริงใจของเขาให้แก่มัน สิ่งที่ทำให้เขาทำดีกับมันนั้นอาจเป็นเพราะความรู้สึกแปลกๆที่เขาสัมผัสได้ตั้งแต่พบกับจิ้งจอกตนนี้ละมั้ง

จิ้งจอกหิมะนั้นค่อยๆกลับมาหาชายหนุ่มอย่างช้าๆ ซึ่งถังเฟยหู่เองก็ค่อยๆวางมือของตนเองลงบนหัวของมัน จากนั้นจึงปล่อยพลังปราณเป็นเส้นสายเล็กเข้าไปสำรวจภายในร่างกายของจิ้งจอกหิมะตนนั้น เส้นสายลมปราณของชายหนุ่มค่อยๆเข้าไปภายในร่างกายของจิ้งจอกหิมะ เข้าไปตามเส้นเลือด ชีพจร เส้นลมปราณทั้งหลาย ร่วมถึงทั้งอวัยวะทั้งหลาย หรือแม้แต่ไปสำรวจยังบริเวณจุดตันเถียนของมัน แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็ได้เกิดขึ้น เขามีสีหน้าตื่นตกใจเล็กๆ ภายในร่างกายของจิ้งจอกหิมะตนนี้กลับมีพลังปราณแปลกประหลาดสายหนึ่งกระจุกรวมกันอยู่ภายในจุดตันเถียน ที่ชายหนุ่มพบนั้นคือปราณเย็นสายหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ มันเยือกเย็นราวกับจะแช่แข็งสตินึกคิดของเขาที่ได้เข้าไปพร้อมกับเส้นสายลมปราณเหล่านั้นด้วย

ถังเฟยหู่ถอนเส้นสายลมปราณของตนออกจากจุดนั้น แล้วจึงค่อยไปสำรวจยังจุดอื่นๆต่อไป จนได้พบกับอีกหนึ่งจุดซึ่งผิดปกติอีกหนึ่งจุดซึ่งเป็นจุดอิ้วโห้วเสเสี้ยที่ด้านขวาของลำตัวจิ้งจอกหิมะตนนี้ จุดชีพจรลมปราณนี้มีอาการติดขัด ทำให้ลมปราณไหลเวียนไม่สะดวก เขาได้ถอนเส้นสายลมปราณทั้งหมดออกมาก่อนจะสำรวจบริเวณนั้น เขาได้แหวกขนสีขาวอันหนานุ่มของมันออกเพื่อสำรวจผิวหนังของมันก็พบว่าเนื้อหนังบริเวณนั้นกลับกลายเป็นสีม่วงคล้ำ

“พิษเย็น…ช่างน่าตกใจจริงๆที่มันได้เกิดการอุดตันที่จุดอิ้วโห้วเสเสี้ย…มิน่าเล่าทำไมสัตว์อสูรระดับสี่อย่างเจ้าถึงได้ถูกจับง่ายๆแบบนี้ แต่ที่น่าแปลกใจกว่าก็คือ…เจ้าเป็นสัตว์อสูรตนหนึ่งแต่กลับสามารถฝึกฝนลมปราณได้ราวกับมนุษย์ เหอะๆๆ เจ้าช่างเป็นสัตว์อสูรที่ร้ายกาจเสียจริง ข้าละนับถือเจ้าเลย” ถังเฟยหู่กล่าวพลางลูบหัวของมันไปด้วย

เดิมทีแล้วสัตว์อสูรทั้งหลายนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิดราวกับเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มอบให้แก่พวกมัน พวกมันนั้นสามารถสร้างลมปราณและกักเก็บไว้ภายในร่างกาย เป็นเพียงพลังงานตามธรรมชาติของมันซึ่งไม่เป็นระบบระเบียบเสียเท่าไหร ใช้ได้เพียงรูปแบบลมปราณตามธรรมชาติของชนเผ่าตัวเอง เช่นหากสัตว์อสูรเหยี่ยววายุก็จะมีปราณวายุมาแต่กำเนิด ไม่สามารถมีปราณธาตุอื่นได้นอกจากมันจะได้พบกับวาสนาวิเศษบางประการที่ทำให้มันมีได้ซึ่งต่างจากมนุษย์ เหล่ามนุษย์ทั้งหลายใช้การฝึกฝนลมปราณที่เป็นระบบระเบียบและมีคุณภาพมากกว่า และยังไม่ถูกจำกัดด้านความสามารถเหมือนพวกสัตว์อสูร หากคนผู้หนึ่งพึงพอใจที่จะฝึกฝนลมปราณหนึ่งร้อนแขนง ใช้ปราณธาตุแทบทุกธาตุก็เป็นไปได้หากพวกเขามีความสามารถเพียงพอ นี่คือจุดต่างระหว่างมนุษย์และสัตว์อสูร แต่จิ้งจอกหิมะตัวนี้กลับมีรูปแบบลมปราณที่เป็นระบบ ยังมีการสะสมลมปราณไว้ที่ตันเถียงอีกด้วย หากถังเฟยหู่คาดการณ์ไว้ไม่ผิดละก็ สัตว์อสูรตนนี้จะต้องมีปัญญาเป็นเลิศ สามารถเรียนรู้วิชาการเดินลมปราณได้ อีกทั้งคุณภาพของลมปราณนี้ยังอาจสูงถึงขั้นห้าซึ่งเทียบเท่ากับปราณห้าพิษของตน หากไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บที่มีอยู่จนทำให้มันเดินลมปราณไม่ได้แล้วละก็ มีเหรอที่หลิวจิวเลี่ยนและหลิวฮวนจะสามารถพันธนาการและต่อสู้กับมันได้

ชายหนุ่มกับจิ้งจอกหิมะเก้าหางตอนนี้ได้หลบมาอยู่ภายในถ้ำใกล้ๆโดนที่เขาได้นำถุงผ้าห้อใหญ่กลับมาซ่อนในนี้ด้วยเช่นกัน เขาค่อยนำมันมานอนไว้บนตักของตนเองซึ่งนั่งสมาธิอยู่ภายในถ้ำ ในคราแรกจิ้งจอกหิมะดูจะขัดขืนอยู่บ้าง แต่เหมือนมันจะสามารถรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มต้องการจะช่วยมันจริงๆ มันจึงเลิกต่อต้านและปล่อยให้ชายหนุ่มได้ทำอย่างที่ตนเองต้องการไป

ถังเฟยหู่เดินลมปราณห้าพิษของตนเองครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการเดินลมปราณแบบเดียวกับครั้งที่ใช้ในการดูดกลืนพิษเพื่อพัฒนาปราณพิษ เขาเรียกใช้เข็มดำของตนเองออกมาจากปลอกแขนแล้วเริ่มใช้ลมปราณห้าพิษให้ถ่ายทอดเข้าสู่เข็มดำด้วยรูปแบบการใช้แบบเข็มทิพย์ดอกเหมย อีกหนึ่งความสามารถของชุดวิชานี้นั่นก็คือยอดวิชาฝังเข็มแห่งแผ่นดิน ด้วยวิชานี้ไม่ว่าจะเป็นจุดที่เล็กหรือซับซ้อนเพียงไหน เข็มทิพย์ดอกเหมยก็จะสามารถเข้าไปสู่จุดนั้นได้อย่างแม่นยำ

เขาทำการฝังเข็มดำไปยังกลางจุดอิ้วโห้วเสเสี้ยของจิ้งจอกหิมะ มันมีสีหน้าเจ็บปวดอย่างมากจนสั่นไปทั่วทั้งตัว เขาค่อยๆทะลวงผ่านชั้นผิวสีม่วงคล้ำของมัน ผ่านชั้นเนื้อและเส้นชีพจร เข้าสู่ยังใจกลางจุดอิ้วโห้วเสเสี้ย ทันทีที่เข็มดำได้แทงเข้าไปนั้น ความเย็นเยียบอันลึกล้ำได้ถูกถ่ายทอดจากเข็มสู่ปลายนิ้วของเขาทันที พิษเย็นช่างร้ายกาจเหนือกว่าที่ถังเฟยหู่คาดการณ์ไว้ไปหลายขุม อาจจะถึงขั้นเทียบเท่าหรือเหนือกว่าปราณพิษของตนเสียด้วยซ้ำไป นิ้วมือของเขาเริ่มชาและเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอย่างรวดเร็ว เกล็ดน้ำแข็งเริ่มเกาะไปตามลำแขนของเขา ชายหนุ่มรีบใช้เคล็ดดูดกลืนพิษกำจัดพิษเย็นที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว นำมันหลอมรวมเข้าสู่ชีพจรพิษของตนเอง แต่นานไปยิ่งดูดกลืนมาก็ยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ พิษเย็นในร่างของจิ้งจอกหิมะนั้นแข็งแกร่งจนเกินไป แต่ถังเฟยหู่นั้นไม่ยอมเลิกราง่ายๆเพียงเท่านี้ เขาทราบดีว่าการรักษาจิ้งจอกหิมะครั้งนี้อันตรายเพียงใด แต่พิษที่มีความแข็งแกร่งมากมายเช่นนี้จะต้องทำให้พลังของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ด้วยความต้องการในพลังอย่างแรงกล้า ถังเฟยหู่ดึงดันดูดกลืนพิษเย็นเข้าสู่ร่างของตนด้วยความรวดเร็วเหนือกว่าก่อนหน้านี้หลายขุม

ไม่มีสงครามใดที่ชนะโดยไม่หลั่งเลือด

ความเจ็บปวดที่แล่นอยู่ทั่วร่างกายนี้เองก็เช่นกัน ในหนทางแห่งการฝึกฝนไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย ตัวเขาที่ต้องการพลังก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกัน ชายหนุ่มกัดฟันอดทนความเจ็บปวดของพิษเย็นเร่งเดินพลังปราณพิษชักนำพิษเย็นผ่านตามชีพจรและเส้นลมปราณเพื่อดูดกลืนสู่ชีพจรพิษ

จนเมื่อผ่านเข้าสู่ช่วงเช้าของอีกวันหนึ่ง พิษเย็นในร่างกายของจิ้งจอกหิมะจึงได้ถูกขจัดออกจนหมดสิ้น แต่ถังเฟยหู่ผิวกายกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำทั่วทั้งตัวแทน ควันและไอเย็นพวยพุ่งออกจากร่างของเขาจนทั่วทั้งถ้ำ แปรเปลี่ยนให้ถ้ำนี้กลายเป็นถ้ำซึ่งปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งไปในทันที

จิ้งจอกหิมะเองก็อยู่เฝ้าอยู่ข้างกายของเขาไม่ห่างหายไปไหน สายตาของมันช่างดูเศร้าสร้อยเหลือเกินที่คนผู้นี้ตั้งใจจะช่วยมันแต่กลับตกอยู่ในสภาพนี้แทน ดวงตาที่งดงามดุจดวงดาวของมันมีน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย แต่น้ำตาหยดนั้นอยู่ได้เพียงไม่นานนักก็โดนพลังของพิษเย็นแช่แข็งจนกลายเป็นน้ำแข็งไปแทน

ถังเฟยหู่ในห้วงความเจ็บปวดอันแสนสาหัสจนไม่รับรู้สิ่งต่างๆรอบตัวนั้น กลับบังเกิดห้วงสมาธิอันลึกล้ำขึ้นท่ามกลางความเจ็บปวดและลำบากนี้ เขายังคงฝืนทนเดินลมปราณห้าพิษต่อไป จนเวลาผ่านไปนานถึงสามวันสามคืน ไอเย็นภายในถ้ำจึงได้บรรเทาเบาบางลง น้ำแข็งที่เคยเกาะตามผนังเป็นชั้นก็หายไปจนหมดสิ้น รวมถึงร่างกายของถังเฟยหู่เองก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน ผิวกายที่เคยเป็นสีม่วงทั้งร่างเพราะพิษเย็นได้กลับมาเป็นปกติเรียบร้อย ลมปราณของเขาถึงกับกล้าแข็งมากกว่าเก่าหลายเท่า ชายหนุ่มได้ตื่นขึ้นมาไม่นานหลังจากนั้น ในตอนนี้จิ้งจอกหิมะได้หายไปแล้ว รอบตัวของเขากองไว้ด้วยเหล่าผลไม้และสมุนไพรล้ำค่าแทน

“นี่มัน….!” ถังเฟยหู่เมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้สำรวจพลังของตนเอง เขาถึงกับตกใจอย่างมากเพราะพลังของเขาตอนนี้ได้อยู่ในระดับปราณขั้นสาม อีกทั้งลมปราณห้าพิษของเขายังได้เข้าสู่ขั้นสอง ดูเหมือนว่าพลังของพิษเย็นในกายจิ้งจอกหิมะจะเหนือกว่าที่เขาคาดคิดไปมากมายนัก ชายหนุ่มได้หันไปมองข้าวของมากมายรอบตัว

ของเหล่านี้คงเป็นจิ้งจอกหิมะนำมามอบไว้ให้กับตนเองเพื่อตอบแทนบุญคุณ เป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่ถังเฟยหู่ไม่ได้กินอาหารอันใดเลย เขากินผลไม้ทั้งหมดนั้นด้วยเวลาไม่นาน ส่วนสมุนไพรทั้งหลายนั้น เขาได้ทำการเก็บพวกมันไว้ในห่อผ้าขนาดใหญ่ยักษ์ของตนเอง จนเมื่อของทั้งหมดถูกจัดการไปแล้ว ถังเฟยหู่กลับพบว่าบนพื้นนั้นมีข้อความจำนวนมากถูกขีดเขียนไว้

“ลมปราณเก้าเยือกแข็ง…” นั่นคือประโยคแรกซึ่งถูกเขียนไว้บนพื้นถ้ำ

สิ่งที่ถูกขีดเขียนไว้นี้คือลมปราณระดับสี่ซึ่งเทียบเท่าได้กับลมปราณห้าพิษของเขาเอง สิ่งนี้คงเป็นสิ่งที่จิ้งจอกหิมะทิ้งไว้ให้กับตนอีกเช่นกัน ชายหนุ่มถึงกับพูดไม่ออกเลยเมื่อพบเข้ากับสิ่งนี้ ไม่เพียงแต่มันจะสามารถร่ำเรียนวิชาลมปราณแล้ว สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือมันถึงขั้นเข้าใจภาษาของมนุษย์และเขียนทิ้งไว้ให้มันอีกด้วย

จิ้งจอกหิมะตัวนี้เป็นตัวประหลาดประเภทไหนกันแน่….

แต่ถังเฟยหู่หาได้คิดมากความอีกต่อไป ไม่ว่ามันเป็นสิ่งใดก็ตาม แต่หากมันสามารถที่จะเพิ่มพลังของเขาให้สูงขึ้นได้ ชายหนุ่มก็ไม่เกี่ยงว่าจิ้งจอกหิมะคือตัวตนใด หรือวิชานี้จะเป็นยังไง ขอเพียงเป็นพลังให้เขาได้เขาก็ยินดีที่จะฝึกฝนมัน เขาอ่านทุกตัวอักษรบนพื้นและจดจำมันไว้ในห้วงความทรงจำของตนจนหมดก่อนที่จะทำลายอักษรทั้งหมดบนพื้นไปเพื่อป้องกันไม่ให้ใครคนอื่นมาพบเห็น

ถังเฟยหู่เดินออกมาจากถ้ำนั้นพร้อมกับห่อผ้าใหญ่ของตนเอง เขาเรียกทาสอสูรค้างคาวโลกันต์ของตนเองออกมาก่อนจะใช้พิษของตนเองทำลายต้นไม้เบื้องบนออกไปให้หมดเพื่อให้ทาสอสูรของตนเองสามารถบินขึ้นไปบนอากาศได้ หนึ่งคนหนึ่งค้างคาวพร้อมทั้งห่อผ้าขนาดใหญ่ได้พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าและบินกลับสู่เมืองฟูเจี้ยนที่ตนเองได้จากมานานหลายวัน เขาได้ออกจากบ้านมานานเกินกว่าที่ตนเองคาดไว้ เขาค่อยๆทบทวนความทรงจำในระหว่างที่อยู่ในป่าอสูรแห่งนี้ ทุกการต่อสู้และประสบการณ์จะขัดเกลาให้ตัวเขากลายเป็นนักสู้ที่เก่งกาจได้ในอนาคต

ในระหว่างทางกลับสู่เมือง ในห้วงความคิดของถังเฟยหู่คือตนเองที่ต่อสู่อยู่กับหลิวฮวนโดยไม่ใช้เล่ห์กลอันใด แต่ต้องกลับพ่ายแพ้ในทุกครา พลังของเขาในตอนนี้ยังน้อยจนเกินไปที่เจอไปสู้รบกับคนซึ่งมีพลังสูงเป็นอันดับต้นๆในรุ่นเดียวกัน ที่ควรทำตอนนี้ก็คือการฝึกฝนและเพิ่มระดับลมปราณของตนให้สูงที่สุด เหลือเวลาอีกเพียงเก้าเดือนเท่านั้นก่อนที่จะเริ่มการประลองยุทธ์

เวลาสามวันล่วงเลยผ่านไปภายในพริบตา ครานี้ถังเฟยไม่ได้ตรงไปภายในตระกูลของตนในทันที แต่ได้ให้ค้างคาวโลกันต์ปล่อยตนเองลงที่นอกเมืองและค่อยนำห่อผ้าขนาดใหญ่ของตนแบกขึ้นหลัง จากนั้นจึงค่อยเดินกลับเข้าเมืองไป

“เจ้าจะนำของมากมายพวกนี้เข้าไปเมืองไปทำไม? ของพวกนี้คืออะไร?” เสียงหนึ่งเอ่ยถามถังเฟยหู่ขึ้นเมื่อเข้ากำลังจะเข้าไปทางประตูเมือง เจ้าของเสียงผู้นี้คือทหารเฝ้าประตูเมืองซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบผู้ที่ต้องการเข้าเมือง

“พี่ชาย ข้าเพียงแต่ไปหาของป่าเพื่อนำมาขายจากภูเขาใกล้ๆนี้เท่านั้น ส่วนนี่คือป้ายผ่านทาง พี่ชายโปรดตรวจสอบด้วย” เขากล่าวเสร็จก็ได้ยืนแผ่นป้ายหยกซึ่งสลักด้วยคำว่าถัง ป้ายนี้คือสัญลักษณ์แสดงตนว่าเป็นคนของตระกูลถังแห่งฟูเจี้ยน เมื่อทหารคนนั้นเห็นป้ายก็ถึงกับตกใจเช่นกันที่ลูกหลานตระกูลใหญ่เช่นนี้กลับออกเดินทางไปนอกเมืองเพียงคนเดียวหาได้มีคนติดตามคุ้มกันเช่นที่ลูกหลานตระกูลใหญ่มักจะทำกัน ทหารคนนั้นเร่งรีบตรวจสอบป้ายหยกตระกูลถังในทันที เมื่อทราบว่าเป็นของจริงจึงเร่งรีบคืนป้ายหยกคืนให้แก่ถังเฟยหู่ในทันทีเพราะตนเองเป็นเพียงทหารเฝ้าประตูเมืองยศเล็กๆ คงไม่อยากที่จะมีปัญหากับตระกูลใหญ่เช่นนี้

“ที่แท้เป็นเป็นนายน้อยถังนี่เอง เชิญนายน้อยเข้าเมืองได้เลยขอรับ” ทหารคนนั้นเร่งรีบผายมือเชื้อเชิญให้ถังเฟยหู่เข้าเมืองได้ใยทันที ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก็รีบนำห่อผ้าใหญ่นี้เดินเข้าเมืองไปอย่างนั้น

ถังเฟยหู่เดินทางตรงเข้าสู่ใจกลางเมืองไปเรื่อย แต่เป้าหมายของเขาไม่ใช่กลับไปยังตระกูลถังในตอนนี้ หากพกพาของมากมายเช่นนี้กลับไปยังตระกูลจะต้องถูกเพ่งเล็งโดยผู้อื่น และไม่แน่แม้แต่ถังชิงอาจจะกลั่นแกล้งเขาโดยทำข้าวของพวกนี้ทิ้งไปก็ได้ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงยังไม่กลับไปที่ตระกูล แต่เขาได้เดินทางไปหอหงส์แดง สมาคมการค้าซึ่งผูกขาดการซื้อขายทั้งหมดของแคว้นใต้แห่งนี้ไว้ หากจะถามว่าใครกันที่มีอำนาจมากขนาดทำแบบนี้ก็คงต้องบอกว่ามีเพียงตระกูลเดียวในแคว้นนี้เท่านั้นที่ทำได้

นั่นก็คือตระกูลจู…อ๋องผู้ครองแคว้นใต้

สมาคมการค้าหอหงส์แดงถูกสร้างขึ้นโดยจูเชว่อ๋อง โดยอ๋องผู้นี้ได้ใช้อำนาจของตนเองเพื่อผลประโยชน์ของหอหงส์แดง บ่อนทำลายอำนาจของผู้อื่นที่เป็นศัตรูกับหอหงส์แดง ทำลายและยึดอำนาจมา หอหงส์แดงเกิดขึ้นโดยการควบรวมอำนาจของสมาคมการค้าทั้งแคว้นใต้เพื่อสร้างฐานอำนาจทางการตลาดขนาดใหญ่ซึ่งควบคุมและดูแลโดยทายาทแห่งตระกูลจู แม้แต่ในแคว้นอื่นนั้นยังมีหอหงส์แดงเป็นผู้นำการค้า อำนาจของหอหงส์แดงนั้นกลายเป็นสมาคมการค้าอันดับหนึ่งของประเทศแห่งนี้ไปโดยปริยาย

ถังเฟยหู่ได้มาหยุดยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าหอหงส์แดงที่กลางเมือง ขนาดของหอแห่งนี้นับว่าใหญ่โตจนเกินหน้าเกินตาไปจริงๆ บางทีอาจจะมีขนาดใหญ่โตเสียยิ่งกว่าจวนเจ้าเมืองด้วยซ้ำไป สมแล้วที่หอแห่งนี้ถูกสร้างโดยราชวงศ์ ช่างใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจริงๆ ความคิดนี้ของถังเฟยหู่หากพูดออกไปแล้วละก็ คงหนีไม่พ้นโทษประหารอย่างแน่นอน การลบหลู่ราชวงศ์เป็นเรื่องร้ายแรงภายในแคว้นใต้ หอหงส์แดงถูกสร้างโดยผลึกอสูรธาตุไฟที่ถูกหลอมและสร้องกลายเป็นอิฐ ก่อสร้างขึ้นจากอิฐอสูรธาตุไฟจำนวนมหาศาล หลังคาของหอหงส์แดงถูกสร้างโดยทองคำบริสุทธ์อันล้ำค่า ป้ายขนาดใหญ่เหนือประตูเขียนไว้ด้วยคำว่าหอหงส์แดงซึ่งเป็นอักษรที่ทำจากทองคำเช่นกัน หากจะนับมูลค่าของอาคารหลังนี้แล้วคงจะประเมิณค่าออกมาแทบไม่ได้ หอหงส์แดงทุกที่ในแต่ละเมืองในแคว้นใต้ถูกสร้างเป็นแบบนี้ทุกที่ เพียงมองจากอาคารหลังนี้ก็สามารถเห็นถึงความร่ำรวยของราชวงศ์ได้อย่างไม่ยากเลยทีเดียว

รัศมีพลังธาตุเพลิงที่ออกมาจากตัวอาคารนี้มีประโยชน์มหาศาลต่อผู้ที่ฝึกฝนวิชาธาตุเปลวเพลิงทั้งหลายเช่นตระกูลจู หากได้ฝึกฝนในสถานที่เช่นนี้แล้วละก็คงราวกับเป็นเสือติดปีก วิชาฝีมือพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่น่าเสียดายที่ตัวของถังเฟยหู่เองนั้นหาได้ฝึกฝนวิชาธาตุเปลวเพลิง จึงนับว่าไม่มีประโยชน์อันใดกับตนเสียเท่าไหร

ชายหนุ่มเดินก้าวเข้าสู่ตัวอาคาร แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าไปนั้นก็ได้ถูกหยุดไว้โดยองครักษ์ซึ่งเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าทั้งสองข้าง ทั้งสองนั้นแต่งกายด้วยชุดองครักษ์ผ้าสีดำแดงลวดลายสีทอง ข้างเอวของพวกนั้นข้างหนึ่งคือกระบี่สีดำ ส่วนอีกข้างหนึ่งคือโซ่สีดำซึ่งที่ปลายถูกติดไว้ด้วยกรงเล็บเหล็กอันแหลมคม

‘จินอี้เว่ย….’ ถังเฟยหู่ตกใจเล็กน้อยที่องครักษ์วังหลวงอย่างหน่วยจินอี้เว่ยกลับกลายมาเป็นเพียงคนเฝ้าประตูสมาคมการค้าแบบนี้ หน่วยจินอี้เว่ยที่เขาเคยอ่านเจอในหนังสือนั้นคือบุคคลผู้น่ากลัว เป็นองครักษ์ซึ่งขึ้นตรงต่อราชวงศ์ มีอำนาจตัดสินเด็จขาดภายในแผ่นดิน สามารถประหารผู้ใดก็ตามที่เป็นภัยต่อแผ่นดินและราชวงศ์ได้จนหมดสิ้นโดยไม่มีความผิดอันใด ทายาทตระกูลจูผู้ดูแลหอหงส์แดงเมืองฟูเจี้ยนนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่บุคคลธรรมดาในตระกูล แต่จะต้องเป็นผู้มีความสำคัญต่อราชวงศ์เป็นแน่

“ที่นี่ไม่ใช่ที่ให้เจ้าเข้าไปเล่น เจ้าเด็กน้อย” จินอี้เว่ยผู้ขัดขวางถังเฟยหู่ได้เอ่ยขึ้นกับเขาเมื่อเห็นสภาพของชายหนุ่มซึ่งมอมแม่มเต็มไปด้วยความสกปรกเพราะการฝึกฝนในป่าหลายวันของเขา ทั้งคราบเลือดและยังจะมีคราบหญ้านกพงไพรซึ่งถูกทาจนทั่วตัวของเขาจึงทำให้จินอี้เว่ยผู้นี้คิดว่าเด็กน้อยนี้มาก่อกวนหอหงส์แดง แต่เมื่อถังเฟยหู่นำป้ายหยกของตระกูลออกมาและบกบอกว่าต้องการจะนำวัตถุดิบทั้งหลายที่หามาได้ระหว่างไปฝึกฝนมาขายให้แก่หอหงส์แดงจึงทำให้จินอี้เว่ยปล่อยผ่านเข้ามาภายใน เรื่องเช่นนี้มักจะพบเห็นได้บ่อยครั้งที่ผู้ฝึกยุทธ์จะนำวัตถุดิบที่ได้รับจากการฝึกฝนมาขาย หอหงส์แดงเองก็มักจะรับซื้อสินค้าเหล่านั้นไว้เสมอ

ถังเฟยหู่ก้าวเข้ามาภายในได้สำเร็จ พื้นที่ภายในของหอหงส์แดงมีการจัดวางไว้ด้วยของล้ำค่ามากมาย เมื่อมองดูราคาของๆแต่ละอย่างนั้นถึงกับทำให้ชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ของพวกนี้แม้จะนำทรัพย์สมบัติทั้งตระกูลถังมาขายยังไม่อาจซื้อได้เลยด้วยซ้ำไป

เขายืนอยู่ตรงนั้นไม่นาน ก็ได้มีชายอ้วนคนหนึ่งเดินมาหาเขาอย่างรู้หน้าที่ ด้วยสายตาของพ่อค้าผู้เชี่ยวชาญเยี่ยงเขาแล้ว เมื่อมองสภาพและสัมภาระของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ทำให้ทราบได้ในทันทีว่าเขาต้องการอะไร ชายอ้วนพาถังเฟยหู่ไปยังห้องรับรองซึ่งอยู่ด้านหลังของตัวอาคาร เขานำของในห่อผ้าออกมาให้แก่ชายอ้วนผู้นี้ได้ตรวจดู ภายในเต็มไปด้วยวัตถุดิบต่างๆที่ได้จากสัตว์อสูรไม่ว่าจะเป็น หนังสัตว์ กรงเล็บ อุ้งเท้า เกล็ดและเปลือกเกราะของสัตว์อสูร

เมื่อชายอ้วนผู้นี้ตรวจสอบวัตถุดิบทั้งหมดแล้วจึงได้นำเงินทั้งหมดห้าตำลึงทองมาให้แก่ถังเฟยหู่ ซึ่งเขาได้นำเงินหนึ่งตำลึงทองไปซื้อพิษยอดกระเรียนแดงจากหอหงส์แดงกลับไปด้วย แม้พิษชนิดนี้จะเป็นเพียงของที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่ก็นับว่าเป็นพิษที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง มันถูกปรุงขึ้นจากพืชและสัตว์มีพิษจำนวนมากมาผสมกัน แม้จะใช้เงินถึงหนึ่งตำลึงทองซื้อมา แต่ก็ได้ยอดกระเรียนแดงเพียงหนึ่งหยดเท่านั้น แต่พิษเพียงเท่านี้ก็สามารถฆ่าคนได้นับร้อยนับพัน ที่หอหงส์แดงแห่งนี้ขอเพียงมีเงินก็เพียงพอ แม้จะเป็นของอันตรายระดับนี้ก็สามารถหาซื้อได้อย่างง่ายดาย

ถังเฟยหู่เดินกลับสู่ตระกูลถังโดยไม่เข้าทางประตูใหญ่ด้านหน้าอีกเช่นเคย เขาแอบกลับเข้าสู่ตระกูลโดยไม่ถูกพบเห็น เขาได้กลับสู่บ้านหลังน้อยของตนเองโดยเร่งรีบกลับไปหามารดาและตาของตนก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อเปิดประตูห้องของมารดาตนเองออกก็พบกับถังมู่หลิวซึ่งนั่งดื่มชาอยู่ตรงโต๊ะกลมข้างเตียงของนาง ถังมู่หลิวเมื่อหันกลับไปมองผู้ที่เปิดประตูห้องออกมา นางก็รีบวางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วเดินเข้าหาชายหนุ่มผู้ที่เดินเข้ามาและดึงตัวของเขามากอดไว้ในอ้อมอกของตน น้ำตาของนางไหลพรากเต็มดวงหน้าของนาง น้ำตานี้ไม่ใช่ไหลออกมาด้วยความเสียใจอันใด แต่เป็นน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยดีใจและโล่งอก นางมัวแต่ห่วงความปลอดภัยของบุตรชายมาหลายวันว่าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไรบ้าง แต่เมื่อเห็นถังเฟยหู่กลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้วนางจึงค่อยสบายใจและดีใจอย่างสุดซึ้งที่ได้พบหน้าบุตรชาย

“ท่านแม่…ปล่อยข้าเถอะ ตัวข้าสกปรกยิ่งนัก”

“แม่ไม่รังเกียจเจ้าหรอก เจ้าลูกโง่ อย่าทำให้แม่เป็นห่วงมากนักได้ไหม”

“ข้าสบายดี ท่านแม่อย่างเป็นห่วงข้ามากเลย ข้าขอตัวไปอาบน้ำก่อนแล้วกันนะ แล้วข้าก็มีเรื่องมากมายจะคุยกับท่านตาด้วย ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”

“ตามใจเจ้าเถอะลูกแม่”

ถังเฟ่ยหู่เอ่ยร่ำรากับมารดาของตนเองก่อนจะไปทำการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ นับเป็นเวลาหลายวันแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกสบายเช่นนี้ ราวกับปลดเปลื้องทุกอย่างผ่านไปกับสายน้ำ ทั้งความเจ็บปวด ทั้งประสบการณ์เสี่ยงตายทั้งหลาย ทั้งอันตรายที่พบเจอกับสกุลหลิว อีกทั้งยังได้พบกับจิ้งจอกหิมะ…..เรื่องราวทั้งหมดช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลมที่มันพัดพลิ้วหอบเอาเรื่องราวทั้งหลายไปด้วยกับมัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel