คู่หมั้นผม - 5
หลังจากที่กลับบ้านพร้อมเพลย์วันนั้น นี่ก็เลยมาเกือบจะสี่วันได้แล้วมั้ง ที่ฉันปิดเครื่องมือสื่อสารไม่ติดต่อใครเลยสักคน แถมไม่โผล่หน้าไปเรียนอีก ป่านนี้ยัยเพื่อนตัวดีอาจจะกำลังนั่งเผาพริกเผาเกลือเรียกให้ฉันรีบกลับไปแล้วล่ะ
ตอนที่กำลังก้าวเท้าเข้าห้องเรียนก็ได้ยินเสียงเพื่อนรักกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคน ซึ่งเดาจากท่าทางเกร็งและสีหน้ากดดันนั้นฉันพอจะเดาออก
เพลย์คงกำลังโทรถามเรื่องฉันจากป๊า
“เฮลโหลวว สาวๆ” ไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปหาเพลย์กับตาหวานที่นั่งอมทุกข์อยู่ในห้องเรียนทันที
“ยีนส์ / ยัยบ้ายีนส์!” ตาหวานและเพลย์ตะโกนเรียกฉันเสียงลั่นห้อง ทำเอาเพื่อนๆ คนอื่นหันมามองพวกเราเป็นทางเดียวกัน
หลังจากที่ฉันนั่งก้นติดเก้าอี้ได้ยังไม่ทันไร ทั้งสองเพื่อนรักก็รีบสืบสาวเอาความฉันแทบจะเรียกว่าไม่ให้มีโอกาสได้หายใจหายคอกันเลยทีเดียว
พวกเราคุยกันได้ไม่ถึงสามนาทีอาจารย์ก็เข้ามาสอนพอดี ฉันรู้สึกขอบคุณอาจารย์ก็วันนี้ ถ้าเกิดท่านมาช้ากว่านี้มีหวังฉันคงเผลอแสดงพิรุธอะไรออกมาให้เพลย์ได้จับผิดแน่ๆ ยัยนี่ยิ่งเป็นพวกชอบจับผิดฉันอยู่เรื่อย แต่ก็น้อยครั้งหรอกนะ ที่เธอจะทันฉัน
หลังเรียนคาบเช้าเสร็จฉันก็แอบแวบมาเดินหาอะไรกินเล่นพลางๆ จังหวะนั้นเอง สายตาก็ดันไปสะดุดกับร่างบางที่คุ้นตา “หึ” เมื่อมองจนแน่ใจแล้วว่าเธอเป็นใครฉันก็ได้แต่แค่นหัวเราะในลำคอ
“อ้าว! พี่ยีนส์สวัสดีค่ะ” เธอเป็นคนน่ารักแบบนี้แหละ เป็นเด็กดี มีมารยาท
“จำกันได้ด้วย!” แต่บังเอิญว่าฉันมันเป็นพวกแมนๆ คำพูดมันก็จะประมาณนี้
“แหม ใครจะจำพี่สาวตัวเองไม่ได้ล่ะคะ”
“นี่ฉันมีน้องสาวด้วยเหรอ ตายจริง จำได้แม่น้ำอิงคลอดฉันแค่คนเดียว”
ฉันตอบ ‘น้องสาว’ ที่ไร้สายเลือดตรงหน้า ก็มันเรื่องจริง แม่น้ำอิง คือชื่อแม่ฉัน ท่านมีฉันเป็นลูกแค่คนเดียว พูดไปแบบนั้นมันไม่ได้ดูใจร้ายหรอกใช่มั้ย?
“แพรว่าเราไปคุยกันหลังตึกนั่นดีไหมคะ” เสนออีกแล้ว ทำไมยัยนี่ถึงชอบเสนออะไรให้ฉันตอบสนองจริงเชียว ไม่รอช้าในเมื่อเธอเชิญชวนให้ฉันไปที่ลับตาคนฉันก็ไม่ขัดศรัทธา เธอเดินนำฉันไปยังหลังตึกคณะศิลป์ อืม! เลือกตึกนี้ด้วย
“มีไรจะพูดก็ว่ามา อย่าลีลาล่ะ”
ฉันยืนกอดอกจ้องหน้าคนที่ไม่ได้เจอกันเป็นปีก่อนเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน บรรยากาศหลังตึกนี้มันดูสงบจริงๆ นะ รอบด้านมีแต่ต้นไม้ให้ความร่มเงา ด้านหน้าฉันยังมีต้นมะม่วงต้นใหญ่โดดเด่นอยู่ต้นหนึ่ง น่าปีนเล่นชะมัด!
“แหม ไร้มารยาทจังนะคะ ไม่ถามข่าวคราวน้องสาวคนนี้บ้างเลย” ฉันลากสายตากลับมาสนใจคำพูดเหมือนตัดพ้อของคนตรงหน้า
“พอดีว่าแม่สั่งสอนให้มีมารยาทกับคนที่คู่ควร” ฉันตอบออกไป
และทันทีที่ฉันพูดจบปฏิกิริยาของคู่สนทนาก็เปลี่ยนไป เธอถลึงตามองฉันดุๆ พร้อมกับกัดริมฝีปากแน่นเมื่อไม่พอใจ
“งั้นแพรก็ไม่สมควรยื่นไมตรีให้กับศัตรูหัวใจเหมือนกัน” ท่าทางเย่อหยิ่งจองหองของเธอไม่ต่างกับแม่บังเกิดเกล้าเธอเลยสักนิด
ผู้หญิงที่เป็นคู่สนทนาฉันอยู่เธอชื่อ ‘ผ้าแพร’ เป็นลูกติดของ ‘รพี’ เมียใหม่ป๊าฉัน ทั้งสองคนเข้ามาอยู่ในบ้านหลังจากแม่ฉันเสียไปได้แค่สามเดือน ซึ่งรวมๆ แล้ว เราอยู่ในครอบครัวเดียวกันมาแล้วเกือบสามปี
แล้วรู้อะไรมั้ย? ตอนแรกที่ทั้งสองคนเข้ามาอยู่ฉันโกรธป๊ามากที่แม่เพิ่งจากไปได้แค่สามเดือนก็พาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาแนะนำว่าเขากับลูกติดจะมาอยู่ที่นี่ในฐานะคุณผู้หญิงของบ้าน ‘เลิศบริวานนท์’
ในช่วงสองสามเดือนแรกทั้งสองแม่ลูกก็ดูเงียบๆ ติ๋มๆ ดีอยู่หรอก แต่พอเข้าเดือนที่สี่ ทั้งสองแม่ลูกก็เริ่มออกลายวางท่าเป็นใหญ่ในบ้าน ขนาดป๊าฉันยังยอมก้มหัวให้ไม่กล้ามีปากเสียง ชีวิตสุขสงบของฉันเริ่มถูกสองแม่ลูกนี้เข้ามาก่อความวุ่นวายจนไม่สามารถอยู่ร่วมชายคาเดียวกันได้ ฉันเลยออกมาเช่าคอนโดอยู่เองคนเดียวและหลังจากนั้นแหละที่ฉันเริ่มได้เพลย์เยอร์เป็นเพื่อนสนิทตอนเรียนปีหนึ่งด้วยกัน
“ศัตรูหัวใจ ใช้คำได้ดีนี่” ฉันแสยะยิ้มสำทับคำพูด
“ขอบคุณที่ชมค่ะ พอดีว่าแพรฉลาดอยู่แล้ว” ฉันเกลียดรอยยิ้มนางฟ้าบนใบหน้าเธอ รอยยิ้มที่ใครๆ เห็นต่างก็หลงรักและชื่นชมเธอไปเสียหมด รวมทั้ง ‘ผู้ชาย’ ของฉัน ก็นะ ผ้าแพรเป็นคนสวย ยิ้มหวาน แต่นั่นมันก็แค่เปลือกนอกที่ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่อย่างฉันเท่านั้นที่ดูออก
“ว่าธุระเธอมาดีกว่า โผล่หน้ามาที่นี่คงมีเรื่องจะคุย” ฉันไม่อยากยืนเสวนากับผู้หญิงคนนี้นานๆ เส้นความอดทนของฉันมันมีขีดจำกัด ยิ่งเห็นหน้าเธอฉันก็ยิ่งหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อหนึ่งปีก่อน เรื่องที่เป็นต้นเหตุให้ฉันกับการ์เซียต้องถอนหมั้นและห่างกัน
“ก็ดีเหมือนกัน แพรเองก็อึดอัดเวลาเราอยู่ด้วยกันสองคน” ผ้าแพรเหยียดยิ้มร้ายประกอบคำพูด ต่อหน้าฉันเธอไม่จำเป็นต้องตีสองหน้า และฉันเองก็ไม่เคยตีสองหน้าทั้งต่อหน้าและลับหลังใครเหมือนเธอ
“...” ฉันเงียบเพื่อรอให้ผ้าแพรพูดธุระของเธอออกมา
“แพรขอคุณพ่อย้ายมาเรียนที่นี่”
คิ้วฉันกระตุกยิกๆ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นี่ต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ ย้ายจากเมืองนอกเพื่อกลับมาเรียนมหาลัยเดียวกันกับฉันเนี่ยนะ
“ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ใช่ไหมคะ ว่าคุณพ่อท่านตามใจแพรแค่ไหน”
ใช่ ไม่ต้องเสนอหน้าบอกฉันก็รู้ ป๊าหลงสองแม่ลูกนี้จะตาย ที่ฉันเคยบอกไว้ว่าไม่ค่อยกลับบ้านใหญ่บ่อยๆ ก็เพราะสองแม่ลูกนี้ยังไงล่ะ มีสองคนนี้อยู่ที่ไหน ฉันขี้เกียจใช้อากาศหายใจร่วมกัน มันเป็นมลพิษ!
“เอาเนื้อๆ ไม่ต้องไปทะเล” ฉันเริ่มที่จะเบื่อกับการยกตนข่มท่านของเธอ
ผ้าแพรชอบพยายามพูดข่มฉันตลอด เวลาเธอได้สิทธิพิเศษอะไรจากป๊าแล้วฉันไม่เคยได้ เธอมักจะมาพูดกล่อมหูฉันว่าป๊ารักเธออย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเธอเองไม่ได้มีสายเลือดของป๊าฉันอยู่ในตัวเลยสักนิด แค่กาฝากที่มาพร้อมกับแม่ของเธอเท่านั้นเอง!
“ก็ได้ค่ะ แพรจะได้ไปหาคนที่แพรคิดถึงมากที่สุด”
“ผ้าแพร!” ฉันตะหวาดลั่น ถึงแม้ในใจลึกๆ จะรู้ว่าเธอแค่กำลังปั่นประสาท แต่ฉันทนเห็นใบหน้าสวยที่ปั้นยิ้มเยาะเย้ยฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ
“อุ๊ย! นี่ขนาดยังไม่เอ่ยชื่อ พี่ยีนส์ยังโมโหขนาดนี้ แสนรู้จังนะคะ ว่าแพรหมายถึงใคร”
เพียะ!! ไม่รอช้า เส้นอดทนฉันมันขาดสะบั้นลงแล้วเมื่อเธอหลอกด่าว่าฉันเป็นหมา
อันที่จริง ฉันไม่ได้โกรธเรื่องที่หลอกด่าฉันหรอก แต่แค่หมั่นไส้กับใบหน้าแอ๊บแบ๊วไร้เดียงสาตลอดเวลาของเธอมากกว่า บอกแล้วว่าเส้นความอดทนของฉันมันมีจำกัด และฉันกำลังจะพิสูจน์อะไรบางอย่างด้วยเหมือนกัน
“เฮ้ย! ยีนส์”
หมับ!
ฉันมองเจ้าของเสียงนั้นที่มาพร้อมแรงกระชากที่ข้อมือฉันเพื่อให้ถอยออกมาจากร่างน้องสาวสุดที่รักของเขาอีกคน
“ทำไมต้องรุนแรง” การ์เซียบีบข้อมือฉันแรงขึ้น เขาโกรธที่ฉันตบหน้าผ้าแพร และมันก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ ในสายตาการ์เซีย ถึงแม้เราจะรักกันมากแค่ไหน หมายถึงเมื่อก่อนน่ะนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องของผ้าแพร เขาจะเข้าข้างเธอก่อนเสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
ที่ฉันบอกอยากพิสูจน์อะไรบางอย่างก่อนจะตบหน้าผ้าแพรเพราะฉันเห็นมีเงาตะคุ่มๆ อยู่หลังต้นไม้ใหญ่นั่นยังไงล่ะ ตอนแรกก็ไม่มั่นใจหรอกว่าเป็นการ์เซีย แต่พอเห็นนิ้วนางข้างซ้ายที่มีแหวนสวมอยู่ คล้ายๆ กับคนที่ใช้ต้นไม้บังร่างอยู่ต้องการบอกให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น กำลังจับตามองเราทั้งคู่อยู่ฉันเลยมั่นใจ และทำตามใจปรารถนา
“ถ้ายีนส์พูด เฮียจะเชื่อมั้ย?” ฉันสะบัดมือออกจากมือหนาที่บีบข้อมือฉันไว้แรงระดับหนึ่งพร้อมเหลือบมองรอยแดงปื้นใหญ่รอบข้อมือตัวเองก็ได้แต่แค่นหัวเราะในใจ
การ์เซียบอกไม่ชอบให้ร่างกายฉันมีรอยแผลหรือรอยช้ำเหมือนกับตอนที่ฉันได้รอยสักบนแขนขวาในตอนนั้น แต่วันนี้เขากลับเป็นคนทำมันเอง น่าขำมั้ยล่ะ?
“เฮียการ์เซียอย่าดุพี่ยีนส์เลยนะคะ”
ฉันยืนมองผ้าแพรที่รุดเข้าไปสวมกอดวงแขนการ์เซียเอาไว้ ฉุดดึงไม่ให้เขาเข้ามาทำร้ายฉันอีกครั้ง แสนดีจริงๆ น้องสาวต่างสายเลือดของฉัน
“ไปล่ะ คงไม่ต้องอธิบาย ในเมื่อหลักฐานคาตา”
ฉันพูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก็หันหลังให้ทั้งสองคน เดินออกมาจากพื้นที่ที่ฉันไม่อยากใช้อากาศหายใจร่วมกับหล่อนสักเสี้ยวนาที
“เดี๋ยว!” ยังก้าวไม่ถึงสามก้าว การ์เซียก็เรียกให้หยุด
“ผ้าแพรบอกมีเรื่องขอคุยส่วนตัวต่อ” ฉันเหยียดยิ้มหยันให้กับคำพูดประโยคนั้น
ยัยนั่นไม่ยอมจบง่ายๆ สินะ ได้เลยผ้าแพร ในเมื่อคิดถึงพี่สาวคนนี้มาก อยากคุยนักเดี๋ยวฉันจัดให้ “มีอะไรว่ามา” ฉันเดินกลับไปหาผ้าแพรตามที่การ์เซียบอก
“แพรแค่อยากจะขอความมั่นใจ ว่าเกมของเรายังไม่จบใช่ไหมคะ”
ฉันแสยะยิ้มเมื่อได้ยินคำถามนี้ของเธอ “มันก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเธอทำได้กี่ข้อแล้วล่ะ” ฉันถามกลับโดยไม่จำเป็นต้องตอบคำถามก่อนหน้า ผ้าแพรหน้าซีดไปนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้ยังทำไม่สำเร็จสักอย่าง แต่แพรมั่นใจว่าไม่เกินเจ็ดวันหลังจากนี้แพรต้องได้รอยสักจากเฮียการ์เซียแน่นอน” ฉันได้ฟังถึงกับแค่นหัวเราะในใจ
ไม่รู้ว่าน้องสาวต่างสายเลือดคนนี้เธอไปเอาความมั่นหน้ามาจากไหน แต่ไม่เป็นไรฉันแฟร์ๆ อยู่แล้ว ในเมื่อเธอหน้าด้านกล้าขอเวลาฉันอีกหนึ่งสัปดาห์ฉันก็จะให้
“ตามนั้น ไปล่ะ!” ประโยคแรกฉันพูดกับผ้าแพร แต่ท้ายประโยคฉันหันไปมองหน้าการ์เซียที่ยืนอยู่ห่างๆ พร้อมกับโบกมือลาเขา
ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ฉันให้โอกาสผ้าแพรเล่นเกมนี้ เธอไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยสักอย่าง เพราะยังไงซะการ์เซียก็ไม่มีวันทรยศฉัน นั่นคือความมั่นใจของฉันต่อตัวของคนรักอย่างการ์เซีย