บท
ตั้งค่า

Ep.9 Mother of your son

ฉันส่ายหัวเพื่อที่จะสละเอาความคิดอะไรไร้สาระนั่นออกไป ก่อนเดินกลับเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อตั้งใจศึกษาหาความรู้ใส่ตัว มันคงจะมีประโยชน์มากกว่า

ภายในห้องฉุกเฉินที่หมอทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวาย หมอตุลย์กับหมอตี๋กำลังนั่งวินิจฉัยอาการของคนไข้รายหนึ่ง ส่วนพี่หมอกันต์ก็ทำแผลให้กับคนเจ็บอีกราย

“เสร็จแล้วครับ ยังไงอย่าให้แผลโดนน้ำสัก 7 วันนะครับ ผิวหนังจะได้สมานกันได้ง่าย” เขาให้คำแนะนำ ก่อนที่บุรุษพยาบาลจะเข้ามาพยุงและพาออกไปรับยาที่ด้านนอก พี่กันต์รีบรามือพลางหันมามองหน้าฉันนิ่ง ๆ จนแอบเขินอยู่บ้าง

“คนไข้เยอะเลยเหรอคะ” ฉันเอ่ยทักทายทันทีที่เดินเข้าไปหา

“ห้องฉุกเฉินก็แบบนี้แหละมิรา และที่พี่เลือกให้เรากับวีโอเลตมาฝึกที่นี่ ก็เพราะมันจะสอนประสบการณ์จริงให้ได้มากกว่าที่อื่น ๆ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าคนเจ็บหรือคนไข้เป็นอะไรมา การวินิจฉัยจึงต้องไวและทันเวลา” พี่กันต์อธิบายต่อพลางสบตากับฉัน

“แต่บางทีอยู่แต่แผนกฉุกเฉินแค่แผนกเดียว มันก็ดูไม่น่ายุติธรรมสำหรับพวกนักศึกษาคนอื่น ๆ เหมือนกันนะ หวังว่าหมอกันต์จะไม่เห็นแก่ตัวมากเกินไป” เสียงของหมอตี๋พูดกระแทกขึ้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนที่เขาจะเดินออกประตูเพื่อจะพักกลางวันตามเวลาทำงานของตัวเอง

พี่กันต์ก็ได้แค่ทำหน้านิ่ง ๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของพี่หมอตี๋ แต่ฉันก็แอบที่จะเก็บมาคิดไม่ได้

“ไม่ต้องไปสนใจหรอก ตอนนี้ใครทำอะไรก็ไม่ดีในสายตามันไปหมดนั่นแหละ” พี่หมอตุลย์พูดขึ้นและตบไหล่ของพี่กันต์เบา ๆ

“แต่อย่างน้อยมันควรจะจำให้ได้นะ ว่าน้องมิราเป็นคนช่วยให้ได้ทำงานที่นี่ต่อ” เขาพูดอย่างส่ายหน้า

“การฝึกงานครั้งนี้เป็นเพียงแค่การเรียนรู้งานเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่การเรียนภาคปฏิบัติในช่วงปีสามที่ต้องวนไปทุก ๆ แผนก เพราะงั้นหมอกันต์ก็ทำถูกแล้วละ” อีกฝ่ายยิ้มให้เราอย่างจริงใจ

“ผมก็เข้าใจ ๆ” หมอตี๋พูดเสริม

“มิราก็ไม่ต้องคิดมากล่ะ หมอตี๋มันก็เป็นคนนิสัยแบบนี้นั่นแหละ” ก่อนพี่หมอตุลย์จะหันมาพูดกับฉัน

ฉันก็ยิ้ม ๆ รับ

“เออว่าแต่วีโอเลตเป็นไงบ้าง เห็นมิราไลน์บอกพี่ว่าเพื่อนท้องเสียหนัก” พี่หมอกันต์เอ่ยถามถึงอาการของคนที่ปกติจะมาเสนอหน้าอยู่ข้าง ๆ ฉันแล้ว

“ตอนนี้หนูให้นอนพัก ทานเกลือแร่ แล้วต้มข้าวต้มอ่อน ๆ ให้แล้ว คิดว่าพรุ่งนี้น่าจะหายดีแล้วละค่ะ” ฉันตอบไปตามตรง ซึ่งทั้งพี่ตุลย์และพี่กันต์ก็พยักหน้ารับ

“ว่าแต่พี่ยังไม่ได้ชมเราเลยนะ เรื่องที่ช่วยชีวิตคุณครูซเอาไว้น่ะ นี่ถ้าเป็นพี่ตอนเรียนหมอปีสองคงทำอะไรแบบนั้นไม่ได้แน่ ๆ” แล้วพี่หมอตุลย์จึงหันมาพูดคุยกับฉันมากขึ้น

ในช่วงแรก ๆ ที่ฉันมาที่นี่ อีกฝ่ายดูพูดน้อยที่สุดเพราะค่อนข้างขี้อาย แต่พอเราสนิทกันมากขึ้น เขาก็เริ่มชวนคุยและพูดเรื่องเกี่ยวกับโรงพยาบาลให้ฟัง

“โชคดีว่าวันนั้นมิราอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องแพ้ยาและวิธีช่วยเหลือเบื้องต้นมาพอดี เลยพอจะทำได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ” ฉันตอบไปตามจริงอย่างไม่ได้ถ่อมตัว เพราะยังไม่สามารถรักษาคนไข้ได้ด้วยความรู้ที่มีเพียงแค่ในตำราเรียน ทั้งประสบการณ์ที่น้อยกว่าพวกหมอรุ่นพี่ รวมไปถึงใบอนุญาตทางการแพทย์อีกด้วย

“ก็เพราะว่าเก่งหัวไวแบบนี้สินะ ทางคุณครูซกับอาจารย์หมอถึงได้ให้พวกเราสอนเป็นพิเศษ” พี่หมอตุลย์พูดเรื่องที่ฉันยังไม่เข้าใจมากเท่าไหร่

“เดี๋ยวพี่อธิบายให้เราฟังทีหลังละกันนะ” พี่หมอกันต์ที่เห็นหน้าของฉันงง ๆ จึงรับปากยิ้ม ๆ

วี่... วอ... วี่... วอออออ ไม่นานเสียงรถฉุกเฉินก็ดังขึ้น ทำให้พวกเราต่างแยกตัวไปเตรียมรับมือกับคนเจ็บที่กำลังจะมาถึง...

ก็อย่างที่เคยบอกว่าแผนกฉุกเฉินแห่งนี้ไม่เคยว่างได้นานเลยจริง ๆ

“พี่ลืมบอกเลยว่าวันนี้สวยกว่าทุกวันนะ” พี่หมอกันต์หันมาพูดกับฉันเมื่อพวกเราส่งคนเจ็บทั้งหมดไปยังแผนกที่รับช่วงต่อเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งตอนนี้ก็เลยเวลากินข้าวเที่ยงมาสักพัก แต่ด้วยงานที่ติดพันทำให้ทุกคนไม่สามารถเดินออกไปไหนได้เลย

“ขอบคุณนะคะ” ฉันยิ้มรับทันที

“แต่ว่าผมยุ่งหมดแล้ว งานที่นี่คงหนักเกินไปสินะ” พี่กันต์ค่อย ๆ เอามือปัดเส้นผมของฉันให้เข้าที่ รวมถึงจับไปด้านหลังใบหูให้อย่างอ่อนโยน

“ไปกินข้าวกันเถอะ” เขาถอดเสื้อกาวน์ออก ก่อนจะเรียกให้ฉันเดินตามออกไป

“ทำงานหนักแล้วเราก็ต้องหาอะไรดี ๆ ตอบแทนร่างกายเช่นกัน” พี่หมอกันต์พาฉันเข้ามาแวะกินร้านอาหารญี่ปุ่นที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก

เพราะว่าถ้ามีเหตุฉุกเฉินอะไร เราจะสามารถวิ่งกลับไปได้ทันเวลา

แต่แล้วพนักงานก็พาฉันกับพี่กันต์มานั่งโต๊ะที่เยื้อง ๆ กับครูซ

“นาย…” นั่นทำให้ฉันแอบตกใจนิดหน่อย

ซึ่งพอพี่กันต์เห็นก็ก้มหัวลงเล็กน้อย และเราสองคนก็นั่งโต๊ะเพื่อจะสั่งอาหาร

หลังจากที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตากินจานของใครของมัน

ส่วนบทสนทนาก็มักจะเป็นเรื่องการรักษา โรงพยาบาล หรือเรื่องที่ต่างรู้เหมือน ๆ กัน สนใจอะไรคล้าย ๆ กัน

ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่... แต่แค่ได้กินข้าวกับพี่กันต์แบบนี้ ฉันก็มีความสุขแล้ว... ใช่ไหม

“ขอสลัดผักสด ไม่ต้องใส่น้ำสลัดมานะ มันอ้วนน่ะ” ผู้หญิงในชุดพยาบาลเดินตรงเข้ามาสั่งกับเด็กเสิร์ฟ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ครูซที่ก้มหน้ากดแต่โทรศัพท์ แล้วทำไมฉันต้องแอบไปสอดส่องเรื่องของหมอนั่นด้วยล่ะ ฉันควรจะสนใจคนตรงหน้ามากกว่าสิ

“รับชาเขียวหรือเครื่องดื่มน้ำอัดลมเพิ่มไหมครับ” พนักงานในร้านถามฉันกับพี่กันต์ เมื่อน้ำเปล่าบนโต๊ะหมดลง

“ไม่ละครับ ขอเป็นน้ำเปล่า ไม่ต้องใส่น้ำแข็งนะ” พี่หมอกันต์บอกกับไป

“สองแก้วเลย” ก่อนพูดต่อและยิ้ม ๆ ให้ฉัน

“น้ำเปล่านี่แหละมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด” อีกฝ่ายพูดอย่างมีทัศนคติซึ่งมันตรงกับที่ฉันคิดไว้เป๊ะ

ทว่าบรรยากาศบนโต๊ะที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับมื้อเย็นของเมื่อวาน แอบทำให้ฉันรู้สึกถึงความแตกต่าง

พี่พยาบาลคนนั้นเองก็เหลือบมามองทางนี้เล็กน้อย เชื่อไหมว่ามันรู้สึกเหมือนเธอน่าจะมีอะไรบางอย่างกับฉัน

CRUZ PART

ผมเห็นยายเด็กปั้นของตัวเองกำลังออกเดตกับผู้ชายมาดหมอที่เธอแอบปลื้มแล้วรู้สึกขัดใจชะมัด

ช่างเป็นการเดตที่จืดชืดและน่าเบื่อที่สุด เท่าที่เคยเห็นมาเลย

ขนาดผมนั่งกินข้าวคนเดียวยังรู้สึกดีกว่าสองคนนี้ออกเดตกันด้วยซ้ำมั้ง

ในขณะที่ผมก็นั่งเซ็ง ๆ กับสาวตรงหน้าซึ่งทานอาหารได้แค่สลัดจืด ๆ เพื่อรักษาหุ่นของตัวเอง

พร้อมกับเรื่องชวนคุยที่มีเพียงแค่ลิสต์ของแบรนด์เนม รถยนต์ กระเป๋า หรือรองเท้าที่เธอต้องการเท่านั้น

ตัวผมเองไม่เคยจริงจังกับใครทั้งนั้น สาวพยาบาลตรงหน้าเราก็เพิ่งเจอกันเมื่อตอนเข้าโรงพยาบาล แต่ถ้ารวมเรื่องที่เราสนุกกันบนเตียง คงนับไม่ถ้วนแล้วจริง ๆ

“ฉันเบื่ออะ ขอตัวก่อนนะ” จากนั้นจึงพูดขึ้นแบบไม่ใส่ใจอะไรพร้อมลุกจากโต๊ะ ขณะที่พยาบาลสุดสวยกำลังนั่งทานสลัดของเธออย่างหิวโหย

แล้ววางบัตรเครดิตเอาไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินออกมาทันทีอย่างเซ็ง ๆ

“ฟู่ววว” ผมถอนหายใจด้วยอาการเบื่อหน่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

สักพักจึงกลับมานั่งประจำที่ห้องทำงาน และพยายามคิดโครงการพัฒนาโรงพยาบาลโดยเอาความรู้ของตัวเองนั่นแหละมาใช้

ก๊อก ๆๆๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

“เข้ามาได้” ผมตะโกนตอบไป

แต่พอประตูเปิดออกมา…

“คุณย่า” ผมยกมือไหว้และเดินไปรับท่านแทบไม่ทันเลยจริง ๆ

“ไม่เจอนานเลยนะ ตาครูซ” คุณย่าเดินถือกระเป๋าสานแบบพวกคุณหญิงคุณนายมาทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน

จริง ๆ แล้วคุณย่าท่านเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของคุณปู่ จึงมีศักดิ์เป็นย่าของผมด้วยอีกคน

“ธุรกิจโรงพยาบาลไปได้สวยเลยละสิลูก” ท่านเอ่ยทักทายและมองไปยังถ้วยรางวัลต่าง ๆ ภายในห้อง

พวกพนักงานเอามาประดับบารมีผมไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงมันควรอยู่ในห้องทำงานคุณปู่มากกว่า แต่ติดตรงที่มันเต็มจนล้นห้องแล้วน่ะสิ

“ฝีมือคุณปู่ทั้งนั้นแหละครับย่า” ผมตอบไปอย่างยิ้ม ๆ

“เราก็เก่งไม่แพ้ปู่หรอก ตาครูซ” คุณย่ายังเอ่ยชมผมไม่หยุด

“พอดีย่าแวะเยี่ยมยายซินน่ะ แต่ถามอาจารย์หมอแล้ว เขาบอกว่าครูซเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลก็เลยเดินขึ้นมาหา”จากนั้นก็ยกขนมไทย ๆ มากมายวางไว้บนโต๊ะของผมจนเต็มไปหมด

“อันนี้ก็ของฝากลูก” ท่านพูดอย่างมีความสุข

“ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้ด้วยความเคารพนบน้อม เพราะคุณย่าค่อนข้างจะเป็นคนเป๊ะ ๆ และดุอยู่นิด ๆ

แต่ท่านก็ดุจนคุณปู่ผมได้ดีมาถึงทุกวันนี้นั่นแหละ เห็นปู่เล่าให้ฟังน่ะ

“แล้วซินอาการเป็นไงบ้างเหรอครับ” ผมเอ่ยถามออกไปตามมารยาท เพราะเอาจริง ๆ แทบไม่เคยคุยกับซิน หรือหลานสาวคนโปรดของคุณย่าท่านหรอก

ถ้าเคยเจอก็คงเป็นพี่ไคล์ แต่แค่เคยเล่นด้วยกันตอนเด็ก ๆ เท่านั้น

“ยายซินอาการดีขึ้นแล้วละ ถึงยังไม่อยากให้ใครเข้าไปเยี่ยม แต่ก็คุยได้มากขึ้นนะ เมื่อกี้เราคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย” คุณย่าเล่าด้วยรอยยิ้ม

เท่าที่ผมทราบคือหลานสาวของท่านช็อกจนเสียสติ และรักษาตัวที่แผนกจิตเวชในโรงพยาบาลเรา แต่ก็ยังไม่เคยไปเยี่ยมเธอ

“แล้วพี่ไคล์ล่ะครับ ผมไม่ได้เจอเฮียแกนานมาก” ผมเอ่ยถามถึงเฮียในวัยเด็กของตนเอง

“รายนั้นน่ะ แยกตัวไปสร้างธุรกิจเองที่เชียงใหม่ ย่าไปง้อเท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลับมา” คุณย่าพูดอย่างนอยด์ ๆ ให้ผมฟัง

“เออนี่ แต่เฮียเราเขามีข่าวดีแล้วนะ เพราะภรรยาตั้งครรภ์แล้ว” สักพักก็ยิ้มออกมาตามประสาคนสูงวัยที่กำลังจะได้อุ้มหลาน

“จริงเหรอเนี่ย ถ้าผมว่างคงต้องรีบขึ้นไปยินดีกับเฮียสักหน่อยแล้ว” ผมพูดด้วยความดีใจกับสมาชิกที่กำลังจะเพิ่มเข้ามาเป็นครอบครัวใหญ่ของตัวเอง

“ไม่ต้องหรอก เพราะว่าย่าบังคับให้ทั้งคู่มาเตรียมตัวคลอดที่โรงพยาบาลเรานี่แหละ” คุณย่าเอ่ยปากอย่างจอมเผด็จการเช่นเคย ๆ

“จริงเหรอเนี่ย” ผมยังแอบขำ ๆ กับท่าทีของแกเลยในบางครั้ง

“ก็ย่าไม่วางใจคุณภาพของโรงพยาบาลที่อื่นหนิ ว่าแต่เราเถอะ ฝากเตรียมหมอฝีมือดีและก็ห้องสวย ๆ ให้พี่สะใภ้ด้วยนะ”

“แน่นอนครับคุณย่า ผมจะจัดเตรียมทุกอย่างให้เต็มที่และดีที่สุด” ก่อนตอบกลับไปอย่างยินดีปรีดา

“พี่สะใภ้ต้องสวยมากแน่ ๆ ถึงหยุดเฮียไคล์ได้ ผมล่ะอยากเจอจริง ๆ” จากนั้นจึงหลอกถามเอาจากคนตรงหน้า

“สวยอยู่แล้วละ ไม่งั้นย่าให้คบกับตาไคล์หรอก หลานย่าจะต้องหน้าตาดีกันทุกคน” อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ

“ว่าแต่เราเถอะ มีกับเขาบ้างรึยังล่ะ ตัวจริงน่ะ” คุณย่าได้ทีก็ถามผมด้วยท่าทีที่จริงจังมากทันที

“ผมยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอกย่า” ผมส่ายหน้าตอบไป

“ย่าน่ะเคยผิดพลาดทั้งกับซินและไคล์ จนตาไคล์เกือบไม่มีความสุขมาแล้ว เพราะฉะนั้นย่าคงไม่กล้าไปบังคับหรือสั่งสอนหลานคนอื่นหรอก” ท่านเอ่ยยิ้ม ๆ แม้นัยน์ตาจะมีความเศร้าแฝงอยู่บ้าง

“ความรักน่ะ มันคงบังคับอะไรกันไม่ได้จริงนั่นแหละ ย่าขอแค่ครูซเลือกคนที่ทำให้มีความสุข มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม และอย่าลืมว่าอีกฝ่ายก็คือแม่ของลูกเราในอนาคต เพราะงั้นดูคนดี ๆ ล่ะ” เสียงแหบพร่าเอ่ยสั่งสอนผมตามภาษาคนสูงวัยที่อยากจะขอบ่นหรือสอนเรื่องดี ๆ ให้แก่ลูกหลานนั่นแหละ ซึ่งผมเข้าใจดี

“เจอหลานแล้วก็คิดถึงเจ้าน้องชายซะจริง เดี๋ยวย่าบอกให้คนขับรถวนไปบ้านเราสักหน่อยดีกว่า ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง” คุณย่าหยิบกระเป๋าและลูบหัวของผมอย่างเอ็นดู เหมือนตอนสมัยยังเป็นเด็ก

“งั้นผมไปส่งนะ” จากนั้นก็เดินไปส่งท่านถึงที่รถ

“คนที่มาจะมาเป็นแม่ของลูกงั้นเหรอ” ผมแอบทวนคำพูดของย่าภายในใจ

เชื่อไหมว่าผมไม่เคยคิดถึงเรื่องมีลูกหรือครอบครัวเลย จนกระทั่งผู้หญิงคนนี้เข้ามาตอกย้ำ

‘ถ้ายังสูบบุหรี่ วันนี้อาจจะไม่รู้สึกอะไรนะ แต่ในวันที่มีลูกน่ารัก ๆแต่กลับไม่มีโอกาสได้อยู่ดูแลจนเขาเติบโต แล้วนายจะเสียใจ’ คำพูดนั้นจู่ ๆ ก็ดังขึ้นมาในหัวของผม

“ยายจืด...”

“ไม่ ๆๆ ...นี่กำลังคิดอะไรบ้า ๆ เนี่ยครูซ แบดบอยเท่ ๆ อย่างเรากับยายหมอที่กินหนังสือเป็นอาหารเนี่ยนะ” ก่อนพยายามสะบัดความคิดที่แปลก ๆ นั่นออกไป และเอามือทุบ ๆ อยู่แบบนั้น

“เป็นอะไรอะ นายปวดหัวเหรอ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel