ตอนที่ 2
“เข้าใจสิคะ” ฉันระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย ถึงปากจะบอกว่าเข้าใจแต่ฉันก็อดที่จะรู้สึกหน่วงไม่ได้
นับวันระยะห่างของเรามันก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น ฉันไม่รู้หรอกนะว่านี่เป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ของเต้ต้องการหรือเปล่า ที่พยายามทำให้เราสองคนห่างกัน บางทีมันอาจจะไม่มีอะไร แต่ฉันก็อดที่จะคิดแบบนี้ไม่ได้
“แล้วเนโกะล่ะจะไปเรียนต่อโทที่ต่างประเทศหรือเปล่า” เต้ย้อนถามกลับมา
ฉันผ่อนลมหายใจเล็กน้อยอย่างไม่รู้จะพูดยังไง
“ตอนนี้เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอนาคตตัวเองแล้วล่ะค่ะ”
นี่ฉันไม่ได้ประชดหรอกนะ แต่ฉันพูดความจริงต่างหาก ในอนาคตอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับว่าโชคชะตาจะดลบันดาลให้ชีวิตฉันดำเนินไปในทางที่ดีหรือไม่ดี
“ไม่ต้องเครียดนะ ถ้าเต้ทำงานมีเงินเยอะๆ เมื่อไหร่เต้จะสานฝันให้เอง”
ยิ่งเขาพูดแบบนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นภาระที่ทำให้เขาลำบาก
“อย่าลำบากเลยค่ะ” ฉันพูดอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะเบี่ยงหน้าเบนออกไปมองนอกรถ โดยไม่หันไปพูดอะไรกับเต้อีก
ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้เขาต้องมาเครียดเรื่องของฉัน
สิ่งที่เขาควรจะให้ความสนใจมากกว่าก็คือเรื่องธุรกิจของครอบครัวเขา
แม้ว่าฉันจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ แต่ฉันก็อยากจะให้เต้เต็มที่กับงานที่อยู่ในความดูแลของเขาเอง
Tru...Tru...Tru
“ว่าไงครับแม่...ผมไปทำธุระให้แม่เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ...อ๋อ ตอนนี้ผมอยู่กับเนโกะน่ะครับ เรากำลังจะไปทานข้าวกัน...อะไรนะครับ”
น้ำเสียงของเต้ที่กำลังคุยสายกับแม่แปรเปลี่ยนไป จนฉันต้องหันไปมอง
ใบหน้าหล่อหันมามองฉัน ก่อนจะลดมือถือลง หลังจากที่คุยกับแม่เสร็จแล้ว
“...”
“คือ...เต้ต้องกลับไปทานข้าวกับที่บ้านน่ะ พอดีเพื่อนแม่แวะมาหา”
เต้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนจะลำบากใจ สีหน้าของเขาดูผิดหวัง ซึ่งก็คงไม่ต่างกับความรู้สึกในใจของฉันตอนนี้
“เต้กลับไปหาแม่เถอะค่ะ ไม่เป็นไร ไว้เราไปทานข้าววันอื่นกันก็ได้ จอดรถตรงนี้เลยก็ได้นะคะ เดี๋ยวเรากลับเอง แม่จะได้ไม่รอนาน”
บางทีฉันก็เบื่อที่ตัวเองเป็นมีนิสัยแบบนี้ แต่จะให้ทำยังไงได้ ฉันก็ไม่กล้าพอที่จะรั้งเขาเอาไว้หรอก ยิ่งแม่เขาไม่ชอบฉันอยู่ด้วย
ขืนไปรั้งไว้ก็พาลจะทำให้ครอบครัวของเขาไม่ชอบฉันหนักเข้าไปอีก แถมอาจจะมองว่าฉันเป็นคนไร้มารยาทด้วย
“ไม่ได้ เดี๋ยวเต้ไปส่งที่บ้าน”
ไม่รอให้ฉันทักท้วงอะไรเต้ก็ขับรถเปลี่ยนเส้นทางเพื่อไปที่บ้านของฉัน
ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนรถด้วยกันเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลย ลำคอของฉันเหมือนมีก้อนแข็งๆ จุกอยู่ที่คอ
ความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นมันมีแต่ความผิดหวัง
ทั้งๆ ที่คิดว่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้...
Tru...Tru...Tru
“ครับแม่...ผมกำลังไปส่งเนโกะที่บ้านครับเดี๋ยวกลับ...ผมรู้แล้วแหละน่า ยังไงก็ไปทันตั้งโต๊ะอยู่แล้ว”
ฉันสังเกตน้ำเสียงของเขาได้เลย ว่าตอนนี้เต้กำลังหงุดหงิดกับแม่ของตัวเองมากแค่ไหน ซึ่งฉันก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเขา
ถูกโทรจิกแบบนี้เป็นใครๆ ก็หงุดหงิด
“จอดหน้าปากซอยก็ได้ค่ะ รีบกลับบ้านเถอะเดี๋ยวแม่จะโมโหเต้นะ” ฉันรีบเอ่ยออกมาเมื่อรถกำลังขับเคลื่อนมาถึงหน้าปากซอยทางเข้าบ้านของฉัน
ดวงตาคมหันมาเหล่มองอย่างชั่งใจ
“ถ้าเข้าบ้านแล้วโทรหาเต้ด้วยนะ”
เมื่อไม่มีตัวเลือกอะไรให้เลือกมากนักเต้จึงทำตามที่ฉันบอก รถยนต์คันหรูของเขาจอดเทียบฟุตบาตหน้าป้ายรถเมล์เพื่อให้ฉันเปิดประตูลงไป
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ กลับบ้านดีๆ นะ” ฉันพูดล่ำลาเต้พร้อมด้วยรอยยิ้มฝืนๆ หลังจากที่เปิดประตูก้าวลงมายืนบนพื้น
“ครับ”
คำตอบรับสั้นๆ ถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนา ก่อนที่เขาจะขับเคลื่อนรถออกไป ฉันมองตามรถของเขาจนกระทั่งมันหายลับตาถึงได้เดินเข้าซอยบ้านตัวเอง
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีฉันก็เดินมาหยุดยืนที่หน้าบ้านของตัวเองที่เปิดไฟสว่างจ้าทั่วทั้งตัวบ้าน
แต่ที่มันดูแปลกไปก็คงจะเป็นเพราะมีรถกระบะและรถตู้จอดขวางอยู่ด้านหน้า อีกทั้งยังมีพวกข้าวของเครื่องใช้ที่ฉันจำได้ดีว่าเป็นของในบ้านตัวเองตั้งอยู่บริเวณทางเข้าบ้าน บางส่วนก็ถูกยกขึ้นไว้บนรถกระบะ
ภาพที่เห็นทำให้ฉันรู้สึกใจคอไม่ดี ถึงได้รีบก้าวท้าวเดินดุ่มๆ เข้าไปด้านใน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้าไปก็พบกับชายฉกรรจ์นับสิบที่กำลังพยายามยกข้าวของต่างๆ ในบ้านออกมาตั้งไว้กลางโถง
สภาพข้าวของกระจัดกระจายวางเกลื่อนดูไม่มีชิ้นดี ไม่ต้องมีลางสังหรณ์อะไรฉันก็สามารรู้ได้ด้วยตัวเองว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาดีแน่
แต่ว่าพวกนี้คือใครกัน? ฉันก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรกับใครที่ไหนซะหน่อย
ดวงตากลมโตของฉันกวาดมองไปรอบๆ บริเวณ กระทั่งสายตาสบปะทะกับดวงตาของผู้เป็นพ่อ
“พะ...”
“ผู้หญิงคนนี้คือใคร”
ฉันกำลังจะอ้าปากเพื่อเอ่ยถามพ่อของตัวเอง แต่ทว่ากลับมีชายฉกรรจ์หนึ่งในสิบคนนั้นเอ่ยแทรกขึ้นมา
ฉันเบือนสายตาหันไปมองทางเจ้าของเสียง ผู้ชายคนนั้นตัวสูงโปร่ง แถมร่างกายยังหนาและบึกบึนดูน่ากลัว ใบหน้าของเขามีหนวดเคราปกคลุมทั่วสันกราม บริเวณซีกแก้มขวามีรอยบากของบาดแผลขนาดใหญ่
การที่เขาสวมเพียงเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงยีนส์ทำให้ฉันสามารถเห็นรอยสัก และรอยบาดแผลมากมายตามผิวหนังของเขาได้อย่างชัดเจน
เขาดูน่ากลัวจนเท้าเล็กของฉันมันขยับถอยหลังไปเองโดยสัญชาตญาณ
“ลูกสาวฉันเอง อยากได้ก็เอาไป”
แต่ทว่ารูปร่างของชายฉกรรจ์คนนั้น ยังน่ากลัวไม่เท่าคำพูดของพ่อฉันที่พูดออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน...
“พะ...พ่อ ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น คนพวกนี้คือใคร”
ฉันถามพ่อด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ด้วยอาการร้อนรน ในหัวของฉันมันเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“เอาไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
ริมฝีปากสีคล้ำแสยะยิ้มเยาะ
“จะเอาไปทำอะไรก็เชิญ”
ฉันไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย ว่าประโยคนี้มันคือคำพูดของพ่อฉัน
แค่นี้ก็เห็นอยู่รำไรว่าชะตาตัวเองกำลังจะขาด...
