บทย่อ
เมื่อความรักไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนสองคน หากแต่มีคำว่าหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้อง… หนุ่มน้อยหน้าหวานเพิ่งก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นได้เพียงไม่นานนัก ทว่ากลับต้องมาสูญเสียผู้ให้กับเนิดด้วยน้ำมือของ ‘ชายอันเป็นที่รัก’ “ผมรักคนคนหนึ่ง แต่เขากำลังจะฆ่าพ่อของผม” “พี่ขอโทษ” ขอโทษแล้วยังไงล่ะ ในเมื่อหลังจากนั้นพ่อของเขาก็ถูกพรากลมหายใจไปอยู่ดี ภาพเหตุการณ์เลวร้ายยังคงติดตา และตามหลอกหลอนเขาในทุกค่ำคืน จากที่เคยคิดว่าอยากให้อยู่ด้วยกันตลอดไป เห็นทีแม้แต่การร่วมโลกยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จำเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลับมาล้างแค้นทุกคนให้สาสม... #ยูฟ่าภาคิน
บทนำ
บทนำ
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
มือใหญ่ยกขึ้นเคาะบานประตูไม้ตรงหน้าจนเกิดเสียง เพื่อเป็นเชิงขออนุญาตบุคคลที่นั่งอยู่ด้านในห้องแทนการเอื้อนเอ่ย ซึ่งผู้ที่กำลังกระทำเช่นนี้เขามีนามว่า ‘ภาคิน’
ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงโปร่งกำยำ มิหนำซ้ำผิวกายที่โผล่พ้นออกมานอกร่มผ้ายังปรากฏรอยสักอย่างมีศิลปะจนเกือบถ้วนทั่วทุกอณูผิว กระนั้นมันกลับไม่ได้ดูเลอะเทอะ หรือน่าเกลียดอะไร กลับกันสิ่งเหล่านี้ยิ่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของเขาดูน่ายำเกรงมากขึ้นไปอีก
เสื้อแขนกุดสีดำที่ภาคินเลือกนำมาสวมใส่ในวันนี้ทำให้เห็นร่องรอยทุกอย่างเด่นชัด นอกเหนือจากรอยแห่งศิลปะ ก็ยังพบว่ามีบาดแผลทั้งเก่า และใหม่ปรากฏประปรายตามตัว ซึ่งเป็นหลักฐานบ่งบอกว่าชายคนนี้เคยผ่านเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมานับครั้งไม่ถ้วน
และนั่นก็คือหน้าที่ของเขาเอง...
ถ้าให้พูดถึงหน้าตา องค์ประกอบต่าง ๆ ที่หลอมรวมเป็นภาคินล้วนไร้ที่ติ เรียวคิ้วดกดำเป็นทรงสวยพาดเฉียงรับกับนัยน์ตาคู่คมดุจเหยี่ยว ที่มักจะทำให้ใครต่อใครรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้สบประสาน
หากเคลื่อนสายตามองต่ำลงมา ก็จะพบกับจมูกโด่งสันที่อยู่ใกล้ชิดกับริมฝีปากอิ่มหยักลึก เครื่องหน้าทุกอย่างล้วนประกอบเข้ากันได้อย่างลงตัว หนุ่มรูปงามคนนี้เหมือนเป็นประติมากรรมชั้นเลิศที่ถูกออกแบบสร้างมาอย่างประณีต และบรรจง ราวกับว่าเขาคือหนึ่งในลูกรักของพระเจ้าอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าสิ่งที่ดูสะดุดตาบนใบหน้าหล่อเหลา จนพานทำให้คนมองต้องมนต์ไปชั่วขณะ เห็นทีคงจะเป็นรอยสักเล็ก ๆ ใต้หางตาของภาคิน...
“เข้ามา” เสียงทุ้มเข้มก้องกังวานตะโกนสวนกลับมาจากภายในห้อง หลังเสียงเคาะประตูดังขึ้นเพียงไม่นาน
ครั้นได้รับการตอบรับ อุ้งมือใหญ่จึงเอื้อมมือไปจับลูกบิดเหล็กเย็นเฉียบ แล้วออกแรงผลักดันบานประตูให้เปิดกว้าง ก่อนขยับปลายเท้าก้าวเดินเข้าไปด้านใน
ภาคินโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เป็นนาย แล้วจึงนำพาร่างกายสูงใหญ่เคลื่อนย้ายไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน ซึ่งเบื้องหลังมีผู้ชายหน้าตาดีที่รูปร่างไม่แตกต่างกันมากนักกำลังนั่งจดจ้องสายตาตรงมายังเขาอย่างยากจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่าย
“นายเรียกผมมาทำไมครับ” ภาคินเอ่ยถามออกไปด้วยโทนน้ำเสียงทุ้มเข้มตามฉบับ ทว่าแม้แววตานั้นจะเรียบนิ่งเหมือนผืนน้ำที่กำลังสงบ ทว่ากลับดุดันดั่งนักล่า
เขาไม่ต่างอะไรกับปีศาจในร่างมนุษย์...
“ฉันมีงานให้แกทำ” ‘ธันวา’ หรือก็คือเจ้านายของเขาได้พูดเกริ่นจุดประสงค์ออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม
ธันวาเป็นผู้ชายที่อยู่ในช่วงวัยกลางคน กระนั้นใบหน้าหล่อคมคายของเขากลับยังคงดูดีเสมอ สำหรับผู้ชายคนนี้กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยสักนิด เพราะอายุล้วนเป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น
“จะให้ผมไปฆ่าใครอีกล่ะครับ” ภาคินย้อนถามกลับไปในทันที คงจะไม่มีงานอะไรที่ผู้เป็นนายต้องการเรียกใช้ นอกเสียจากว่าอยากให้เขาไปฆ่าคน
พรึบ!
ผู้เป็นนายโยนซองเอกสารสีดำที่อยู่ทางขวามือมาวางไว้บนกึ่งกลางโต๊ะ ภาคินจึงเอื้อมไปหยิบแล้วแกะซองนั้นคลี่เปิดออกดู
สิ่งที่เขานำออกมาแผ่นแรกคือภาพของผู้ชายวัยกลางคน ซึ่งจากที่เห็นบุคลิกภาพภายนอกแลดูภูมิฐานนั้น เขาก็สามารถคาดเดาได้ในทันที ว่าเป้าหมายคงจะเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงพอสมควร
นิ้วเรียวยาวหยิบรูปถ่ายออกมาไล่ดูทีละใบ กระทั่งสายตาพลันสะดุดเข้ากับรูปถ่ายของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ดูแล้วคงเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นได้เพียงไม่นานนัก
ใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มส่งผลให้เขารู้สึกสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น พานทำให้นัยน์ตาคู่คมจ้องมองโดยไม่อาจละสายตาไปไหนได้ ทว่าเวลาผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง ภาคินก็จำต้องสะบัดศีรษะไล่ความคิดบ้าบอที่เกิดขึ้นให้หลุดพ้นออกไปจากสมอง
“ผมต้องฆ่าผู้ชายแก่ ๆ หรือเด็กวัยรุ่นคนนี้”
หลังกวาดมองรายละเอียดจนครบถ้วนดีแล้ว ภาคินจึงเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นนาย พร้อมกับชูรูปถ่ายยกขึ้นให้ดูประกอบ
“ทั้งสองคน” ธันวาตอบออกมาเสียงเรียบเรื่อย
ทำราวกับว่าเป็นคำสั่งงานง่าย ๆ ทั่วไป ทั้งที่จริงแล้วมันกำลังจะทำให้เป้าหมายต้องถูกปลิดชีวิต
“...” ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏความคับข้องใจเด่นชัด เรียวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย
“พูดเล่น แกฆ่าแค่ผู้ชายแก่ ๆ ก็พอ ส่วนเด็กวัยรุ่นคนนั้นถ้าพ่อมันตายเมื่อไหร่ก็ส่งไปขายชายแดนได้เลย”
ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม ผู้เป็นนายก็โพล่งขึ้นมาอีกครั้ง แต่ละประโยคถูกเอื้อนเอ่ยออกมาราวกับมันเป็นเรื่องสนุกสำหรับผู้พูด ทว่าคนที่ถูกหมายหัวเอาไว้คงจะไม่นึกสนุกตาม
“นายพอจะบอกผมได้มั้ย ว่าพ่อของเด็กคนนี้ไปทำอะไรให้นาย” ภาคินถามออกมาอย่างใคร่รู้
อันที่จริงเขาไม่เคยรู้สึกอยากจะสนใจเรื่องราวของเหยื่อเลยสักครั้ง แต่พอเป็นคราวนี้มันกลับแตกต่างออกไปจากทุกที ครั้นรู้ตัวว่าตนเองได้เอ่ยถามเช่นนั้น ก็พานทำให้ภาคินอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
“ทำไมแกถึงรู้สึกสนใจนักล่ะ ปกติฉันมอบหมายงานอะไร แกก็รีบออกไปจัดการทันทีเลยไม่ใช่เหรอ”
ธันวาถามออกมาอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก พลางใช้สายตาจ้องมองไปที่ลูกน้องผู้เป็นมือขวาอย่างจับผิด
“ผมก็แค่ถามเพื่อเป็นข้อมูลจะได้เลือกวิธีกำจัดเหยื่อได้ถูก”
ภาคินโต้ตอบกลับไปในทันที เขาจ้องสบตาผู้เป็นนายโดยไม่คิดจะหลบ และไม่เผยพิรุธใด ๆ ออกไปทั้งสิ้น
“รายนี้คนรู้จักของฉันฝากมา ส่วนตัวก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับสองพ่อลูกคู่นี้หรอก”
ธันวาตอบตามความเป็นจริง เนื่องจากการล่าเหยื่อในครั้งนี้ เป็นคนรู้จักของเขานั่นเองที่ไหว้วานมาอีกทีหนึ่ง
“ถ้างั้นผมไม่รีบนะ มันไม่ใช่งานเร่งด่วนอะไร ถ้าเขาอยากจะให้ผู้ชายคนนั้นตายเร็ว ๆ นักก็ไปจัดการเอาเอง”
ริมฝีปากขยับเอ่ยพูดตามสิ่งที่ตนเองคิดอย่างไม่นึกเกรงกลัว
ถ้าหากเป็นเรื่องของเจ้านาย ยังไงเขาก็ต้องรีบจัดการให้โดยเร็วที่สุดอยู่แล้ว แต่นี่มันงานนอกที่ได้รับการไหว้วานมาอีกที เพราะฉะนั้นเขาก็จะทำมันแบบเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน...
หลังจากได้รับภารกิจใหม่ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาภาคินจึงคอยตามสืบข้อมูลของสองพ่อลูกคู่นั้นโดยละเอียด จนเขาสามารถล่วงรู้ได้ว่าในแต่ละวันสองพ่อลูกเดินทางไปที่ไหนกันบ้าง
ซึ่งในยามนี้ภาคินก็กำลังอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านชานเมือง มันเป็นสถานที่ที่ผู้ชายคนนั้นเดินทางมาเพื่อพูดคุยธุรกิจกับคู่ค้าในวันนี้ เขาเพียงแค่จะมาสังเกตการณ์เอาไว้ก่อน แต่ถ้าหากทางสะดวกเมื่อไหร่ก็จะลงมือกำจัดเหยื่อในทันที เพราะถือว่าโอกาสดี ๆ ได้มาเยือนเข้าแล้ว
การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมือปืนอย่างเขา...
ร่างสูงยืนหลบอยู่ด้านหลังเสาในมุมหนึ่งซึ่งเป็นจุดที่สังเกตเห็นได้ยาก นัยน์ตาคู่คมแอบลอบมองเป้าหมายที่กำลังล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดคุยกับปลายสายอยู่ตรงบริเวณด้านหน้าห้องน้ำ ภาคินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อสอดส่องว่ามีใครเดินผ่านมาแถวนี้หรือเปล่า
ทว่าบรรยากาศรอบกายก็ยังคงเงียบสงบดังเดิม...
หากภาคินต้องการปลิดชีวิตอีกฝ่าย กว่าใครจะผ่านมาทางนี้เขาคงหนีไปได้ไกลแล้ว ครั้นคิดได้ดังนั้น มือใหญ่จึงล้วงปืนออกมาจากด้านในเสื้อ ก่อนจะเพ่งเล็งวัตถุสีดำสนิทไปยังตำแหน่งศีรษะของเป้าหมาย นี่คงเป็นโอกาสที่เขาจะสามารถกำจัดเหยื่อได้ ดังนั้นจึงไม่ควรรอช้าแต่อย่างใด
กึก!
อาวุธชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เมื่อมีอะไรบางอย่างกำลังกระตุกชายเสื้อของเขาอยู่
“พี่ครับ” เสียงเล็ก ๆ ที่เอ่ยเรียกด้วยถ้อยคำสุภาพดังขึ้นอยู่ทางด้านหลัง
ส่งผลให้ภาคินหันขวับไปมองพร้อมสายตาที่เรียบนิ่ง ไม่มีวี่แววแห่งความตื่นตระหนกเลยสักนิด ที่ดันมีคนมาพบเห็นการกระทำที่อุกอาจของเขาในตอนนี้
ครั้นได้มองหน้าชัด ๆ ภาคินจึงรู้ทันทีว่าบุคคลนี้คือเด็กวัยรุ่นผู้ชายที่เป็นลูกของเป้าหมายนั่นเอง...
“ปล่อย” ภาคินขยับปากเอ่ยพูดเสียงลอดไรฟันอย่างดุดัน
พลางปรายตามองชายเสื้อตนเองที่เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังจับเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ที่พี่กำลังถืออยู่นั่นคือปืนฉีดน้ำใช่มั้ยครับ?” ‘ยูฟ่า’ โพล่งถามออกมาอย่างใสซื่อ โดยไม่คิดจะสนใจน้ำเสียงดุดันเมื่อครู่นี้เลยแม้แต่น้อย
“พูดเหี้ยอะไรเกรงใจรอยสักกูหน่อย” ภาคินขมวดคิ้วพร้อมกับบอกออกไปอย่างหัวเสีย
เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องมาเสียเวลาพูดคุยกับเด็กคนนี้ด้วย ทว่ามือหนาก็ยอมลดปืนลงแนบข้างลำตัว
“สงกรานต์ก็ผ่านไปแล้ว ทำไมพี่ยังเล่นปืนฉีดน้ำอยู่อีกล่ะครับ”
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะไม่สนใจสิ่งที่เขาพูดเลยจริง ๆ ริมฝีปากบางเฉียบยังคงขยับพูดออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
“ไปไกล ๆ ไป อย่ามายุ่งกับกูได้มั้ย!”
ความอดทนของเขาใกล้จะหมดลงเต็มที จึงเผลอขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายเล็กน้อย
ยูฟ่ามองจ้องสบตากับภาคินด้วยแววตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ซึ่งมันแตกต่างจากดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยความมืดมิดไร้แสงสว่าง
“ผมเห็นพี่เอาปืนเล็งหัวพ่อผมอยู่ ก็แค่จะบอกว่าพ่อผมไม่ชอบเล่นสงกรานต์หรอกนะครับ” ยูฟ่าบอกออกมาเสียงใส
พานทำให้ภาคินนึกคิดในใจ ว่าเด็กนี่มันซื่อจริง ๆ หรือซื่อบื้อกันแน่ หนักสุดก็เข้าขั้นโง่เง่า...
“ถ้าไม่ถอยออกไปห่าง ๆ กูจะเป่ากะโหลกมึงให้ปลิว” ภาคินพูดขู่ออกมา
นิ้วมือเรียวยาวถูกยกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ เขาหวังสักนิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะเข้าใจประโยคนี้ดี
แต่...เปล่าเลย เด็กนี่มันไม่เคยเข้าใจอะไรสักนิด
“เป่าได้ยังไงล่ะครับ กะโหลกผมไม่ใช่ลูกโป่งนะ” ยูฟ่าเถียงกลับทันควัน มิหนำซ้ำยังต่อท้ายด้วยประโยคที่ทำให้เขาถึงกับหน้าตึง “พี่นี่พูดอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องเลยนะครับ”
“มึงต่างหากที่เข้าใจอะไรยาก” คนตัวสูงปรายมองเด็กหนุ่มด้วยหางตาอย่างเอือมระอา “พังหมด”
ริมฝีปากหยักขยับบ่นพึมพำ เห็นทีวันนี้คงไม่ใช่โอกาสเหมาะที่จะลงมือเสียแล้ว ภาคินเลิกต่อล้อต่อเถียงกับเด็กหนุ่มหน้าหวาน ปลายเท้าหมุนเปลี่ยนทิศทางเพื่อเดินออกมาจากตรงนั้น หากชักช้ากว่านี้เดี๋ยวเป้าหมายที่แท้จริงจะรู้ตัวเอาได้
พรึบ!
ทว่าท่อนแขนกลับถูกมือนุ่มนิ่มจับยึดเอาไว้ ภาคินพรูลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มันทำไมพูดยากพูดเย็นนักนะไอ้เด็กเตี้ยคนนี้
“พี่จะไปไหนครับ” ยูฟ่ารีบเอื้อมมือไปจับที่ท่อนแขนแกร่ง เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินหนีจากไป
“อย่ามายุ่งกับกู!” ร่างสูงรีบสะบัดแขนตนเองออกอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับการถูกแตะเนื้อต้องตัวแบบนี้สักเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ชอบให้ใครมาทำอะไรกับร่างกายของตนเองโดยที่เขายังไม่อนุญาต
นัยน์ตาคู่คมหลุบมองสบประสานกับเด็กหนุ่มอย่างดุดัน แผ่รังสีอำมหิตให้อีกฝ่ายได้สัมผัส เผื่อว่าเด็กคนนี้จะรู้สึกเกรงกลัวเขาเหมือนอย่างคนอื่น ๆ
“ทำไมพี่ต้องมองผมด้วยสายตาแบบนั้นด้วย ผมยังไม่ทำอะไรให้พี่เลยนะครับ” ยูฟ่าถามออกมาพร้อมด้วยสีหน้างงงวย
เครื่องหมายคำถามแทบจะปรากฏประปรายจนถ้วนทั่ว
ภาคินยกมือขึ้นลูบหน้าตนเองเพื่อเรียกสติ และข่มอารมณ์ร้ายกาจเอาไว้ให้ลึกถึงขีดสุด เขาพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินชนไหล่บางออกไป
ยูฟ่าได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ กระทั่งลับสายตา เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะตนเองเล็กน้อย ก่อนเคลื่อนลงมาลูบยังตำแหน่งที่ถูกชนเบา ๆ
จนตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าพี่ชายชุดดำที่ปิดแมสก์ครึ่งซีกหน้าคนนั้นเป็นอะไร ทำไมเพียงแค่ยูฟ่าเอ่ยถามถึงได้แสดงท่าทีฉุนเฉียวออกมาให้เห็นตลอดการสนทนา มิหนำซ้ำยังพูดจาไม่ไพเราะใส่เขาอีก ทั้ง ๆ ที่ยูฟ่าก็พูดดีด้วยทุกประโยค
“สงสัยจะวัยทอง” ยูฟ่าบ่นพึมพำออกมา พลางเบะปากเล็กน้อยด้วยความรู้สึกหมั่นไส้คนที่เพิ่งเดินจากไป
“ยูฟ่า” เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังส่งผลให้เด็กหนุ่มหันกลับไปมอง
“ครับป๊า” ยูฟ่าขานรับในทันที ขณะที่อีกฝ่ายก็กำลังเดินตรงเข้ามาหา
“มาทำอะไรตรงนี้ ป๊าบอกให้อยู่กับพี่บิวไม่ใช่เหรอ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
จะไม่ให้รัก และทะนุถนอมได้อย่างไร ในเมื่อยูฟ่าคือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของเขา
“พี่บิวขอลาออกแล้วครับ เขาเพิ่งเดินออกไปจากโรงแรมเมื่อกี้นี้เอง” ยูฟ่าตอบ พลางมองสบตากับผู้เป็นพ่อ
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ บอดี้การ์ดประจำตัวก็ขอลาออกกะทันหัน และเดินจากไปในทันทีโดยไม่รอให้ซักถามใด ๆ เลยด้วยซ้ำ
เชื่อเถอะว่ายูฟ่าไม่รู้ไม่เห็นจริง ๆ...
“ทำไมรีบร้อนอะไรขนาดนั้น งั้นป๊าจะหาบอดี้การ์ดให้ใหม่ก็แล้วกัน” พ่อของยูฟ่าบอกออกมาอย่างใจดี
เขาจำเป็นต้องจ้างบอดี้การ์ดมาคอยตามดูแลเด็กหนุ่ม เนื่องจากว่าเขาต้องไปทำงานนอกบ้านบ่อยครั้ง จึงไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวให้กับลูกชายมากนัก และที่สำคัญก็เป็นเพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกของตนเอง
เนื่องจากในแวดวงนักธุรกิจมักจะมีการขัดแข้งขัดขาเรื่องผลประโยชน์กันอยู่บ่อยครั้ง บางทีแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเผลอไปเหยียบเท้าใครเข้าหรือเปล่า
ทว่าบอดี้การ์ดที่เขาจ้างให้มาดูแลยูฟ่านั้นส่วนมากก็อยู่ได้ไม่นานสักเท่าไหร่ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กหนุ่มไปทำวีรกรรมอะไรเอาไว้กับเหล่าบอดี้การ์ด พวกเขาถึงได้พากันลาออกในเวลาไล่เลี่ยกันไม่นาน
“ผมขอบอดี้การ์ดสวย ๆ บ้างได้หรือเปล่าครับ” ยูฟ่าลองพูดขอเพื่อหยั่งเชิง
สภาพแวดล้อมรอบตัวของเขาล้วนมีแต่ผู้ชายร่างกายบึกบึนเท่านั้น จึงอยากที่จะมองของสวย ๆ งาม ๆ ให้เจริญหูเจริญตาเสียบ้าง
“อืม เดี๋ยวป๊าคิดดูอีกที” คำตอบนี้ส่งผลให้เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มกว้างออกมาทันที
“ขอบคุณครับ”
“แต่ถ้าจ้างบอดี้การ์ดผู้หญิงมา เขาจะดูแลยูฟ่าได้เหรอ”
ผู้เป็นพ่อย้อนถามหลังฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ สำหรับเขายังไงผู้ชายย่อมดูแลปกป้องได้ดีกว่าอยู่แล้ว
“เดี๋ยวผมดูแลเธอเองครับ”
เด็กหนุ่มตอบกลับทันทีโดยไม่ต้องครุ่นคิด พ่อถึงกับขมวดคิ้วพร้อมมองหน้าลูกตนเองไม่วางตา
“ป๊าจ้างให้เขามาดูแลยูฟ่านะ ไม่ใช่ให้ยูฟ่าไปดูแลเขา” เด็กหนุ่มได้แต่หัวเราะออกมาเพื่อกลบเกลื่อน ก่อนที่พ่อจะพูดตัดบท “กลับบ้านได้แล้วปะ”
สองพ่อลูกเดินเคียงคู่กันตรงไปที่รถยนต์คันหรู โดยไม่ล่วงรู้เลยว่ากำลังมีสายตาของใครบางคนคอยลอบมองตามทุกย่างก้าว…

