บทย่อ
“จะมีใคร รักเธอได้ ดั่งเช่นเขา” "นาบี" เขาเรียกชื่อฉันเสียงเรียบก่อนจะพูดต่อ "ยินดีที่ได้รู้จัก นาบี" ทำไมกันนะ ทำไม! สายตาและน้ำเสียงนั่นมันถึงได้คุ้นหูแบบนี้ "ส่วนฉัน 'เอฟวัน' จำชื่อให้ขึ้นใจล่ะ" เสียงแนะนำตัวที่ก็ฟังดูปกติแต่ทำไมชวนเสียวสันหลังแปลกๆ "ค...ค่ะ ยินดีที่รู้จัก" เพราะอีกฝ่ายยื่นมือมารอฉันเลยต้องยื่นมือไปจับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เฮือก! และเป็นอีกครั้งที่ตัวฉันแข็งทื่อ เมื่อเอฟวันดึงมือฉันด้วยแรงระดับหนึ่งจนร่างเกือบจะกระทบแผงอกแกร่ง "ยินดีต้อนรับ ผีเสื้อหลงทาง" หมายความว่ายังไง เขากำลังจะสื่ออะไร?
Intro
@สองปีก่อน
เพียะ!!
เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อแก้มเนียนทำเอาเกิดความชาหนึบขึ้นบริเวณนั้น
"แกมันเลี้ยงไม่เชื่อง!" เสียงหนาใหญ่ด่ากราดพร้อมชี้นิ้วใส่ฉันด้วยอาการสั่นเทาเพราะความโกรธ
"คุณป้าคะ ฟังนาบีก่..อน"
"จะให้ฉันฟังอะไรอีก หลักฐานมันคาตาขนาดนี้" ฉันเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเองยังไม่เสร็จเลย คนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวของแม่หรือมีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ ของฉันกลับตะคอกด้วยความฉุนเฉียว
"บี บีไม่ได้ท..." ฉันกำลังปฎิเสธสิ่งที่ถูกกล่าวหาอีกครั้งแต่ก็ไม่มีใครฟังเมื่อโจทย์ที่ยืนน้ำตานองหน้าอยู่เงียบๆ สะอื้นขึ้น
"ฮึก แม่คะ อย่าทำนาบีเลย น้องคงไม่ได้ตั้งใจ" เธอที่เงียบมานานและเป็นเจ้าทุกข์ในครั้งนี้เอ่ยปรามคนเป็นแม่
"แกยังจะเข้าข้างมันอีกเหรอ" ป้านิจเอ่ยถามลูกสาวอย่างหัวเสีย
"ดิว ดิวไม่ได้เข้าข้างค่ะ เสื้อดิวมันอาจจะปลิวตกลงไปข้างล่างแล้วไปเกี่ยวอะไรเข้าเลยขาด ส่วนนาบีอาจจะเห็นเลยเก็บมาให้ก็ได้"
"แกอย่ามาโลกสวยยัยดิว" ป้านิจว่าให้ลูกสาวที่กำลังแก้ต่างให้ความผิดฉัน
"ดิว..."
"ใช่ค่ะ นาบีเป็นคนทำเอง นาบีอิจฉาพี่ดิวไงคะ เลยเอาชุดแต่งงานพี่ดิวไปซ่อนพร้อมกับตัดมันจนขาดวิ่นแบบนั้น" ฉันสุดจะทนกับละครน้ำเน่าของคนตรงหน้า
'ดิว' ที่ฉันเอ่ยถึงเป็นลูกสาวป้านิจที่รับเลี้ยงฉันหลังจากที่พ่อแม่ฉันจากไปทั้งคู่เมื่อสองปีก่อน ซึ่งตอนนั้นฉันอายุแค่สิบห้าปีเท่านั้น
ตอนที่ฉันก้าวเข้ามาอาศัยอยู่บ้านป้านิจ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้ฉันก็เข้ากับทุกคนได้ดีไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่เคยคิดไว้
แต่พอเวลาผ่านไปเข้าสู่ปีที่สอง พี่ดิวที่กำลังมีแพลนจะแต่งงานกับแฟนเธอก็มาหาเรื่องฉันต่างๆ นานา เธอบอกว่าฉันไปอ่อยแฟนเธอจนเกือบทำให้ทั้งคู่เลิกกันทั้งๆ ที่ฉันก็อยู่ของฉันดีๆ
จะมีก็แต่ 'เขื่อน' แฟนพี่ดิวที่เข้ามาหาเรื่องคุยกับฉันและฉันก็พยายามเลี่ยงเขามาโดยตลอด ฉันไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาที่จะดูสายตาพี่เขื่อนที่มองฉันไม่ออกว่าเขาคิดไม่ซื่อแค่ไหน
"เห็นมั้ยฉันบอกแล้วว่าแกมันงูพิษ" หลังจากที่ฉันยอมสารภาพว่าเป็นคนทำลายชุดแต่งงานนั้นก็เข้าทางป้านิจที่เธอกล่าวหาฉันไว้ก่อนแล้ว
"นาบี ทะ ทำไมถึงทำแบบนั้น พี่ไม่คิวว่าเราจะกล้าทำกับพี่ได้ขนาดนี้ ฮือๆ" แล้วพี่ดิวก็ปล่อยโฮออกมาเสียงลั่น
เจ้าน้ำตา! เล่นละครเก่งยิ่งกว่าดารานักแสดงบางคนก็ญาติฉันคนนี้แหละ
"เพราะฉันอิจฉาพี่ไง เลยทำแบบนั้น ตอบแบบนี้พวกพี่กับคุณป้าพอใจหรือยังล่ะ" ฉันทำเสียงประชดใส่
ไอ้เรื่องชุดแต่งงานที่จู่ๆ ก็วาร์ปมาอยู่ห้องฉันในสภาพฉีกขาดหลุดลุ่ยได้ยังไงฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้าให้เดาก็คงมีคนแกล้งฉันนั่นแหละ
แต่แล้วไง? พูดไปใครจะเชื่อในเมื่อคนทำมันก็ตอแหลบีบน้ำตาอยู่ตรงนี้ไง!
"ฉันทนเลี้ยงแกต่อไปไม่ไหวแล้วนะ" คำที่ฉันคิดว่าสักวันคงได้ยินถูกพ่นออกมาจากปากผู้เป็นพี่สาวแท้ๆ ของแม่
"ป้าหมายความว่า..." แม้รู้ว่าคำตอบคืออะไรแต่ปากก็ยังถามอยู่ดี
"ฉันจะส่งแกไปอยู่ที่อื่น ที่จริงฉันคุยเรื่องนี้มานานแล้ว ทางนู้นก็ร่ำรวยเงินทองและไม่อิดออดที่จะรับแกไปเลี้ยงดู" ป้านิจพล่ามออกมาแบบไม่ทุกข์ร้อนที่จะขับไสหลานแท้ๆ เลยสักนิด
"เขาเป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่แกเมื่อนานมาแล้ว แกเองก็ไม่ต้องเกรงใจหรอกว่าจะไปเกาะเขากิน"
คำว่า 'เกาะเขากิน' มันช่างเจ็บปวด เมื่อสายตาที่ป้านิจมองฉันเหมือนเป็นกาฝากชนิดหนึ่งที่มาผลาญสมบัติท่าน
"..." ฉันได้แต่เงียบรอฟังคำสั่งต่อไป
"พรุ่งนี้วันเสาร์แกไม่มีเรียนก็เก็บเสื้อผ้าข้าวของซะ ส่วนสถานที่ฉันจะโทรถามทางนั้นอีกที"
เคยเป็นไหม ร้องไห้ในใจน่ะ ใช่เลยฉันตอนนี้กำลังเป็นอยู่ ภายนอกฝืนยิ้ม แต่น้ำตากลับแน่นเต็มอกจนจุก
"แม่คะ ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ" ถ้าคิดภาพตาม พวกคุณคงมองว่าท่าทางของเจ้าของคำพูดนี้คงกำลังสลดและสงสารฉันสินะ แต่เปล่าเลย!
ดิวไม่ได้เศร้าเสียใจที่ฉันถูกไล่ออกจากบ้าน เธอพูดให้ดูสวยหรูแต่กลับยิ้มดีใจออกมาทางสายตาสีดำเหมือนใจของเธอ
"ขอบคุณนะคะพี่ดิว" ฉันทำเสียงอ่อนใส่ ส่วนเธอยิ้มให้ฉันนิดนึงพร้อมทำแววตาเศร้าหมองมองฉัน จิ้งจกชัดๆ เปลี่ยนสีได้เข้าสถานการณ์เร็วแท้
"แต่เก็บความหวังดีของพี่ไว้ตรงนั้นเถอะค่ะ เพราะนาบีไม่อยากให้พี่เสแสร้งทำมากไปกว่านี้ เห็นแล้วมันสะอิดสะเอียน"
เพียะ! และเป็นอีกครั้งที่ใบหน้าด้านซ้ายฉันถูกฝ่ามือหยาบประทับลงเต็มแรง
"แกนี่มันสันดานเสียจริงๆ พี่เขาอุตส่าห์หวังดีช่วยแก้ต่างให้แก แกยังไม่สำนึก" ฉันยิ้มสมเพชให้ตัวเอง
แก้ต่างเหรอ? นั่นมันก็แค่ละครฉากหนึ่ง คนเป็นแม่ดูไม่ออกหรือไง ไม่สิ ต้องบอกว่าพวกเขาร่วมมือกันถึงจะถูก "จบหรือยังคะ ฉันไปได้หรือยัง" สุดท้ายฉันก็สูดลมเข้าปอดลึกๆ เลิกอ่อนแอและมีมารยาทกับหัวหงอกหัวดำตรงหน้า ใช้สรรพนามที่ไม่เคยใช้กับพวกเขามาก่อนออกไป
"อวดดี!" ป้านิจจ้องหน้าฉันเขม็ง
"ถ้าอยากไปมากนักแกก็ออกไปเลย ไปมันแต่ตัวตอนนี้เลย ไม่ต้องรงต้องรอพรุ่งนี้มันแล้ว!!" ป้านิจขึ้นเสียงใส่ฉัน
"พี่อุตส่าห์จะช่วยเกลี้ยกล่อมแต่นาบีไม่เห็นค่าพี่เอง งั้นพี่ก็คงไม่รั้งเราไว้แล้วแหละ" ฉันขำเบาๆ ในลำคอ สะอิดสะเอียนใบหน้าเสแสร้งพวกนี้เต็มทน
"ได้ค่ะ ฉันจะไปตอนนี้ แต่เงินประกันของพ่อกับแม่รวมทั้งสร้อยแหวนเงินทองฉันขอคืนด้วย" แม่ลูกที่ยืนตรงหน้าทำตาโตตกใจที่ฉันกล้าทวงของของตัวเองคืน
"กะ แกมันหลานทรพี ไม่คิดหรือไงฉันเลี้ยงแกมาสองปีหมดไปเท่าไหร่ ยังจะกล้ามาทวงสมบัติของพ่อแม่แกอีกหรือไง"
ใช่! ฉันเห็นแก่ตัวที่กล้าทวงของพวกนั้น แต่ที่ทวงก็แค่ส่วนหนึ่งหลังจากที่แบ่งให้ป้านิจเป็นค่าเลี้ยงดูไปแล้ว
"ฉันไม่ได้จะเอาทั้งหมด ฉันแค่จะเอาส่วนที่เหลือที่เป็นของฉันคืนแค่นั้น" หางเสียงฉันหายไป นึกไม่ถึงจริงๆ จากที่ตอนแรกฉันเป็นรองพวกเขาแต่พอยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดมันกลับพลิกหน้ามือเป็นหลังตีน
"แม่ก็ให้ๆ มันไปเถอะ" ดิวเผยธาตุแท้ของเธอออกมาแล้ว ทำน้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกว่าชิงชังฉันมากมายแค่ไหน
"ยัยดิว!" ป้านิจเอ็ดให้ลูกสาวก่อนจะต่อรองกับฉัน
"ไว้แกไปอยู่บ้านคนที่เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่ก่อนแล้วฉันจะโอนทุกอย่างให้แก"
"ฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าป้าจะไม่โกง"
"นี่แก!" ป้านิจชี้หน้าฉันตาแดงตาเหลือกที่ฉันสบประมาทเขา
"งั้นวันนี้ฉันขอแค่เครื่องเพชรวันแต่งงานพ่อกับแม่ไปก่อนแล้วกัน เงินติดตัวฉันยังพอมี ไว้ป้าค่อยโอนมาตามที่พูดไว้ก็ได้" พอฉันทวงของสำคัญชิ้นนี้ไปป้านิจยิ่งตัวสั่นเทายิ่งกว่าเดิม สองมือเธอกำแน่นเพื่อระงับความกรุ่นโกรธ
แหงสิ! เพราะเครื่องเพชรชุดนั้นมีมูลค่าหลายล้านทีเดียวถ้าเอาไปขาย แต่อย่าฝันว่าจะทำได้ เงินทองฉันไม่เอาก็ยังไม่อดตาย แต่เครื่องเพชรที่เป็นเหมือนของแทนใจพ่อกับแม่ฉันต้องได้มันคืน
"ว่าไงล่ะคะ ป้าเอาเครื่องเพชรมาให้ฉัน ส่วนฉันก็จะไปจากบ้านหลังนี้อย่างที่ป้าต้องการ" ฉันยื่นคำขาดและไม่สนใจสองคนตรงหน้า เลือกเดินไปรอบนห้องนอนและเก็บข้าวของส่วนที่จำเป็นลงกระเป๋า
รอเพียงไม่นานของที่ฉันอยากได้ก็มาวางอยู่ตรงหน้า
"อีกชั่วโมง 'บ้านสิยานนท์' จะส่งรถมารับ แกลงไปรอข้างล่างแล้วก็หายไปจากชีวิตฉันกับลูกสาวซะ!" น้ำเสียงข่มต่ำฟังดูเลือดเย็นเอ่ยบอก นี่เหรอสายเลือดเดียวกับแม่แท้ๆ ของฉัน คนที่มีศักดิ์เป็นถึงป้าแท้ๆ เขาพูดกับหลานสาวแบบนี้กันเหรอ
หรือเพราะฉันหมดผลประโยชน์กับครอบครัวนี้ไปแล้วถึงได้กลับกลายเป็นเช่นนี้ เงินทองของมีค่านี่น่ากลัวเนอะ แม้แต่คนร่วมสายเลือดเดียวกันยังทิ้งขว้างกันได้ลงคอ
"ค่ะ ฉันก็หวังว่าจะไม่ได้เจอะเจอกันอีกตลอดไป"
อย่าว่าฉันร้าย ถ้าพวกเขาไม่ร้ายกับฉันก่อนแบบนี้