DANGEROUS LOVE : 01
“ตะลึงในความหล่อของฉันขนาดนั้นเลยเหรอสาวน้อย หึ!”
ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินเสียงผม ใบหน้าหวานเห่อแดงขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ อะไรวะ นี่เธอกำลังเขินผมจริงๆ ระหว่างที่ผมกำลังพินิจพิจารณาเจ้าของห้องตัวน้อยอยู่ ฝ่ามือเล็กก็ฟาดมาบนใบหน้าผมแบบไม่ทันตั้งตัว เล่นซะสะดุ้งโหย่งเลย
เพียะ!
โอ๊ะ!!
“ยัยเด็กบ้า!! กล้าตบหน้าฉันเหรอ ฮะ!!!” ผมหลุดตะคอกผู้ประทุษร้ายตรงหน้าสุดเสียงด้วยความโมโหพลางเอามือลูบแก้มตัวเองป้อยๆ ไม่ถึงกับแรงมากก็แค่แสบๆ คันๆ แต่ที่ปี๊ดสุดคือไม่มีใครกล้าตบหน้าผมมาก่อนเลยนะ ยัยเด็กบ้านี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถ้าเป็นผู้ชายผมคงส่วนหมัดกลับไปแหละ
“มะ...ไม่ใช่ฝันงั้นเหรอ” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยอย่างเลื่อนลอย
“ฝันบ้าบออะไรของเธอ ฮะ! แล้วทำไมไม่ตบหน้าตัวเองเล่า ยัยเด็กบ้า!!!” ผมตอกกลับเสียงดังลั่น คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเธอพูดออกมาแบบนั้น ฝันงั้นเหรอ คิดว่าตัวเองฝันอยู่แล้วมาตบหน้าผมเนี่ยนะ น่าจับบีบคอให้ตายจริงๆ
“นะ...หนู ขอโทษ! คะ...คุณเจ็บไหมคะ”
ยัยตัวเล็กตรงหน้ายกมือไหว้ผงกๆ และถามผมด้วยความเป็นห่วง แต่นั่นไม่ได้ทำให้โทสะผมลดลงเลยสักนิดแค่แปลกใจเท่านั้นเองว่าเธอต้องห่วงคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอขนาดนี้เลยเหรอ
“ลองดูปะล่ะ” ผมตอบคำถามเธอด้วยคำถามพลางง้างมือขึ้น คนตัวเล็กพอเห็นแบบนั้นก็หลับตาปี๋ หดคอลง มือเล็กก็ยังคงพนมอยู่ตรงหน้าผากนั่น ปากเล็กก็พร่ำเพ้อไม่หยุด
“หื้อ นะ...หนูขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษค่ะ”
“เหอะๆ” กลัวอะไรเบอร์นี้วะ คิดว่าผมจะตบผู้หญิงได้จริงเหรอ บ้าไปแล้ว ผมไม่ได้หน้าตัวเมียขนาดนั้นหรอก
แต่ยัยตัวเล็กนี่แทนตัวเองว่า หนู กับคนที่เพิ่งเจอ? หรือว่าเธอรู้จักผม
เห่ย!!!
“เห่ย! อะไรวะ! ตกใจหมด”
เจ้าของห้องโพล่งขึ้น ตากลมเบิกกว้างเหมือนเธอตกใจอะไรสักอย่าง เล่นซะผมตกใจไปด้วยเลย ยัยนี่ทำผมเกือบช็อกตายได้วันละหลายรอบเลยนะ ก่อนเธอจะรีบวิ่งไปดึงประตูห้องนอนปิดลงอย่างแรงและยืนบังหน้าประตูไว้แบบนั้น
ปึง!
“ทำอะไรของเธอ” ผมเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย พลางเดินเข้าไปหาเธอตรงหน้าประตูนั่น จ้องนัยน์ตากลมโตเพื่อควานหาคำตอบ ยัยตัวเล็กนี่มีท่าทีแปลกมาก เธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่เห็นหน้าผมและผมเริ่มรู้สึกคุ้นหน้าเธอ หรือเราเคยเจอกันงั้นเหรอ เธอลุกลี้ลุกลนเมื่อผมเลื่อนหน้าเข้าใกล้มากขึ้น
“เอ่อ...คะ...คือ อ๋อ" เธอเอ่ยขึ้นเสียงตะกุกตะกักพลางเบี่ยงหน้าหลบสายตาผม ก่อนจะทำเหมือนนึกอะไรออกแล้วมองไปยังโต๊ะอาหาร "หนูกำลังจะกินข้าว กินข้าวด้วยกันไหมคะ”
“ฮะ!!! ชวนฉันกินข้าว?” ผมสบถออกมาด้วยความตกใจ พลางทวนประโยคนั้นของเธออีกที ผมชะงัก อึ้งในอึ้ง ยัยตัวเล็กนี่ต้องเป็นไบโพลาร์หรือไม่ก็บ้าไปแล้วแน่ๆเธอชวนผู้ชายที่เพิ่งจะบุกเข้าห้องกินข้าวด้วยเนี่ยนะ แถมตอนแรกร้องขัดขืนจะเป็นจะตาย นี่ผมกำลังเจอกับอะไรอยู่วะเนี่ย
“ไม่ซิ ไม่ใช่ หนูต้องไล่คุณใช่ไหมคะ คุณต้องออกไปจากห้องหนูซิ ถึงจะถูก ใช่ไหมคะ งั้นคุณต้องออกไปนะคะ”
“เหอะๆ” ผมได้แต่เค้นเสียงอยู่ในลำคอ พูดอะไรไม่ออกเลย เมื่อเจอประโยคที่เหมือนจะเป็นคำถามแต่ก็ไม่ใช่ ผมคิดว่าเธอกำลังเตือนสติตัวเองอยู่มากกว่า ยัยนี่เป็นบ้า แบบไม่ต้องสงสัยเลยและผมควรพาตัวเองออกจากที่นี่โดยด่วนที่สุด แต่ก่อนไปผมควรบอกเธอในฐานะเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง
“ไปหาหมอบ้างก็ดีนะ”
“คะ...คุณบอกหนูเหรอคะ แต่หนูไม่ได้ป่วยนะคะ ตัวก็ไม่ร้อนด้วย” เธอถามผมกลับด้วยหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์พลางยกหลังมือแตะหน้าผากตัวเองเพื่อเช็กอุณหภูมิในร่างกาย โว้ย...กูอยากจะบ้าตาย เธอใช่ชีวิตอยู่บนโลกมาจนถึงป่านนี้ได้ไงวะ ไม่น่าโตมาเลยจริงๆ
“เออ!!! ฉันบอกตัวเอง พอใจยัง” ยัยเด็กบ้านี่ทำลายความอดทนผมได้ดีชะมัด ร่างบางสะดุ้งโหย่งกับเสียงตะคอกของผม ก่อนจะก้มหน้างุดมองปลายเท้าตัวเองอยู่แบบนั้น นี่ถ้าผมเป็นโจรจริงๆ ยัยนี่ตายตั้งแต่ชวนผมกินข้าวแหละ
ผมหมุนตัวกลับกำลังจะเดินออกจากห้องแต่สายตาดันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างบนหลังตู้เย็น ผมเปลี่ยนทิศทางเดินตรงไปหาสิ่งนั้นทันที มือหนายกขึ้นเปิดโหลคุกกี้ที่คุ้นตาแล้วหยิบมันขึ้นมาอย่างถือวิสาสะ
“ไม่!!!” เสียงยัยตัวเล็กนั่นตะโกนมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าเล็กที่สาวเข้ามาหาผม
“กินไม่...ม่ายทันแล้ว” แต่ผมยัดมันใส่ปากเรียบร้อยแล้วในจังหวะที่เสียงเธอแผ่วลงเพราะห้ามไม่ทัน
“นี่มัน!!”
ตาผมเบิกกว้างหันมองหน้าเจ้าของห้องตัวน้อยยืนกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่มองปากผมที่เคี้ยวคุกกี้ของตัวเอง รสชาตินี้ผมจำมันได้แม่นจนติดลิ้น ทั้งกลิ่น ทั้งรส บ่งบอกได้เลยว่ามันเป็นฝีมือคนทำคนเดียวกันอย่างแน่นอน
“เธอเป็นคนทำ?” ผมเลิกคิ้วถาม
“ปะ...เปล่า เปล่าคะ ไม่ใช่นะ หนูไม่ได้เป็นคนทำ” คนตัวเล็กรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน ถึงเธอจะบอกว่าเป็นคนทำ ผมก็ไม่เชื่อหรอก ยัยบ้าเนี่ยนะ...จะทำคุกกี้ได้อร่อยขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ แต่ที่ผมอยากรู้คือต้นตอของคุกกี้อันนี้ต่างหาก
“งั้นใครทำ”
“คะ...คือ ซื้อมา ใช่ๆ ซื้อมา”
“จากไหน” ผมจ้องหน้าเธอเขม็ง แต่สายตาเธอโคตรล่อกแล่ก
“จากไหน อ้อ จากเพื่อน เพื่อนซื้อมาให้” ผมรู้สึกได้ว่าเธอกำลังโกหก แต่อะไรคือเหตุผลก็ช่าง ยังไงผมก็ต้องได้คำตอบ
“ไปถามเพื่อนมา ว่าซื้อมาจากไหน”
“คุณไม่รู้จักหรอกค่ะ จะอยากรู้ไปทำไมกันเล่า” ประโยคแรกเธอพูดกับผมด้วยเสียงปกติ แต่ประโยคหลังเสียงแผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน นั่นแสดงว่าเธอกำลังบ่นให้ผมอยู่ แต่เผอิญผมได้ยินชัดทุกคำ
“ฉันสั่งให้ไปถาม ก็ไปถามมา แล้วฉันจะมาเอาคำตอบ ถ้าไม่ได้ล่ะก็ เธอตายแน่! เข้าใจไหม ฮะ!!!” ผมพูดในโทนเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมพลางจับแขนเล็กทั้งสองข้างบีบแน่น และทิ้งท้ายประโยคด้วยการตะคอกใส่หน้าเธอเสียงดังลั่นอย่างลืมตัว
“งื้อออ ค่ะๆๆ เข้าใจค่ะ” ร่างบางหลับตาปี๋พลางหดคอลงเป็นเต่าก่อนจะตอบรับผมเสียงสั่นอย่างน่าสงสาร ใจผมกระตุกวูบกับภาพตรงหน้าก่อนจะปล่อยแขนเล็ก เอามือขึ้นเท้าเอวพ่นลมออกจากปากด้วยความหงุดหงิดและพาตัวเองออกมาจากห้องยัยเด็กบ้านั้นทันที
ปึง!
“แม่งเอ๊ย!!” ผมสบถออกมาอย่างหัวเสียทันทีที่ประตูถูกปิดลงอย่างแรงด้วยฝีมือผมเอง ตอนแรกผมไม่เคยอยากรู้เรื่องคุกกี้บ้าบอนั่นเลย แต่พอได้กินมันจากคนอื่น ผมกลับอยากรู้ขึ้นมาใจจะขาดซะงั้น แต่ต้องไม่ใช่ยัยเด็กบ้านี่แน่ๆ
จะว่าไป...ผมรู้สึกคุ้นหน้าเธอจริงๆนะ ต้องเคยเจอที่ไหนแน่ๆ แต่นึกไม่ออก จิ๊! ช่างแม่งเหอะ เสียอารมณ์ฉิบหาย กลับไปแดกเหล้าต่อดีกว่า หงุดหงิดโว้ยยยย!!
@ผับ
พรึบบบ
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างแรงพลางหยิบแก้วเปล่ามาชงเหล้าตรงหน้า พ่นลมหายใจออกมาซ้ำๆ ทำไมในหัวผมถึงมีแต่ภาพยัยเด็กบ้านั่นก็ไม่รู้ ต้องเคยเจอแน่ๆ แต่ทำไมคิดไม่ออกวะ มันติดอยู่รอยหยักเล็กๆ ในสมองผมเนี่ย ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรสามตัวนั่งจ้องผมอยู่ ส่วนไอ้พวกที่มีเมียคงกลับไปนอนกกเมียกันหมดแล้ว
“เป็นห่าอะไรวะ หน้าแม่งยังกะส้นตีน” ไอ้หมอถามขึ้นหลังจากที่มันนั่งจ้องผมมาสักพัก อยากรู้อยากเห็นเรื่องของกูจังเลยนะพวกห่า จะให้กูคิดคนเดียวอยู่ใจบ้างไม่ได้เลยรึไงวะ ต่อมเผือกนี่แม่งกระดิกไวยิ่งกว่าหางหมาอีกนะ
“อ้าว ไอ้เวร ด่ากูในใจอี๊ก” ไอ้แม็กมันว่าพลางผลักหัวผมจนโยกไปตามแรงของมัน
แค่กๆๆๆ
ผมถึงกับสำลักเหล้าที่กำลังดื่มอยู่ทันที ไม่ใช่เพราะมันผลักหัวผม แต่เพราะไอ้ห่านี่มันรู้แม้กระทั่งผมด่ามันในใจอะ คิดดูเหอะ ยิ่งกว่าเมียกูไปแล้วมั้ง พวกมึงเนี่ย
“เวรฉิบหาย มีเพื่อนแบบพวกมึงเนี่ย” ผมบ่นให้เพื่อนตัวเองพลางโคลงศีรษะไปมาแบบเอือมๆ ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เออ! ไอ้หมอ มึงบินวันไหนนะ” ผมเอ่ยถามไอ้หมอถึงเรื่องที่มันจะไปประชุมเรื่องโรงพยาบาลของมันที่ญี่ปุ่น เห็นว่าจะไปตั้งสองอาทิตย์กว่าประเด็นสำคัญคือมันจะพามิเชล น้องสาวบุญธรรมของผมไปเที่ยวด้วย และพ่อกับแม่ก็อนุญาตเฉย ใจผมไม่อยากให้น้องไปเท่าไหร่ มันไปทำงานกลัวจะไม่มีเวลาดูแลมิเชล แต่ก็ต้องยอม เพราะมิเชลเองก็อยากไปเอามากๆ
“น่าจะพุธ ทำมะ? จะฝากกูซื้อตุ๊กตายางงะ” มันว่าด้วยหน้าตาที่กวนตีนสุดๆ โธ่..ไอ้เพื่อนเวร คิดได้ไงว่ากูจะใช้ของพวกนั้น ดูถูกกูเกินไปแล้ว
“นี่ใคร ดูด้วยครับเพื่อน ระดับกูไม่ต้องพึ่งของพวกนั้นไหมล่ะ แค่กระดิกนิ้ว สาวๆ ก็ต่อคิวรอจนกูผลิตน้ำไม่ทันแล้วเนี่ย”
ถุย!!!
สิ้นเสียงผม มันสามตัวก็ถ่มน้ำลายใส่ผมพร้อมเพรียงกันแบบไม่ได้นัดหมาย เล่นซะกูหลบเกือบไม่ทันเลยนะ ไอ้พวกเวรนี่! แถมต่อด้วยประโยคที่โคตรขยี้ปมของไอ้เชี่ยแม็กซ์
“โธ่ๆ กล้าพูดนะครับเพื่อน แล้วไอ้ที่มานั่งหน้าเป็นส้นตีนอยู่เนี่ย ไม่ใช่ว่าอดแดกมารึงะ”
“ไอ้สัส! เดี๋ยวถีบแม่งเลย”
ปึกกก...ตุ๊บบ
แต่เผอิญตีนผมดันไวกว่าปาก ยกขึ้นถีบมันจนลงไปนั่งบนพื้นเรียบร้อยแล้ว ก่อนไอ้แม็กจะลุกมาตบหัวผมฉาดใหญ่เสียงดังลั่นและคือผมหลบไม่ทันไง ไอ้ห่านี่แม่งก็ไวใช้ได้เหมือนกันนะ เล่นซะมึนเลย...
ผลัวะ!!
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวพ่อง!!”
“ไวเหี้ย..เหี้ย” ผมว่าพลางลูบหัวตัวเองป้อยๆ ก่อนจะหันมาพูดกะไอ้หมอต่อ
“กูจะบอกว่าให้มึงดูแลน้องกูให้ดี ถ้ามิเชลเป็นอะไรขึ้นมานะ มึงตาย!!”
“งั้นมึงคงไม่มีวันได้ฆ่ากูหรอก ไอ้เพื่อนรัก หึ!” มันพูดขึ้นด้วยความมั่นใจพลางยักคิ้วให้ผมอย่างกวนตีน ไอ้ห่านี่ นับวันยิ่งทำตัวไม่น่าไว้ใจ
ความจริงก็ดีเหมือนกันที่มีคนรักและเอ็นดูน้องสาวผม จะได้มีคนช่วยดูแลเธอด้วย และผมต้องไปเอาคำตอบเรื่องคุกกี้นั้นด้วย เอ้า! ไอ้ห่าวา คิดเรื่องน้องอยู่ดีๆ ไหงวนไปเรื่องยัยเด็กบ้านั่นอีกแล้วเนี่ย...