CHAOTIC LOVE : 01
[Part Peerakan]
@ห้อง VVIP
ผมกระแทกตัวลงบนโซฟาอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด พลางหยิบมือถือขึ้นมาไล่ดูแชทของใครบางคนที่ DM หาผมทุกวัน น่าจะสักระยะหนึ่งได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหน ถ้าบอกว่าไม่อ่านเลยก็ดูจะเป็นการโกหกตัวเองเกินไป อ่านแค่ผ่านๆ อันนี้พอรับได้ คิดแค่ว่าเดี๋ยวเธอก็เลิกส่งไปเอง ถ้าผมไม่ตอบกลับ เพราะที่ผ่านมาก็เป็นแบบนั้น ไม่เห็นมีผู้หญิงคนไหนอดทนได้นานสักคน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับเธอคนนี้…
ปลายนิ้วไล่ข้อความขึ้นไปรัวๆ ใช้เวลาพักใหญ่เลยกว่าผมเจอข้อความที่ต้องการ ส่งมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ…ถ้าตอนเรียนหมั่นเพียรเท่านี้เธอคงได้เป็นดอกเตอร์ ในอนาคตแน่
[ฉันคือเพลินตา ฉันอยากรู้จักคุณ]
เพลินตา…
ใช่จริงๆ เป็นยัยซุ่มซ่ามที่เปิดประตูไม่ดูตาม้าตาเรือคนนั้น ว่าแต่ยุคนี้ยังมีผู้หญิงใช้ประโยคแนะนำตัวแบบนี้อยู่อีกเหรอวะ นึกว่าก๊อบปี้ข้อความที่แปลมาจากกูเกิ้ลทรานสเลท
และเพราะโปรไฟล์ถูกตั้งเป็นรูปหมาน้อย ก็เลยไม่รู้ในทันทีว่าเป็นเธอ แค่รู้สึกว่าคุ้นชื่อ…แต่ที่ไม่รู้คือเธอเป็นเพื่อนกับหนึ่งในบรรดนายหญิงของแก๊ง เนื่องจากผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงจึงไม่ได้ให้ความสนใจคนรอบตัวเท่าไหร่นัก
ความมั่นใจผมเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ทันทีที่ไล่ดูหน้าโปรไฟล์
“เหอะ!”
มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย จังหวะกดล็อกหน้าจอและเก็บมือถือเข้ากระเป๋า ก่อนจะเอื้อมหยิบแก้วแอลกอฮอล์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าขึ้นกำลังจะกรอกเข้าปาก แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อพบความผิดปกติบางอย่าง สายตาหลายคู่พร้อมใจกันจ้องเขม็งมา ณ จุดเดียว
ผมเหล่มองทีละคนตั้งแต่ซ้ายไปขวาจนครบแล้วกระดกเหล้าเข้าปากอย่างไม่แยแส อยากมองก็มองไป คนทุกข์ร้อนไม่ใช่ผมอยู่แล้ว
“มึงนี่มันเกินมนุษย์ไปมากจริงๆ นะ” นี่ไงคนทุกข์ร้อนคนแรก ไอ้วาโย บุตรชายคนโตของบ้านเหมบดินทร์ เจ้าของสนามแข่งรถใหญ่ติดอันดับต้น ทั้งหล่อ รวย โปรไฟล์ดี แต่น่าเสียดาย ดันมีเมียมาเฝ้าซะแล้ว เฌอนารีน สาวน้อยแสนอ่อนหวานที่นั่งข้างมันนั่นแหละ และเธอก็ยังเป็นสาเหตุที่ผมต้องพากันออกไปสูบบุหรี่ด้านนอก เพราะว่าเธอแพ้ควันสารจำพวกนิโคติน…
ยังนะ…บ้านนี้ยังมีลูกชายอีกคน ไอ้ยูตะ น้องชายตัวแสบที่คลานตามมันออกมา ซึ่งมันทั้งคู่ถูกควบคุมไปซะแล้ว ส่วนผู้หญิงของมันก็…มิณ ที่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน และเธอคนนี้แหละ…เพื่อนของยัยหมาน้อยที่ส่งข้อความหาผมรัวๆ
ผมถอนหายใจแรงครั้งหนึ่ง แก้วเปล่าในมือถูกวางบนโต๊ะแบบเน้นๆ ขณะเหลือบมองหน้ามัน
“เสือก” วลีเดียวที่หลุดออกมาจากปากผมแต่ไร้เสียง
“อ้าว ไอ้เวรนี่!” หลังจากที่ไอ้ตัวพี่ชายเริ่มขยับปากด่าผม ไอ้ตัวน้องก็เสริมขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ย
“เฮียก็น่าจะเว้นๆ หน่อย เพลินตาเป็นเพื่อนเมียผมนะ”
“ก็ไม่ใช่เมียกูหนิ” ผมสวนกลับเสียงแข็ง พลางจ้องหน้าคู่สนทนาอย่างเอาเรื่อง คิดไปแล้วก็น่าโมโหเหมือนกันนะ…หมอห่าอะไรปากสว่างฉิบหาย และถ้าเดาไม่ผิด ที่ มิณหายไปก็คงลงไปดูเพื่อนตัวเอง
“เย็นชาสัส กูว่าไอ้ธามหนักแล้วนะ ยังเทียบมึงไม่ได้สักนิดเลย”
ผมไหวไหล่ใส่ไอ้เจ้าของประโยคที่เพิ่งเอ่ยชื่นชมนั่น มันคือ ไอ้แม็กซ์ CEO สุดหล่อ มาดดีแต่ปากไม่ค่อยดี ไอ้นี่ยิ่งหนักกว่าใครเพราะมันเพิ่งสละโสดไปเมื่อไม่กี่เดือนนี่เองกับ คุณหนูลลิล แสนเย้ยหยิ่ง
ส่วนคนที่ถูกมันพูดถึงก็ ไอ้ธาม รุ่นน้องคนสนิท อย่างที่ไอ้แม็กซ์บอกนั่นแหละ ไอ้ธามกับผมค่อนข้างเหมือนกัน แต่แตกต่างตรงที่มันไม่โสด… โรสผู้หญิงข้างกายมันตอนนี้ คือผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในใจมันมาเนิ่นนาน จนทุกคน
ในกลุ่มยกให้เป็นสุดยอดคู่รัก ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่อินเลยสักนิด
ยังมีอีกคู่จะไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้ เพราะตอนนี้พวกเราทุกคนรวมตัวกับอยู่ที่ผับของมัน ไอ้ดิน ทายาทมาเฟียใหญ่ที่เลือกเดินทางขาวสะอาด และร่วมกันปกครองกับนายหญิงที่ใครๆก็พากันเกรงกลัว หนูดา ซึ่งตอนนี้กลายเป็นคุณแม่มือใหม่ไปแล้ว แถมยังผลิตทายาทพร้อมกันถึงสองคนเลยทีเดียว
สมาชิกในกลุ่มเพิ่มขึ้นจนเริ่มอึดอัด แต่ถ้าพวกมันเป็นแค่เพื่อน ผมก็คงสลัดแม่งออกไปหมดแล้ว ติดตรงที่ว่าทุกคนเป็นเหมือนครอบครัว ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้ ผมเองก็ด้วย
ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดโดยฝีมือไอ้เพื่อนทรยศ ลงไปด้วยกันกับผมแท้ๆ แต่ดันคาบข่าวมารายงานไอ้พวกข้างบน
เวรจริงๆ
ไอ้หมอไวน์ตรงปรี่เข้ามาหาผมหวังจะประทุษร้าย แต่ผมโยกตัวหลบทันก่อนจะพ่นคำด่าใส่มัน
“ไอ้เหี้ย…”
แต่ในวินาทีต่อมา...
ผลัวะ!!
โดนจนได้! ผมเลื่อนมือขึ้นลูบกลางกระบาลป้อยๆ พลางตวัดตามองตามไอ้เพื่อนเวรที่เดินวกกลับไปทิ้งตัวลงนั่งข้างไอ้วาโยซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“มึงทำน้องเขาเจ็บ ไม่ขอโทษไม่พอ เสือกเดินหนีเขา แล้วยังทำหน้าส้นตีนใส่เขาอีก” ปากมันเริ่มขยับหลังจากก้นสัมผัสเบาะโซฟา
“กูไม่ได้ทำ” ผมเถียง
“ก็มึงเป็นคนเปิดประตู” แต่มันตอกกลับด้วยเสียงที่ดังกว่า พร้อมกับโน้มตัวมาข้างหน้า คงเพื่ออรรถรสหรืออะไรสักอย่างของแม่ง
“ประตูมันก็บอกชัดเจน ฝั่งไหนเข้า ฝั่งไหนออก” ผมกดเสียงต่ำในการชี้แจงขณะโน้มตัวเข้าหามันเช่นกัน
“ก็ใช่ไง”
ผมยกยิ้มขึ้นมุมปากทันที แน่นอนว่ามันเถียงไม่ออก แต่ประโยคต่อมานี่สิ…ส่งผลให้หน้าผมกลับมาตึงเปรี๊ยะ
“แต่มึงเปิดผิดฝั่ง!”
“....” นั่นเป็นตอนที่ผมเงียบและดึงตัวกลับไปแนบชิดพนักพิงเหมือนเดิม พลางคิดตามสิ่งที่ไอ้หมอไวน์พูด ใช่เหรอวะ…ผมคิดว่าผมเปิดถูกฝั่งแล้วนะ มันพลาดตอนไหนกัน?
“เหอะ! ทีนี้ทำนิ่ง” ไอ้ยูตะเสริม
“แล้วจะกูทำไง ก็มันเกิดไปแล้ว” ผมโพล่งออกไปอย่างคนถูกต้อนจนมุม
“ขอโทษไง พูดเป็นไหม” ไอ้วาโยว่า ก่อนที่ทุกคนจะพากันโคลงศีรษะอย่างเอือมระอา
นี่มันต้องขนาดนี้เลยเหรอวะ ยังกะผมไปทำใครตายอย่างงั้นแหละ
[Part Plernta]
@คอนโด G
หลังจากที่เฮียฟิวส์เดินกลับขึ้นไป คุณหมอไวน์ก็โทรหารุ่นพี่ยูตะ เพื่ออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อนรักของฉันก็เลยรีบวิ่งแจ้นลงมาภายในไม่กี่นาที ราวกับหายตัวได้ก็ไม่ปาน มีเพื่อนเป็นอีมิณ ก็ดีแบบนี้แหละ…มันไม่มีทางปล่อยฉันไว้คนเดียว ยิ่งรู้ว่าฉันได้รับบาดเจ็บด้วยนะ ยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่
เพราะครั้งหนึ่ง ฉันเคยเจ็บหนักเพื่อช่วยมัน จากที่รักกันมากอยู่แล้วเลยทวีคูณขึ้นไปหลายเท่า
สุดท้ายเราเลยมาอยู่ด้วยกัน ที่นี่…
คอนโดที่ฉันเพิ่งขอป๊าม้าได้เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและแถมยังอยู่ตึกเดียวกันอีกด้วย ไม่มีเหงาเลยฉัน เสียอย่างเดียวที่มิณไม่ใช่สายปาร์ตี้
“อันนี้ไม่ได้” ฉันรีบแย่งถุงอุปกรณ์ทำแผลมาจากมือเพื่อนรักด้วยความตกใจ เมื่อมันทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาข้างฉันพลางหยิบถุงขึ้นมารื้อดู
“เอ้า ก็เฮียหมอไวน์ให้มึง มาทำแผลไม่ใช่ไง๊?”
“มึงไปเอากล่องยาในตู้โน้น” ฉันพยักพเยิดหน้าไปทางชั้นวางทีวี
ใครจะยอมให้เอาไปใช้ล่ะ…กว่าจะได้มา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ
“อะไรวะ” มันย่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนจะลุกเดินไปหยิบกล่องยาตามที่ฉันบอก
ฉันจัดการหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปถุงยาในมือด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเอาของสำคัญไปซ้อนไว้ด้านหลัง
“มึงนี่นะ” มันเดินกลับมาวางกล่องยาลงบนโต๊ะก่อนจะเริ่มขั้นตอนการทำแผลอย่างจริงจัง
อ๊ะ!
ฉันส่งเสียงออกมาในตอนที่มิณกำลังเช็ดบาดแผล มันเบามือแล้วก็จริงแต่ก็ยังเจ็บอยู่ ตอนแรกไม่เห็นเจ็บขนาดนี้นี่นา
“เลิกสนใจเขาได้แล้วมั่ง เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเขาเป็นยังไง” มันก็ทำไปบ่นไป ตามประสา แต่ฉันเองไม่ได้เชื่อฟังขนาดนั้น ถามว่าเห็นไหม…ก็เห็น เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษ ในที่นี้อาจรวมถึงไม่ใช่คนดีเด่อะไรด้วย แต่ฉันจะไม่ตัดสินใครโดยที่เรายังไม่รู้จักเขาดีพอ
หรือความจริงคือใบหน้าหล่อเหลานั่นกำลังบังตาฉันอยู่
“แต่เขาก็ไม่ได้บล็อกกู” ฉันเถียงและแน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอม การโต้วาทีระหว่างเราจึงเริ่มขึ้น
“แต่เขาก็ไม่ได้ตอบ”
“แต่เขาอ่าน”
“แล้วเขาเคยมาตามนัดไหม”
เกิดอาการที่คล้ายกับโดนช็อต ฉันนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ประโยคนี้สร้างความรู้สึกเจ็บจี๊ดกว่าน้ำเกลือซึ่งกำลังราดลงบนแผลอยู่ตอนนี้ซะอีก
“อย่างน้อยเขาก็ยังอ่านไง แปลว่าเขาก็เขายังอยากเห็นข้อความจากกูอยู่” ฉันเริ่มขยับปากพูดในเรื่องเดิมอีกครั้ง แต่โทนเสียงแผ่วลงเยอะเลย
ต้องยอมรับนะว่าลึกๆ ฉันก็แอบเข้าข้างตัวเองด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่บล็อกและก็อ่าน แบบนี้มันแปลว่าอะไรได้ล่ะ
นี่จึงเป็นเหตุผลทำให้ฉันไม่หมดหวังสักที บางทีมันอาจเป็นเพราะเขายังไม่รู้จักฉันก็ได้
“มึงคิดได้ไงเนี่ย” มันว่า พลางเก็บของลงกล่องยา หลังจากทำแผลให้ฉันเสร็จ
“ไม่รู้แหละ อย่างน้อยๆ วันนี้เขาก็ยังให้ไอ้นี่มา” ฉันพูดพลางหันมองถุงอุปกรณ์ทำแผลที่อยู่ด้านหลัง พร้อมอมยิ้ม
“อ๋อ…ถึงว่า หวงจัง”
“เอาน่า กูว่า…กูไหว” คิดว่าน่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ยังสนใจฉันอยู่บ้าง
นั่นแปลว่า…เขาในสายตาเขายังพอที่จะมองเห็นคนอื่นได้ ใช่ว่าจะไม่สนโลกขนาดนั้น
“เฮียฟิวส์ต่างจากคนอื่นมากๆ ถ้าเป็นเฮียหมอไวน์ กูยังเชียร์มากกว่าอีก” มันยังไม่เลิกล้มความพยายามในการเปลี่ยนใจฉัน
“ความรู้สึกมันไม่ได้เปลี่ยนง่ายขนาดนั้นเปล่าวะ ให้กูลองดูก่อน กูไม่ไหว เดี๋ยวกูก็ถอยเองแหละ”
“ตามใจ บางทีไอ้ของที่เขาให้มา อาจจะเอาไว้ช่วยทำแผลในตอนที่เจ็บสาหัส”
เฮือก!…แต่ละประโยคที่ออกจากเพื่อนรัก เจ็บแสบสุดๆ ฉันอดที่จะยกมือทาบอกตัวเองไม่ได้เลย เหมือนโดนมีดสั้นปักกลางดวงใจ วิถีเพื่อนรักสินะ….
ฉันแอบแยกเขี้ยวใส่ตอนมันลุกไปเก็บกล่องยาและปรับให้เป็นปกติก่อนมันหันกลับมา
“เออ!…ว่าแต่ไม่มีใครรู้ใช่ไหม” และฉันยังไม่ลืมย้ำเรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับ
“ไม่ เฮียยูตะ ยังไม่รู้เลย”
เพื่อนของฉันยังเป็นคนเก็บความลับได้ดีสุดยอด เรื่องนี้ฉันเอาชีวิตเป็นประกัน
ส่วนเหตุผลที่ฉันไม่อยากให้ใครรู้สักคนนอกจาก มิณ ก็เพราะถ้ามันไม่สำเร็จจะได้ไม่อายมาก ไม่ใช่อะไรหรอก…