บท
ตั้งค่า

CHAPTER 00 / 3

ร้านชวนชมนาง 22.00 น.

เฮียมาคัสพาฉันมาดินเนอร์ตามที่บอกไว้จริง ๆ แม้เขาจะกลับมาถึงดึกแค่ไหนก็ยังหอบสังขารพาฉันมาจนได้

“ร้านนี้วิวสวยมากเลยค่ะ”

เป็นร้านที่ทำเป็นซุ้ม ๆ ห่างกันแต่ละซุ้มราว ๆ สิบห้าเมตร เพื่อให้เหมือนมีพื้นที่ส่วนตัว

รอบ ๆ ร้านตกแต่งด้วยโคมไฟประดับประดาตามเสาไม้เลื้อยใช้ส่องสว่างแทนหลอดไฟนีออน

ด้านหน้าซุ้มที่ฉันนั่งอยู่เป็นสระน้ำขนาดใหญ่มีบ่อน้ำพุเป็นรูปปั้นผู้หญิงถือคนโทแล้วมีน้ำไหลออกมาจากปากเหยือกตั้งตระหง่านอยู่ตรงใจกลางสระ

“ขากลับเจอร้านนี้พอดี เห็นว่าวิวสวยคิดว่าน้ำจะชอบ”

ฉันยิ้มจนแก้มแทบปริเมื่ออีกคนใส่ใจทุกรายละเอียดแม้จะเป็นแค่การทานข้าวเย็นธรรมดา ๆ ไม่ใช่วันพิเศษอะไร

“สั่งอาหารกันดีกว่าค่ะ”

ฉันล้างท้องรอไม่ทานอะไรตั้งแต่เลิกงาน ก่อนมาก็ถามเฮียมาคัสแล้วเขาเองบอกว่ายังไม่ทานอะไรทั้งวันเหมือนกัน แบบนี้คงหิวยิ่งกว่าฉันอีก

“เฮียมาคส์ทานอะไรดีคะ”

เมนูร้านนี้น่าทานทั้งนั้นจนฉันเลือกไม่ถูก

“ตามใจเราเลย”

รอบยิ้มแสนอบอุ่นประดับขึ้นบนใบหน้าหล่อคม

ฉันเปิดเมนูทีละหน้าน้ำลายก็สอไปด้วยเมื่ออ่านชื่อเมนูอาหารที่มีภาพหน้าตาอาหารน่ารับประทานประกอบคำบรรยาย

“เอาปลากระพงสามรส ต้มยำทะเลน้ำข้น หอยนิวซีแลนด์อบชีส ผัดมะม่วงหิมพานสามรส แล้วก็...”

“นี่หิวมาตั้งแต่วันก่อนไหม”

อีกคนที่นั่งฟังฉันร่ายเมนูอาหารรีบแซวขึ้นมาทันที

“ของโปรดใครล่ะคะ” ฉันแซวคืน

ที่สั่ง ๆ มาน่ะ มีแต่เมนูของโปรดของสุดที่รักฉันทั้งนั้น นี่ยังคิดเลยว่าจะไปลงคอร์สเรียนทำอาหารแล้วก็จะเน้นแค่เมนูที่ฉันไล่ไปเมื่อกี้เพื่อคนพิเศษคนนี้คนเดียว

ทว่าคิวงานฉันดันไม่เหลือเวลาว่างเลยนี่สิ

“ดีใจจังจำรายละเอียดทุกอย่างของฉันได้ด้วย”

“ถ้าไม่รักไม่จำหรอกค่ะ”

พูดไปก็เขินเอง

“งั้นเพิ่มเมนูนี้อีกอย่าง”

ฉันรอฟังเพื่อจดเมนูลงไปในกระดาษ

“เอาหอยนางรมทรงเครื่องชุดใหญ่ แล้วก็ไวน์ขาว”

“หือ?” ฉันทำหน้าสงสัยที่เขาเลือกเมนูสองอย่างนี้เพิ่ม

เหมือนอีกคนจะอ่านสีหน้าฉันออกเขาเลยโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนกระซิบให้ฉันหน้าแดงเล่น

“ต้องฟิตเพื่อรอรางวัลคืนนี้”

ไม่ต้องแปลอะไรมากความไปกว่านี้ ฉันรีบหลุบตามองมือตัวเองที่ค่อย ๆ จดสองเมนูล่าสุดลงไปด้วยตัวหนังสือไก่เขี่ย

ก็มันควบคุมมือที่สั่นไม่ได้ ฮือ ๆ

หลังจากรออาหารหลักมาเสิร์ฟ เฮียมาคัสก็เอาแต่ดื่มไวน์ขาวไปสองสามแก้วแล้ว

“ระวังเมานะคะ”

ฉันจิบบ้างเล็กน้อยเพราะเป็นพวกกระเพาะอ่อนแอ ถ้าทานของแสลงก่อนมีอะไรในท้องจะปวดแสบปวดร้อนจนถึงขั้นนอนโรงพยาบาลเลยก็มี

“เห็นฉันคออ่อนขนาดนั้นเลย”

คิ้วดกหนาเลิกขึ้นสำทับคำพูด ฉันได้แต่ส่ายหัวแล้วตอบ “ไม่ค่ะ”

นั่งดื่มดำบรรยากาศแสนโรแมนติกภายใต้แสงโคมไฟและหมู่ดาวที่เริ่มออกมาแข่งกันกะพริบระยิบระยับ

มีแอบเหล่ตามองคนตรงหน้าไปด้วยและเหมือนเราใจตรงกันเลยสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง เสียงพนักงานที่นำอาหารมาเสิร์ฟดังเรียกความสนใจของเราออกจากกัน

“สั่งมาตั้งเยอะแยะ กินเท่ามดดม”

เฮียมาคัสแซวเมื่อฉันหยิบน้ำส้มคั้นขึ้นมาดื่ม

“น้ำบอกแล้วว่าสั่งมาให้เฮียมาคส์ต่างหาก”

ฉันย่นจมูกใส่อีกคนที่เอาแต่จิบไวน์คู่กับหอยนางรมทรงเครื่องที่เขาสั่งเพิ่มมาอีกชุด

“แปลกนะคะ ร้านหรู บรรยากาศดี แต่คนกลับไม่ค่อยครึกครื้นเลย”

มองดูรอบ ๆ บริเวณร้านคนไม่ค่อยหนาตาเท่าที่คิดเลย

“ร้านนี้เขารับเฉพาะลูกค้าที่จองไว้ ให้คิวตามจำนวนโต๊ะที่ร้านมี”

ถึงว่า คนไม่พลุกพล่านให้รำคาญใจ

“อะ ไหนเฮียมาคส์บอกว่าเพิ่งขับผ่านไงคะ?”

อีกคนสบตาฉันครู่หนึ่งก่อนตอบ

“บางทีถ้าต้องจ่ายแพงแต่ได้โต๊ะมาก็คุ้มนะ”

ชิ! ใช้เงินเปย์อีกแล้วสิเนี่ย

“ขอแค่เราชอบ ฉันพร้อมเปย์ทุกอย่าง”

ใบหน้าฉันแดงระเรื่อขึ้นมาทันทีเมื่ออีกคนพูดจาหวานหู

ครืด~

โทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้สั่นเตือนขึ้นมา ฉันหยิบออกมาดูเป็นการตั้งเตือนวันสำคัญอีกหนึ่งวันที่จำไม่เคยลืม

“มีอะไรหรือเปล่า”

สีหน้าฉันคงแปลกไปอีกคนเลยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

“เปล่าค่ะ สงสัยจะง่วงแล้ว”

ฉันยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋าตามเดิม

เฮียมาคัสยื่นแก้วไวน์มาให้ฉัน

“แก้วสุดท้ายแล้วกลับกัน”

เป็นคุณแฟนที่น่ารักที่สุด ตามใจฉันทุกอย่างจนฉันแทบจะเป็นเด็กเอาแต่ใจไปแล้ว

“ค่ะ”

เสียงแก้วกระทบกันดังแกร๊งเบา ๆ ฉันและอีกคนวนแก้วสองสามรอบแล้วกระดกไวน์ชั้นดีลงคอ ก่อนจะเรียกพนักงานมาเก็บค่าอาหาร

ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า ๆ เฮียมาคัสพาฉันขับรถกินลมชมวิวออกมาทางเรียบนอกเมืองที่ไม่ค่อยมีรถพลุกพล่าน

“ไหนบอกจะพาน้ำไปนอนไงคะ”

แอบแซวอีกคนเบา ๆ ไม่ได้หงุดหงิดที่เขาพาออกนอกเส้นทางเลยสักนิด

“พามาเปลี่ยนบรรยากาศนิดหน่อย”

น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ดังขึ้น ฉันแอบผินหน้ามองออกนอกหน้าต่างรถเพื่อปิดบังใบหน้าที่แดงเถือก

“ท้องฟ้าสวยจังค่ะ”

นาน ๆ ที่ได้ขับรถเล่นตอนกลางดึกแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ

เมืองกรุงตอนกลางวันวุ่นวาย รถลามากมาย ผู้คนเดินขวักไขว่เบียดไหล่ชนกันจนไม่มีความงดงามให้มองเลย

ครืด~

เสียงประทุนรถถูกเปิดออกช้า ๆ ช่วยให้ฉันได้เห็นท้องฟ้าเต็มสองตามากกว่าเก่า วันนี้พระจันทร์เกือบเต็มดวง แถมดวงดาวยังขึ้นเต็มท้องฟ้าอีก ทำให้ชวนมอง

“ถ้ามีดาวตกคงดี”

นานแล้วที่ไม่ได้เห็นดาวตก นานจนจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นแบบไหน

“โตแล้วนะเรา ยังเชื่อเรื่องอธิษฐานต่อหน้าดาวตกอีกเหรอ”

มือหนาเอื้อมมาขยี้ผมฉันเล่นแกมมันเขี้ยว

“ไม่เชื่อแต่ห้ามลบหลู่นะคะ”

ฉันส่งยิ้มหวานให้อีกคนจนถูกเขาส่ายหัวมองว่าเป็นเด็ก

“อ้ะ! ตรงนั้นบรรยากาศดีจังเลยค่ะ”

ชี้ไปที่ข้างทาง เป็นเหมือนลานกว้างที่มีหย่อมดอกไม้ธรรมชาติขึ้นปะปราย แถมยังมีเหมือนม้าหินวางอยู่สองสามโต๊ะด้วย

“น่าจะเป็นลานสุขภาพของชาวบ้านแถวนี้”

นอกเมืองนี่ก็ดีเหมือนกันนะ รู้สึกน่าอยู่กว่าในเมืองเสียอีก

เฮียมาคัสรีบหักรถเลี้ยวเข้าไปสถานทีที่ฉันชี้ให้ดูทันที เขาจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ค่อนข้างสลัว ๆ เพราะไม่โดนแสงไฟจากเสาต้นเล็กที่อยู่ใจกลางลาน

“น้ำขอลงไปสูดอากาศหน่อยนะคะ”

พูดจบก็เปิดประตูรถกระโดดโลดเต้นวิ่งกางมือไปยังกลางลานหญ้าที่ว่า

ยืนมองท้องฟ้าและพระจันทร์ที่ส่องแสงนวลเงียบ ๆ

“เขาบอกว่าคนที่จากไปแล้วคือหมู่ดวงดาว น้ำเชื่อเรื่องนี้ไหม”

คนตัวสูงเกินมายืนซ้อนด้านหลังฉันพร้อมโอบกอดรอบเอวคอดกิ่วโยกฉันไปมาเบา ๆ

“เชื่อสิคะ เพราะคนที่น้ำรักก็อยู่บนนั้นถึงสามคน”

“สามคน?”

อา...นี่ฉันเผลอพูดอะไรออกไป

“แล้วเฮียมาคส์ล่ะคะ เชื่อเรื่องที่ถามไหม?”

คนถูกถามและเคยถามฉันกลับนิ่ง มือเขาโอบกอดฉันรัดแน่นขึ้นกว่าเดิมจนต้องร้องเรียกเขาเมื่อหายใจไม่สะดวก

“นะ...น้ำเจ็บค่ะ”

“ขอโทษที”

แรงรัดนั้นถูกผ่อนคลายลงพร้อมกับการถอนกอดออกอย่างช้า ๆ เปลี่ยน เป็นจูงมือฉันเดินไปนั่งที่ม้าหินแทน

“มานั่งนี่มา”

ฉันกำลังจะหย่อนก้นลงบนม้าหินที่ค่อนข้างชื้นหน่อย ๆ เพราะน้ำค้าง แต่อีกคนที่นั่งลงก่อนกลับคว้าฉันไปนั่งบนตักแกร่งเขาแทน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel