ใจสั่น 2/3
จะเป็นอะไรมากหรือเปล่านะ ยัยบื้อนั่น ยิ่งเซ่อๆ อยู่ด้วย อยู่ดีๆ ก็เป็นอะไรไม่รู้ หรือว่าจะเหนื่อยจากงานแต่งเมื่อวาน หรือว่าเมื่อคืนนี้เธอนอนไม่หลับ แต่ว่า...ไอ้ที่นอนไม่หลับนี่ผมมากกว่ามั้ง ผมก็เห็นเธอหลับสนิทดีนิ แถมหลับสบายอีกต่างหาก
“ถ้าเป็นห่วงเขานักก็กลับไปดูแลเขาสิ”
ผมเหลือบตาไปมองเจโม่เล็กน้อยก่อนจะหันมาหยิบหมอนที่โซฟาแล้วปาใส่มัน
ตอนนี้ผมอยู่คอนโดของผมเองแหละ ผมพาเจโม่มาพักที่นี่เพราะมันอยากมา เวลามันมาเมืองไทยทีไรมันก็ชอบมาอาศัยผมอยู่แบบนี้เป็นประจำแหละ
“ใครบอกว่ากูเป็นห่วง”
“ก็กูเห็นมึงนั่งทำหน้าซีเรียสขนาดนั้น” เจโม่ถือหมอนที่ผมปาใส่มันเดินมาวางไว้ที่เดิมก่อนที่มันจะนั่งลงตาม “เป็นห่วงเขาก็ยอมรับมาเถอะน๊า...ทำเก๊กไปได้” เจโม่ทำสีหน้าล้อเลียน
“กูบอกว่าไม่ก็ไม่ไง ถ้าขืนมึงยังพูดมากอยู่ละก็..กูจะไล่มึงไปนอนที่อื่นเดี๋ยวนี้เลย”
ผมยื่นคำขาดกับเจโม่ น่ารำคาญจริง ชอบพูดจาเหมือนรู้ทัน
“โอเครๆ กูไม่พูดล่ะ” เจโม่ยกมือขึ้นสองข้างอย่างยอมแพ้ “ว่าแต่..เจ้าสาวของมึงชื่ออะไรนะ”
“ต้นหลิว” เจโม่ทำสีหน้าคุ้นคิดบางอย่างจนผมแอบสงสัย “ทำไม..มึงสนใจเหรอ”
“เฮ้ย! นั้นเมียมึงนะ” เจโม่ทำหน้าแตกตื่นอย่างกับเห็นผี
“กูนึกว่ามึงจะชอบแบบเซ็กซี่ขยี้ใจซะอีก”
“ไอ้ชอบมันก็ชอบอยู่หรอก แต่ถ้าให้เลือกแม่ของลูกล่ะก็...”
“เลิกพูดเหอะ กูขนลุกว่ะ อย่ามาพูดเรื่องลูกเรื่องเมียแถวนี้”
พอเจโม่พูดเรื่องลูกเมียขึ้นมาก็ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของพ่อทันที พ่อย้ำนักย้ำหนาให้ผมรีบผลิตทายาทตัวน้อยให้ได้ ถ้าหากผมไม่ทำตามเดี๋ยวก็เอาเรื่องมรดกมาขู่อีกแหละ
ติ่ง!
ผมหันไปมองที่หน้าจอโทรศัพท์ก็เห็นข้อความส่งมาจากพ่อ นั่นไง..ยังไม่ทันขาดคำเลย คงจะอายุยืนอีกนาน พ่อทักมาบอกให้ผมไปหาที่บริษัท ผมคิดว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องงานแน่นอน ต้องมีเรื่องของต้นหลิวด้วยแน่ๆ
“เฮ้อออออ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเพดานแล้วถอนหายใจแรง
“นี่มึงซีเรียสขนาดนั้นเลย?”
“มึงจะมาเข้าใจอะไรกู”
พูดจบผมก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วตรงไปที่ห้องนอนเพื่อหยิบผ้าขนหนูก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำต่อ
กะว่าจะนอนค้างที่คอนโดสักหน่อย คงไม่ได้แล้วล่ะ
สองชั่วโมงต่อมา...
ไลน์ที่ถูกส่งไปหาผมคือไลน์ของพ่อ แต่พอมาถึงห้องทำงานของท่านประธานกลับเจอศรีภรรยาของท่านประธานแทน
“แม่ส่งไลน์หาผม?” ผมเหล่ตามองบนโต๊ะทำงานที่มีโทรศัพท์ของพ่อวางอยู่
“ใช่ แม่เป็นคนส่งเอง” สีหน้าแม่ตอนนี้เดาอารมณ์ยากจริงๆ ใบหน้าสวยแบบผู้ดีมีชาติตระกูลยืนกอดอกพิงโต๊ะทำงาน แม่จ้องตาผมไม่กะพริบ ถึงแม้อายุปีนี้จะปาเข้าเลขห้าแล้วก็ตาม แต่ยังคงความสวยสไตล์เรียบหรูดูแพงอยู่
“แม่มีเรื่องอะไรรึเปล่า” ผมเอ่ยถามพร้อมกับเดินไปนั่งลงที่โซฟาตัวสวยที่คุณศรีภรรยาของท่านประธานไปหิ้วมาจากอิตาลีด้วยตัวเอง
“นี่อะไร?” แม่วางผ้าขาวลงบนโต๊ะตรงหน้าผม ซึ่งมันดูคุ้นตายังไงชอบคนกล
“ก็ผ้าขาวไงครับ” ผมเงยหน้าตอบอย่างซื่อๆ
“ใช่” แม่ยื่นมือมาหยิบมันขึ้นไปถือ “มันคือผ้าขาวที่แม่บ้านปูรองเตียงในคืนเข้าหอของลูก”
“แล้วไงครับ?”
“ซึ่งมันไม่ควรขาวสะอาดแบบนี้” แม่ตวัดสายตาจ้องผม “ลูกไม่ได้เข้าหอกับต้นหลิว”
“โธ่ แม่ ทำไมจะไม่ได้เข้าล่ะ ผมก็อยู่ในห้องนั้นจนถึงเช้า คนที่เฝ้าหน้าประตูก็เป็นพยานได้นิ ผมไม่ได้หนีออกมาสักหน่อย”
“แม่หมายถึง..ลูกไม่ได้แตะต้องเจ้าสาว” สีหน้าของแม่ยังเรียบเฉยเหมือนเดิม แต่แววตากลับทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ แล้วล่ะ
“แม่รู้ได้ไง ผมกับต้นหลิวออกจะสนุกกับการเข้าหอจะตาย เฮอะๆๆ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมกับหลบสายตาแม่ไปด้วย
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง” แม่ชูผ้าขาวขึ้นเล็กน้อย “ผ้าผื่นนี้ต้องมีร่องรอยความบริสุทธิ์”
ผมรอบกลืนน้ำลายลงคอดังเอี้อก ไม่คิดว่าแม่จะมาไม้นี้ เล่นเอาผมไปไม่เป็นเลยทีเดียว
“ใช่ครับ” ผมตบมือดังเปี๊ยะพร้อมกับลุกขึ้นยืน “นี่แหละครับที่ผมจะบอกแม่อยู่พอดี” ผมเดินไปกระซิบที่ข้างหูแม่เหมือนกลัวใครจะได้ยินทั้งที่ในห้องนี้ก็มีแค่ผมกับแม่แค่สองคน
“บอกอะไร”
“คืองี้ครับ...ลูกสะใภ้ของแม่อ่ะ เขาไม่บริสุ...โอ๊ยยยยแม่เจ็บ...” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบ ใบหูด้านขวาก็โดนแม่บิดเต็มแรงน้ำตาแทบเล็ด
“แม่คิดไว้แล้วว่าลูกต้องแถแบบนี้ มันน่านักนะ เจ้าเลโอ...” แม่พูดไปกัดฟันไปอย่างหมั่นไส้แถมเพิ่มแรงบิดหูอีกต่างห่าง
“โอ๊ยๆๆๆ แม่พอแล้ว เจ็บ...” ผมจะร้องไห้จริงๆ แล้วนะ ถ้าแม่ยังไม่เลิกบิดหูผมอ่ะ
“นี่แม่ไม่สั่งไม่สอนลูกรึไงเลโอ ถึงได้ดูถูกผู้หญิงแบบนี้ ห๊ะ!” จังหวะสุดท้าย แม่สะบัดมือออกจากหูผมอย่างแรง ผมนี่น้ำตาแตกกั้นไม่อยู่แล้ว
เมื่อแม่ปล่อยเป็นอิสระ ร่างผมก็ทรุดลงกับโซฟาพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหูตัวเองปอยๆ เกือบขาดแล้วไหมเนี่ย หูผม
“ทำไมแม่ทำกับลูกชายสุดหล่อแบบนี้อ่ะ” ผมโวยกลับแล้วก็โดนแม่แยกเขี้ยวใส่กลับคืนมา
“ต้นหลิวเป็นคนดีและเธอก็บริสุทธิ์ด้วย” แม่ทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาข้างผมอย่างแรง ผมที่ยังไม่หายเจ็บหูรีบเด้งตัวขยับไปนั่งที่โซฟาอีกตัวด้วยความหวาดระแวง “ถ้าจะถามหาใครสักคนที่ไม่บริสุทธิ์...” แม่ตวัดสายตาจ้องผมเขม็ง “ก็น่าจะเป็นลูกของแม่มากกว่า”
“ทำไมแม่ใส่ร้ายลูกแบบนี้ล่ะครับ ผมนี่แหละ โคตร...บริสุทธิ์เลย”
สายตาของแม่แสดงออกถึงความเชื่อใจผมมากอ่ะ ประชดกันชัดๆ
“สาบานสิ” แม่ท้าทาย คิดว่าผมไม่กล้าล่ะสิ แม่ดูถูกผมเกินไปแล้ว
“โธ่ แม่คร๊าบบ” ผมรีบเด้งตัวมาจากโซฟาอีกตัวเพื่อเข้ามาสวมกอดแม่ผู้เป็นที่รัก “ผมเป็นผู้ชายอ่ะ แถมหล่ออีกต่างหาก ใครๆ ก็อยากได้อยากกินผมอ่ะครับ” ผมยังแสดงความหมั่นหน้าอย่างต่อเนื่อง
“เขาอยากกินลูกหรือเงินลูกกันแน่” พอเจอคำถามนี้เล่นทำผมจุก นั่งเอ๋อไปเลย
ใช่ว่าไม่รู้ ผู้หญิงที่เข้าหาผมส่วนใหญ่มักหวังผลจากผมทั้งนั้น แต่ผมก็ถือว่าแฟร์ๆ เพราะผมก็ได้บางสิ่งตอบแทนกลับมาเหมือนกัน ผมไม่ได้โง่งมงายถึงขนาดที่จะยอมให้ โดยที่ไม่ได้อะไรตอบแทนซะหน่อย ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจ ว่าผมหาความจริงใจจากเธอเหล่านั้นไม่ได้เลยก็เถอะ แต่พวกเธอเหล่านั้นก็หาความจริงใจจากผมไม่ได้เช่นกัน
ติ่ง!
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นข้อความของดีดี้ เธอนัดผมไปเจอที่ห้างฯ ของผมเอง เธอทักมาทวงข้อเสนอเมื่อวานที่ผมยกมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนเพื่อให้เธอออกไปจากงานแต่งแต่โดยดี ซึ่งข้อแลกเปลี่ยนนั้นก็คือ กระเป๋าคอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุดที่พึ่งมาถึงห้างฯ ของผมเมื่อเช้านี้เอง ดีดี้ส่งข้อความมาบอกว่าเธอรออยู่ที่ห้างฯ แล้วให้ผมรีบตามไป เธอคงกลัวว่าคอลเล็กชั่นที่เธอหมายตาไว้จะโดนคนอื่นเอาไปก่อน
“ใคร?” แม่เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นผมยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง
“เพื่อนครับ” ผมรีบลุกขึ้นยืนก่อนที่แม่จะถามอะไรไปมากกว่านี้
“แล้วจะไปไหน”
“ไปห้างฯ ครับ จะไปดูคอลเล็กชั่นกระเป๋าที่เข้ามาใหม่สักหน่อย” ผมตอบแม่อย่างเป็นงานเป็นการ
“ดีเลย” สายตาแม่ช่างไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย “เอามาให้หนูต้นหลิวสักคอลเล็กชั่นสิ เอาที่แพงที่สุดและดีที่สุดด้วย เข้าใจนะ” แม่ยิ้มทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแม่ผมจะยิ้มได้ร้ายกาจขนาดนี้ นี่ถ้าหากว่าต้นหลิวไม่ใช้ลูกสะใภ้ที่ท่านเลือกเองละก็...ผมไม่อยากจะคิดเลย ว่าเธอจะเจอกับความร้ายกาจของแม่มากแค่ไหน
ผมเคยคิดนะ ว่าผมได้ความร้ายกาจมาจากพ่อ แต่ตอนนี้คงไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วล่ะ