ตอนที่ 2
เวลาผ่านไป
หลังจากที่รุ่นพี่ปล่อย ฉันก็เดินออกมาพร้อมกับอิงค์และนับดาว
“พวกเธอจะไปไหนกันเหรอ” ฉันเอ่ยถามออกมา เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังเดินออกจากตึกคณะ แล้วไปทางที่จะออกไปหน้ามหาลัย
“พวกฉันจะไปกินข้าวกันที่ห้างน่ะ” นับดาวเป็นคนที่หันมาตอบคำถามของฉัน
“กินในโรงอาหารของคณะก็ได้หนิ” ฉันพูดบอกออกไปด้วยน้ำเสียงที่ปกติ
“โอ้ย! ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากจะไปเบียดกับใคร” นับดาวโวยออกมาเสียงดังจนฉันสะดุ้ง
“โทษที” เมื่อเธอเห็นว่าฉันตกใจเธอก็พูดเสียงอ่อนลงเล็กน้อย แต่สีหน้าและแววตาของเธอมันก็เต็มไปด้วยความหงุดหงิด ที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าเธอจะหงุดหงิดฉันด้วยเรื่องอะไร
“อย่าเรื่องมากเลยโฟกัส เธอตกลงแล้วว่าเธอจะไปเธอก็ต้องไป” อิงค์พูดออกมาบ้าง ฉันไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าที่น้ำเสียงของเธอมันเหมือนกับเป็นการบังคับฉัน
ด้วยความที่ฉันเป็นคนที่ไม่กล้าเถียง และไม่กล้าแย้งอะไรใคร ฉันจึงเดินตามพวกเธอไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งนั่งรถของอิงค์มาถึงที่ห้างที่พวกเธอเลือกที่จะทานข้าวที่นี่
ทั้งสองเดินนำหน้าฉันไป ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าร้านอาหารที่ดูหรูหรามากในสายตาของฉัน
หลังจากหาที่นั่งกันได้เรียบร้อย ทั้งสองคนก็เริ่มสั่งอาหารทันที ส่วนฉันเมื่อกางเมนูออกแล้วเห็นว่าอาหารแต่ละอย่างนั้นราคาค่อนข้างที่จะแพง ฉันก็ชะงักมือค้างเอาไว้ทันที ก่อนที่จะปิดเมนูเอาไว้ตามเดิม
“เธอไม่กินข้าวเหรอโฟกัส” อิงค์เงยหน้าขึ้นถาม ฉันจึงส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้มแหยๆ
พวกเธอเองก็ไม่ได้ถามอะไรฉันอีก จนกระทั่งพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ พวกเธอก็หยิบมือถือราคาแพงขึ้นมาถ่ายรูป ก่อนที่จะลงมือทาน
ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งมองพวกเธออยู่อย่างนั้น แม้แต่น้ำแก้วเดียวฉันก็ยังไม่ได้ดื่มเลยด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” นับดาวพูดขึ้นมา หลังจากที่เธอทานในส่วนของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เธอรีบกลับหรือเปล่า” อิงค์เอ่ยถามออกมาขณะที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ก็รีบอยู่” ฉันตอบกลับไป เธอเองก็พยักหน้ารับ ก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานมาเช็คบิล
“ฉันปวดท้องอ่ะ เดี๋ยวฉันกลับมานะ” เธอพูดพร้อมกับคว้ากระเป๋าของตัวเองลุกเดินออกไปจากร้าน โดยที่ฉันไม่ทันได้ทักท้วงอะไร
“ค่าอาหารทั้งหมดครับ” พนักงานเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับบิลค่าอาหาร
“ค่ะ ขอรอเพื่อนแป๊บนึงนะคะ” ฉันหันไปบอกกับพนักงาน ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินกลับไป
ฉันนั่งรออิงค์และนับดาวอยู่อย่างนั้นหลายสิบนาที แต่พวกเธอก็ไม่กลับเข้ามา
“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า ทานเสร็จหรือยังคะ” ผู้หญิงที่ดูจากการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นผู้จัดการร้านเดินเข้ามาหาฉันที่โต๊ะพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ แต่ฉันก็รู้ว่าเธอถามเพราะต้องการอะไร
“อ๋อเสร็จแล้วค่ะ นี่ค่ะค่าอาหาร” แล้วในที่สุดฉันก็เป็นคนที่จะต้องจ่ายค่าอาหารทั้งหมด
“ทั้งหมดสองพันบาทนะคะ” เธอคนนั้นพูดบอก เมื่อเห็นว่าฉันยื่นเงินให้กับเธอเพียงแค่หนึ่งพันบาท ฉันจึงจำต้องหยิบแบงค์พันออกมาให้เธออีกใบ ก่อนจะลุกเดินออกจากร้านมา
ความจริงฉันก็ไม่ได้รวยหรือมีเงินมากมายอะไรขนาดนั้น เงินที่ฉันจ่ายไปในวันนี้ก็ล้วนแล้วเป็นเงินที่ฉันจำเป็นต้องใช้จ่ายในค่ากินค่าอยู่ของเดือนนี้ทั้งนั้น
ฉันเดินออกจากร้านอาหารมาเงียบๆ ก่อนจะเดินลงบันไดเลื่อนแล้วไปรอรถที่ป้ายรถเมล์ ความรู้สึกของฉันคิดว่าทั้งอิงค์และนับดาวคงไม่ย้อนกลับมาหาฉันหรอก
แค่วันแรกที่เริ่มเข้าสู่มหาลัย ชีวิตของฉันมันก็เจอเรื่องแย่ๆ แล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันอีก
ฉันนั่งรอรถเมล์เป็นเวลานานหลายนาทีกว่าจะได้ขึ้นรถกลับบ้าน เพราะฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดด้วยแหละฉันถึงไม่รู้เส้นทางมากนัก บางทีรถเมล์ที่ผ่านบ้านฉัน มันอาจจะขับผ่านไปแล้วหลายคันเพียงแต่ฉันไม่รู้
ฉันเดินไปนั่งเบาะคู่ติดริมหน้าต่างที่ว่างอยู่ ก่อนจะถอดสายตามองออกไปที่ข้างทางขณะที่รถก็เริ่มขับเคลื่อนออกตัวอย่างรวดเร็ว
สักพักรถก็หยุดจอดอีกครั้ง ก่อนที่จะมีผู้คนเดินขึ้นมามากมายอย่างเบียดเสียด เพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงานแล้ว
สายตาของฉันหันไปเห็นคุณป้าคนหนึ่งที่ถือของเอาไว้ในมือมากมาย ขณะที่มืออีกข้างก็กำลังจับข้อมือเล็กของหลานสาวเอาไว้
“คุณป้าคะนั่งนี่ได้เลยค่ะ” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วบอกกับป้าคนนั้นด้วยรอยยิ้ม เธอเองก็พยักหน้ารับนิ่งๆ โดยที่ไม่พูดขอบคุณหรืออะไรฉันสักนิด แต่ไม่เป็นไร แค่ฉันได้ช่วยเหลือคนอื่นฉันก็พอใจแล้ว
ฉันจับราวด้านบนเพื่อทรงตัว ขณะที่ผู้คนก็เริ่มเบียดเสียดกันขึ้นมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก ฉันก็รู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างกำลังจับอยู่ที่บั้นท้ายของฉัน ก่อนที่จะลูบวนเบาๆ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ฉันรู้แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
ฉันหันกลับไปที่ป้าคนนั้นเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เธอก็ทำแค่มองแล้วเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากจะยุ่งในเรื่องนี้
ฉันกัดฟันแน่นเพื่อข่มความกลัวด้วยท่าทางที่สั่นเทา เมื่อมือหนาของบุคคลนั้นเริ่มลูบไล้ลงไปที่ต้นขาของฉันผ่านเนื้อผ้า
พรึบ!
“ทำเหี้ยอะไรวะ!!” เสียงผู้หญิงข้างๆ ตะโกนดังขึ้น พร้อมกับที่มือบางของเธอตะครุบมือหนาของคนที่กำลังลูบไล้ที่ต้นขาของฉันเอาไว้แน่น
ทุกคนภายในรถจึงหันมามองตรงจุดที่ฉันยืนอยู่เป็นตาเดียว ฉันเองก็หันกลับไปดูคนที่ทำแบบนั้นกับฉันเหมือนกัน
“ทำอะไร ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ผู้ชายที่อยู่ในวัยกลางคน พูดออกมาเสียงละล่ำละลักเมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขา ลุงคนนั้นพยายามที่จะชักมือของตัวเองกลับ แต่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างฉันก็จับบีบเอาไว้แน่น จนใบหน้าของลุงเหยเกเล็กน้อย
“ตอแหล! แก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้วนะลุง ยังจะมาทำตัวมักมากในกามอีกเหรอ ก็เห็นอยู่เนี่ยว่าลุงกำลังจับก้นผู้หญิงคนนี้ มือก็ค้างอยู่เนี่ย ยังจะแถอีกเนอะ!” เธอพูดออกมาเป็นชุด พร้อมกับสายตาที่จ้องชายตรงหน้าเขม็ง ส่วนฉันเองก็ได้แต่มองอย่างสั่นๆ โดยไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาเพราะยังตกใจไม่หาย
“อะไรของแกเนี่ยนังหนู ก็บอกว่าไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำไง!” ลุงคนนั้นทำท่าหงุดหงิดออกมา ก่อนจะสะบัดข้อมือของตัวเองออก แล้วเดินเบียดตัวฉันและเธอออกไป ก่อนที่ลุงเขาจะกดออดแล้วเดินลงจากรถอย่างหนีความผิดที่ตัวเองก่อ
“ป้าก็อีกคน! อยู่ใกล้กันขนาดนี้ควรที่จะช่วย! คนสมัยนี้มันเป็นอะไรกันหมดวะ” เธอหันไปพูดกับป้าที่ฉันสละที่นั่งให้เสียงดัง ก่อนที่เธอจะตวัดสายตามามองที่ฉันเป็นคนสุดท้าย
“แล้วเธอล่ะ ปากไม่มีพูดหรือไง ด่ามันไปสิใครทำอะไรก็ด่ามันไปเลยอย่าไปกลัว” เธอพูดบอกฉันด้วยน้ำเสียงที่เบาลงนิดหน่อย แต่มันก็ทำให้ฉันสะดุ้ง
“ขะ...ขอบคุณค่ะ” ฉันพูดออกไปอย่างตะกุกตะกักอย่างไม่กล้าโต้แย้งอะไรกับเธอ เมื่อเธอได้ยินแบบเธอก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อืม ทีหลังอ่ะหัดสู้คนอื่นซะบ้าง โลกนี้มันไม่เหมาะกับคนใสๆ อย่างเธอหรอก” เธอพูดบอกออกมาอีกครั้ง ฉันจึงพยักหน้ารับหงึกหงัก ขณะที่สายตาก็มองสำรวจเธอไปด้วย ดูจากการแต่งตัวเธอคงจะเรียนวิทยาลัยเทพช่างแน่ๆ บางทีอาจจะรุ่นเดียวกับฉันเลยด้วยซ้ำ
“เธอชื่ออะไรเหรอ” ฉันเงยหน้าขึ้นถามเธอ เพราะตัวของเธอค่อนข้างที่จะสูงกว่าฉันหลายเท่า
“เธอไม่ต้องอยากรู้จักคนอย่างฉันหรอก ฉันไปล่ะ หวังว่าถ้าเจอกันอีกเธอคงไม่ปล่อยให้ใครทำอะไรกับเธอแบบนี้อีกนะ” เธอพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะเดินลงจากรถไป
อย่างน้อยวันที่ฉันได้เจอกับเรื่องแย่ๆ แต่มันก็ยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับฉันอยู่บ้าง…ถึงจะน้อยนิดและเกือบจะไม่รอดแล้วก็ตาม
