ตอนที่ 5
“หึ...ระวังตัวไว้แล้วกัน ส่วนนี่เอาไปซักให้ด้วย!” ร่างสูงถอดเสื้อนักศึกษาสีขาวที่บัดนี้เต็มไปด้วยคราบน้ำปลา และมีเศษพริกติดอยู่ปาใส่หน้าฉันเต็มแรง จนทำให้กลิ่นพวกนั้นปะทะเข้ามาในโพรงจมูกฉันเต็มๆ
มือบางดึงเสื้อออกจากใบหน้าตัวเองด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด และนั่นก็ทำให้ฉันเห็นท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเขาได้อย่างชัดเจน หน้าอกหนั่นแน่น และลอนหน้าท้องหกลูกที่เรียงตัวสวยสามารถเรียกเสียงกรี๊ดเบาๆ จากเก้งกวางและชะนีที่มองมาได้เป็นอย่างดี
เว้นก็แต่ฉันคนหนึ่งล่ะนะที่ยังเก็บอาการได้อยู่ แม้ว่าตอนนี้หัวใจจะเต้นไม่เป็นส่ำแล้วก็ตาม
ดวงตาคมตวัดมามองขวางฉันวูบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหมุนตัวหันหลังแล้วเดินออกไปด้วยสภาพที่อันตรายต่อหัวใจ คู่กรณีของฉันเองก็รีบวิ่งตามหลังเพื่อนตัวเองไปติดๆ ทิ้งให้ฉันยืนเคว้งคว้างท่ามกลางสายตาของคนอื่นๆ
หูได้ยินเสียงซุบซิบนินทาดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ ทว่าฉันก็ไม่อาจจับใจความได้ว่าคนพวกนั้นพูดอะไรเกี่ยวกับฉันบ้าง แต่ที่รู้แน่ๆ คือมันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก
“เสื้อตัวนั้นเดี๋ยวพี่เอาไปซักให้เอง น้องไปทานข้าวเถอะ” ผู้ช่วยชีวิตฉันอาสาขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันรีบปฏิเสธทันควัน ยังไงปัญหานี้ฉันก็เป็นคนก่อมันขึ้นมาเอง ยังไงซะฉันก็ต้องรับผิดชอบ จะให้คนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือตลอดมันก็คงไม่ใช่
“ไม่ต้องคิดมากนะ” คนตัวสูงพยายามปลอบฉัน แต่ถ้าถามว่าช่วยได้ไหม? ก็คงจะต้องตอบว่าไม่ เพราะตอนนี้ฉันกลายเป็นขี้ปากของคนอื่นไปแล้วเรียบร้อย
“ค่ะ ขอตัวนะคะ” ฉันรีบเดินเร็วๆ ออกมาจากตรงนั้น เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากสายตาของคนอื่นที่มองมา
คือตอนนี้มันก็ถือว่าสายมากแล้ว ดังนั้นที่โรงอาหารก็เลยมีคนเข้ามาใช้บริการเรื่อยๆ และจำนวนคนก็มากพอที่จะทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อสักครู่นี้กลายเป็นหัวข้อสำคัญในการเม้าท์มอยหอยสังข์อะไรต่างๆ นาๆ
จากที่ฉันเดานะ ผู้ชายที่ชื่อสายหมอกคนนั้นต้องเป็นคนดังของที่นี่แน่ๆ แต่ที่ชัวร์เลยก็คือเขาเป็นรุ่นพี่ ก็ต้องมาลุ้นกันอีกทีว่าเขาอยู่ปีไหนและสาขาอะไร ฉันล่ะอยากจะไปบนจริงๆ ว่าไม่ขอเจอะเจอกับเขาอีก รวมถึงไอ้คนที่แซงคิวฉันด้วย
แต่ว่าตอนนี้ฉันควรพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน เพราะได้เวลาที่ฉันจะต้องเดินหาห้องเรียนแล้ว
มือบางล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาจากกระเป๋าเป้เพื่อเปิดตารางเรียนดู ซึ่งการหาห้องเรียนนั้นคงไม่ยากเท่าไหร่ แค่ขึ้นไปที่ตึกคณะแล้วใช้สายตากวาดมองหมายเลขที่แปะอยู่หน้าห้องก็เท่านั้น
ทว่าพอเดินขึ้นตึกมาแล้วเท้าของฉันก็จำต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นว่ามีทางเชื่อมของแต่ละตึกแยกออกไปหลายทิศทาง
ฉันคิดว่ามันน่าจะหาห้องยากแล้วล่ะ...
ไม่เป็นไร…จากที่ดูนาฬิกาบนข้อมือ มันก็ยังพอมีเวลาเหลืออยู่อีกประมาณยี่สิบนาที แต่ถ้าหาไม่เจอจริงๆ คงต้องถามทางคนแถวนี้เอา
ระหว่างทางที่เดิน สายตาของฉันก็หันไปเห็นถังขยะใบใหญ่ที่ตั้งวางอยู่ตรงมุมระเบียงพอดี ดวงตากลมโตหลุบมองเสื้อนักศึกษาชายที่ถืออยู่ในมือ ก่อนจะขยับเท้าเข้าไปใกล้ แล้วโยนเสื้อตัวนั้นลงไปในถังขยะอย่างไม่ไยดี
ฉันจำได้ขึ้นใจว่าเขาบอกให้ฉันเอาเสื้อกลับไปซัก แล้วไงล่ะ? ก็ในเมื่อฉันไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ โยนทิ้งลงถังขยะไปก็จบ เพราะฉันคงไม่ถือเสื้อที่มีแต่กลิ่นน้ำปลาเค็มๆ เดินรอบคณะหรอก และฉันก็จะไม่ซื้อเสื้อตัวใหม่ให้เขาด้วยบอกไว้ก่อนเลย
หลังจากทิ้งเสื้อเสร็จแล้ว ฉันก็เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นนักศึกษาคนอื่นๆ ทยอยเดินเข้าไปยังห้องๆ หนึ่งทีละคนสองคน พอเลื่อนสายตาไปมองหมายเลขห้อง ก็ปรากฏว่ามันคือห้องที่ฉันกำลังตามหาอยู่พอดี
เท้าเล็กขยับเดินเข้าไปในห้องนั้นอย่างไม่รอช้า ที่นั่งยังคงว่างอยู่หลายที่ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ดีสำหรับฉันมากเพราะจะได้มีสิทธิ์เลือกที่นั่งก่อนใคร
ที่นั่งที่ฉันเลือกก็คือตรงบริเวณกลางๆ ห้อง และติดกับหน้าต่าง เพราะเวลาเบื่อๆ จะได้นั่งมองวิวไปด้วยได้
ตารางเรียนของวันนี้ฉันลงไว้แค่สองวิชา ดังนั้นจึงเป็นอีกวันที่เลิกคลาสเร็ว แต่ว่าตอนเย็นพวกพี่ระเบียบคงจะเรียกปีหนึ่งอย่างพวกฉันเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องแน่ๆ
“เธอ เราขอนั่งด้วยคนนะ”
หลังจากที่ฉันหย่อนก้นนั่งลงได้ไม่นานก็มีผู้ชายตัวสูงสองคน รวมผู้หญิงอีกหนึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนข้างๆ แต่จะเรียกเขาสองคนว่าเป็นผู้ชายก็ไม่ถูก เพราะใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มแบบจัดเต็มนั้นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเธอใจเป็นหญิง
“นั่งเลยไม่มีใครจองไว้” ฉันหันไปมองพร้อมกับพยักหน้า และบอกให้พวกเธอนั่งลง
คนที่เอ่ยปากขอนั่งลงเก้าอี้ข้างๆ ฉัน ส่วนอีกสองคนที่เหลือเดินไปนั่งเก้าอี้ทางด้านหลัง
“เธอหน้าคุ้นๆ นะ” คนที่นั่งอยู่ข้างฉันโพล่งขึ้นมา พลางชะโงกหน้ามามองฉันด้วยความสงสัย
“ก็ผู้หญิงที่สาดพริกน้ำปลาใส่รุ่นพี่หน้าหล่อคนนั้นไง แกนี่สมองปลาทองจริงๆ นะชาติชาย แค่นี้ก็ลืม”
ฉันได้ยินเสียงผู้หญิงพูดแทรกขึ้นมา สงสัยว่าพวกเธอคงจะเห็นวีรกรรมนั้นของฉันเข้าแล้วล่ะ
“ว้ายเดี๋ยวตีปากแตก! หยุดเรียกฉันแบบนั้นนะนังตอมขี้ ฉันชื่อชลลี่จ้ะ สมองแกก็ปลาทองเหมือนกันนั่นแหละ” ‘ชาติชาย’ หรือก็คือ ‘ชลลี่’ หันขวับไปมองขวางคนที่พูดไม่เข้าหู มือของเธอก็ง้างขึ้นกลางอากาศราวกับพร้อมที่จะทำอย่างที่ปากว่าจริงๆ
“ฉันชื่ออะตอมย่ะ!”
“พอๆๆ นี่พวกแกจะตีกันยันตายเลยหรือไง...ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ ฉันชื่อฟิ้งค์นะ ฉันชอบตอนที่เธอสาดพริกน้ำปลาใส่พี่สุดหล่อคนนั้นมากๆ เลย ชะนีเกินเบอร์มากเวอร์” ‘ฟิ้งค์’ หรือก็คือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผู้หญิงที่ชื่อ ‘อะตอม’ รีบยกมือห้ามสงครามที่เพื่อนตัวเองก่อ ท้ายประโยคนั้นเขาก็หันมาพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น
ดูท่าทางแล้วพวกเธอทั้งสามคนคงจะเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว โชคดีจังเลยนะที่มาต่อมหา’ลัยเดียวกัน แถมยังเรียนคณะเดียวกันอีก
