ตอนที่ 1
วันเวลานั้นมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวฉันก็ก้าวเข้าสู่รั้วมหา’ลัยแบบเต็มตัวแล้วเรียบร้อย ไม่เสียแรงที่พยายามอย่างเต็มที่ในการอ่านหนังสือสอบ พอผลประกาศออกมาก็เป็นที่น่าภูมิใจเมื่อรู้ว่าตัวเองสอบติดมหา’ลัยและคณะที่ต้องการ
ซึ่งคณะที่ฉันเลือกเรียนนั้นก็คือคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาสถาปัตยกรรมภายใน หรือก็คือการออกแบบภายในอาคาร สำหรับมหา’ลัยฉันนั้นกว่าจะเรียนจบก็ต้องใช้เวลาถึงห้าปีกันเลยทีเดียว
ถ้าถามว่าตอนนี้ชีวิตของฉันมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ก็คงจะต้องบอกว่าพ่อกับแม่ฉันหย่ากันแล้วเรียบร้อย และแม่ก็หาพ่อใหม่ให้ฉันได้อย่างรวดเร็วทันใจซะจริงๆ หากถามความสมัครใจจากฉันก็บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าฉันไม่ต้องการพ่อใหม่เลยสักนิดเดียว
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรอยู่ถึงตกลงคบหากับผู้ชายคนนั้นทั้งๆ ที่เพิ่งจะรู้จักกันได้แค่ไม่กี่เดือน ฉันเคยเตือนแม่แล้วด้วยแต่ท่านก็ไม่ฟัง พูดตอกหน้าฉันกลับมาอยู่นั่นแหละว่าผู้ชายคนใหม่ของตัวเองดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ หนำซ้ำยังไม่วายเอาไปเปรียบเทียบกับพ่อฉันอีกด้วย
แม่ทำตัวเหมือนคนที่บ้านไม่มีโทรทัศน์ ถึงไม่รู้ว่าสมัยนี้คนเราแสดงละครเก่งจะตายไป เพียงแค่ทำดีด้วยนิดๆ หน่อยๆ ก็เชื่อไปซะหมด จนออกข่าวกันปาวๆ เรื่องที่ผู้หญิงถูกผู้ชายหลอก หนักสุดก็ถูกลวงไปฆ่าและปล้นทรัพย์
อย่าหาว่าฉันมองโลกในแง่ร้ายเลย แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ บางกรณีผู้ชายก็ถูกผู้หญิงหลอกอะไรแบบนี้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในเมื่อแม่ตัดสินใจแล้วฉันก็ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยให้แม่ทำอย่างที่ท่านสบายใจ
และที่สำคัญเลยก็คือ...วันนี้เราต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นกันแล้ว เพราะบ้านหลังนี้พ่อเป็นคนซื้อ เมื่อเมียใหม่ของพ่อจะย้ายเข้ามาอยู่ดังนั้นฉันกับแม่ก็เลยถูกเฉดหัวออกจากบ้าน ซึ่งที่ๆ เราจะย้ายไปอยู่ก็คือบ้านผู้ชายคนใหม่ของแม่
ทุกอย่างล้วนเป็นอะไรที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ก็บอกแล้วว่าชีวิตฉันบัดซบ
“หนูไม่ไปได้มั้ยแม่” หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน ฉันก็ปริปากพูดขึ้นมาในระหว่างที่กำลังช่วยแม่เก็บของ
“แกอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเมียใหม่พ่อแกก็มาไล่ตะเพิดให้” แม่หยุดชะงักมือที่กำลังเก็บของ แล้วหันมาพูดกับฉัน
อันที่จริงก็รู้สึกน้อยใจอยู่เหมือนกัน ที่พ่อไม่คิดจะแยแสฉันเลย ดีอยู่อย่างเดียวก็คือท่านบอกกับแม่ไว้ว่าหลังแยกทางกันไปท่านจะส่งเงินค่าเลี้ยงดูฉันให้แม่ทุกเดือน ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นจำนวนเงินกี่บาท
“ก็ไม่ได้จะอยู่ที่นี่ แต่จะไปอยู่บ้านเพื่อน” ถึงแม่จะเชื่อใจผู้ชายคนใหม่ของตัวเองมาก ทว่าฉันกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น
จะให้ฉันไปอยู่ร่วมชายคาเดียวกับคนที่ไม่รู้จักนิสัยใจคอกันได้ยังไง เกิดวันดีคืนดีผู้ชายคนนั้นมาทำไม่ดีกับฉันใครจะช่วยฉันได้
ดูยังไงก็อันตรายกว่าการแยกตัวไปอยู่คนเดียว
“ไม่ได้ แกต้องไปกับฉัน เพราะถ้าแกไปอยู่ที่อื่นฉันก็ไม่ได้เงินน่ะสิ”
อ๋อ...ที่แท้ก็ห่วงเงิน
“ก็ได้ แต่ถ้าผู้ชายคนใหม่ของแม่คิดทำอะไรไม่ดีกับหนู ขอบอกไว้เลยนะว่าจะไม่ไว้หน้าใคร” ฉันพูดดักเอาไว้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่มีทางหรอก เขาดีกว่าพ่อแกเยอะ” และแม่ก็พูดสวนกลับมาทันควัน
สุดท้ายก็วนมาที่พ่อของฉันจนได้สินะ
หลังจากบทสนทนานั้นสิ้นสุดลง ฉันกับแม่ก็ช่วยกันเก็บของและขนทุกอย่างที่เก็บมาขึ้นรถเก๋งของแม่
สิ่งของที่เอาไปนั้นหลักๆ ก็คือเสื้อผ้าและของส่วนตัว พวกเฟอร์นิเจอร์อะไรเหล่านั้นฉันกับแม่ไม่ได้เอาไปด้วยเพราะมันเป็นของพ่อ
ขนาดวันนี้เราขนของย้ายออกจากบ้านพ่อยังไม่มาดูดำดูดีเลยด้วยซ้ำ มัวแต่ไปช่วยเมียใหม่เก็บของอยู่ที่บ้านเธอนั่นแหละ
“บ้านเขาอยู่ไกลจากมอหนูมากมั้ยแม่ ปีหนึ่งมีกิจกรรมเยอะนะ หนูกลัวตัวเองลำบาก” ฉันเอ่ยถามขึ้นมาในระหว่างที่แม่กำลังขับเคลื่อนรถยนต์ออกไป นี่คงจะเป็นสมบัติชิ้นเดียวล่ะมั้งที่แม่ยังมีเหลืออยู่
ทำงานได้เงินมาก็เอาไปใช้จ่ายซื้อของฟุ่มเฟือย แล้วแบบนี้มันจะมีอะไรเหมือนอย่างใครเขาได้ยังไง
“ไม่ไกลหรอก ถ้าวันไหนเลิกดึกเดี๋ยวฉันมารับแกเองไม่ต้องห่วง” แม่ตอบโดยที่สายตาก็ยังคงมองทอดไปยังถนนเบื้องหน้า
ได้ยินแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย นึกว่าแม่จะไม่ดูดำดูดีฉันไปอีกคน ถือว่าก็ยังดีละนะที่แม่พาฉันไปอยู่ด้วยโดยไม่ทิ้งขว้าง
“ถ้าให้หนูอยู่หอแม่ก็ไม่ต้องลำบากแล้ว หอในราคาถูกๆ ก็มี” ฉันลองเสนอทางเลือกขึ้นมา เผื่อว่าแม่จะนำไปเปลี่ยนใจตัวเอง
“นี่ลลิส ฉันบอกไปแล้วไงว่าแกต้องอยู่กับฉัน”
แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล พอเห็นว่าเป็นดังนั้นฉันจึงไม่อยากพูดอะไรอีก ได้แต่ปิดปากเงียบไปตลอดทางจนกระทั่งถึงที่หมาย
แม่ถอยรถเข้าไปจอดในบ้านโดยมีผู้ชายวัยกลางคนยืนต้อนรับเราอยู่ ฉันกับแม่เปิดประตูก้าวลงจากรถ และขนสัมภาระต่างๆ มาวางไว้ที่พื้น
“คุณเอื้อคะ นี่ลูกสาวฉันชื่อลลิส...ส่วนนี่คุณเอื้อ แฟนแม่เอง” สรรพนามของแม่ที่ใช้เรียกแทนตัวเองนั้นแปรเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น
“สวัสดีค่ะคุณเอื้อ” ฉันจำใจต้องยกมือไหว้ผู้ชายตรงหน้า เพราะสายตาที่แม่มองมานั้นกำลังกดดันฉันอยู่กลายๆ
“เรียกพ่อก็ได้นะจ๊ะหนูลลิส ยังไงเราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงและแววตาของเขาที่มองมานั้นมันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกหวาดระแวงยังไงก็ไม่รู้
หรือบางทีฉันจะคิดมากไป?
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูขอเรียกลุงเอื้อน่าจะเหมาะกว่า” เท่าที่จำได้ฉันมีพ่อแค่คนเดียวเท่านั้น ก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะได้เป็นแทน นี่ถือว่าเปิดใจมากแล้วนะ ที่ยังอุตส่าห์ยอมเรียกเขาว่าลุงน่ะ ทั้งที่จริงก็ไม่ได้อยากจะนับญาติมากนักหรอก
“ถ้างั้นเราเข้าบ้านกันเถอะนะ มาเดี๋ยวลุงช่วยถือ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เองหนูถือได้ ลุงเอื้อไปช่วยแม่ดีกว่า” ฉันเบี่ยงตัวหลบเมื่อเขาทำท่าจะพุ่งเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธทันควันด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เท้าเล็กทั้งสองขยับเดินก้าวเข้าไปในบ้านเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยง
“ห้องที่ลลิสต้องอยู่เป็นห้องของลูกชายลุงมาก่อนนะ แต่ตอนนี้เขาย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว หนูโอเคใช่มั้ย” เขาหันมาถามฉันหลังจากที่ขนของเข้ามาวางในบ้านหมดแล้ว
