#บทที่ 5เรื่องราวทั้งหมด
ในภวังค์ฝันคำนึงนิจฝันเห็นเรื่องราวหญิงสาวชื่อ เซียวนั่ว ยุวปัญญาชนอายุ 19 ปี ฉายผ่านเข้ามาในหัวเธอฉากล้วฉากเล่า ยุวชนหญิงเซียวนั่วเดินทางมาที่กองพลการผลิตหมู่บ้านเหอ อำเภอเหอตงพร้อมกับสหายยุวปัญญาชนอีก 20 กว่าคน
เซียวนั่วมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี ค.ศ.1972 เธอเพิ่งอายุได้ 16 ปีจนตอนนี้ปี 1975 เหล่าสหายยุวปัญญาชนทุกคนยังคงเฝ้ารอความหวังจะได้กลับไปบ้านเกิดหาครอบครัวของตน
เซียวนั่วก็เช่นกันเธอเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่นโยบายบ้าๆส่งยุวชนไปเรียนรู้การชีวิตภาคเกษตรจะจบสิ้นลงเสียที ตอนนั้นเมื่อครอบครัวของเธอต้องเผชิญหน้ากับแกนนำยุวชนปลอกแดงมาเคาะประตูบ้านบังคับต้องส่งลูกไปร่วมเดินทางไปพัฒนาชนบทตามนโยบายท่านผู้นำ
บ้านเซียวไม่มีทางเลือกถ้าไม่ยอมคล้อยตาม อาจถูกเหล่ายุวชนปลอกแดงที่กำลังบ้าคลั่งก่อเหตุจลาจลไปทั่วลากออกไปวิจารณ์ในที่สาธารณะ เคราะห์ร้ายอาจถูกรุมทุบตีจนตายบนถนนเหมือนอาจารย์หลายคนที่ถูกยุวชนปลอกแดงพวกนี้ชี้นิ้วประณามว่าทำผิด
ไม่มีใครกล้าเข้าช่วยเหลือและไม่สามารถแจ้งความเอาผิดยุวชนปลอกแดงพวกนี้เพราะมีกฎหมายคุ้มครอง
เซียวนั่วจึงต้องเป็นตัวแทนของครอบครัวเข้าร่วมขบวนออกเดินทางสู่ชนบทเพราะน้องชายฝาแฝดของเธอตอนนั้นอายุแค่ 10 ขวบเท่านั้น ยังดีที่ตอนนั้นเซียวนั่วสอบเทอมสุดท้ายชั้นมัธยมปลายเสร็จพอดี
อยู่ที่กองพลการผลิตหมู่บ้านเหอเซียวนั่วลงทำนาแปลงรวมเธอก็ทำงานได้แต้มน้อยอย่างพวกถอนหญ้า หักข้าวโพดฯ แค่นี้มือของเธอก็แตกแล้วแตกอีก ถ้าต้องไปทำงานขุดดินไถนาเซียวนั่วคงเหนื่อยจนขาดใจตาย
ครอบครัวเธอเป็นคนในเมืองหลวงไหนเลยจะเคยทำงานใช้แรงงานเหล่านี้ พ่อของเธอเป็นช่างในโรงงานอุตสาหกรรมของรัฐ แม่ของเธอเป็นเสมียนโรงงานฝ้ายแห่งชาติความเป็นอยู่ของครอบครัวเธอจึงถือว่าไม่เลวแต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย
สาเหตุที่ยุวชนหญิงด้วยกันไม่ชอบหน้าเซียวนั่วก็เป็นเพราะเรื่องนี้ เธอทำงานหนักไม่ได้แต่พอทำงานเบาคะแนนงานน้อยแต่กลับมียุวชนชายหลายคนมักยินดีช่วยงานเธออยู่เสมอ เพราะเซียวนั่วมีหน้าตาสวยจิ้มลิ้มพริ้มเพราทั้งยังพูดจาอ่อนโยนค่อนไปทางหัวอ่อนด้วยซ้ำ
ถ้ามีคนมาขอความช่วยเหลือหยิบยืมเงินมักไม่กล้าปฏิเสธไม่เย่อหยิ่งถือตัวว่าตัวเองมาจากเซี่ยงไฮ้แม้แต่น้อย มักแบ่งปันข้าวของที่ครอบครัวส่งมาให้ตอบแทนน้ำใจคนเข้ามาช่วยงานตนเองอยู่เสมอ ยุวชนชายจึงมักหาโอกาสเข้าไปช่วยเซียวนั่วทำงานได้พูดคุยกับคนงามเล็กๆน้อยๆก็สามารถเอาไปคุยโอ่ได้แล้ว พวกยุวชนหญิงคนอื่นๆจึงมักเอาเธอไปพูดว่าร้ายลับหลัง กล่าวหาว่าเซียวนั่วใช้ใบหน้าจิ้งจอกหลอกล่อผู้ชายหน้าโง่ทำงาน คอยจับกลุ่มคอยกระแหนะกระแหนเธออยู่ตลอด
จนกระทั่งมาเกิดเหตุการณ์ที่เธอลงไปช่วยเด็กจมน้ำให้รอดแต่ตัวเองกลับเป็นตะคริวจนเกือบจมน้ำเสียเอง โชคดีที่มีทหารนายหนึ่งผ่านมาบริเวณแม่น้ำเห็นเหตุการณ์ลงไปช่วยเธอไว้ทัน บังเอิญว่าเด็กคนนั้นคือหลานชายบ้านหยางและเป็นน้องชายคนสุดท้องของทหารคนนั้น
เรื่องนี้มีหลายคนเห็นเหตุการณ์ว่าเซียวนั่วจมน้ำและถูกผู้ชายคนหนึ่งช่วยเอาไว้ ในกลุ่มคนนั้นก็มีกลุ่มยุวชนหญิงอยู่ด้วย พวกเธอยืนอยู่ไกลมองไม่เห็นหน้าผู้ชายว่าเป็นใครแต่ได้ยินชาวบ้านเรียกชื่อผู้ชายคนนั้น แต่กลับเอาไปพูดปล่อยข่าวว่าเซียวนั่วทำตัวไร้ยางอาย แนบเนื้อสนิทสนมกับลูกชายคนโตของบ้านหยางในที่สาธารณะ ทำให้พวกเธอที่เป็นยุวชนหญิงกลุ่มเดียวกันพลอยเสื่อมเสียชื่อเสียงตามไปด้วย
เจตนาของพวกเธอก็คือต้องการบีบบังคับให้เซียวนั่วต้องแต่งงานกับคนชนบทขาเปื้อนโคลนไม่มีอนาคต ไม่มีหน้าได้กลับเซียงไฮ้ไปตลอดชีวิต
นายทหารแซ่หยางได้ยินข่าวลือแพร่ไปใหญ่โตจึงมาพบเซียวนั่ว เพื่อขอรับผิดชอบกอบกู้ชื่อเสียงเธอด้วยการขอแต่งงานและยินดีมอบเงินสินสอดสมฐานะเธอ
ท้ายที่สุดเซียวนั่วจำยอมตกลงแต่งงานตามคำแนะนำเชิงบังคับของหัวหน้าหมู่บ้านกับเลขาธิการกองพลการผลิต เธอทำได้เพียงส่งโทรเลขด่วนไปแจ้งครอบครัวบอกถึงความจำเป็นที่ต้องแต่งงาน พ่อแม่เซียวส่งพัสดุด่วนมาถึงลูกสาวข้างในเป็นข้าวของและเงินธนาณัติให้ลูกสาวใช้เป็นสินเดิมเจ้าสาว
กลุ่มยุวชนหญิงที่รอเยาะเย้ยซ้ำเติมเซียวนั่วที่ต้องแต่งงานกับคนชนบทกลับต้องตาค้างเมื่อเห็นหน้าเจ้าบ่าวของเธอชัดๆ นายสิบทหารบกหน้าตาหล่อเหลาราวกับคนในเมืองไหนจะเงินสินสอดที่เขามอบให้เซียวนั่วมากถึง 1,000 หยวน
ในปี 1975 หลายครอบครัวต้องใช้เวลาเก็บอยู่หลายปี การแต่งงานไม่ใช่บทสรุปของชีวิตสำหรับเซียวนั่วมันแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
นายสิบหยางลาพักร้อนมาเยี่ยมบ้านได้แค่เดือนเดียว เขาใช้วันลาหยุดตลอดทั้งปีของตนเพื่อกลับมาเยี่ยมแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอดหลังจากพ่อเสียสละชีวิตในสนามรบเมื่อหลายปีก่อน ไม่คิดว่าลาหยุดกลับบ้านครั้งนี้เขาจะได้แต่งภรรยา นายสิบหยางคิดว่าเป็นโชคชะตาของตนที่สามารถแต่งยุวชนหญิงหน้าตาสะสวยมารยาทเรียบร้อยคนนี้ได้
หลังจัดงานแต่งงานอย่างรีบร้อนวันลาพักของนายสิบหยางก็หมดลง นายสิบหยางจำใจเอ่ยคำลากับภรรยาหมาดๆของตนเดินทางกลับไปรายงานกับกองทัพ นายสิบหยางบอกว่ากลับไปคราวนี้ตนจะได้กลับบ้านอีกทีก็ปีหน้า เนื่องจากตนเองได้ใช้วันลาหยุดทั้งหมดไปแล้วจึงฝากแม่และน้องๆไว้กับภรรยาด้วย
พอสามีเดินทางกลับไปกองทัพเซียวนั่วถึงได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของคนบ้านหยาง หยางหมงพ่อสามีของเธอเสียสละชีพในสนามรบเมื่อหลายปีก่อนเป็นลูกชายคนโตของผู้เฒ่าหยางหมิงกับแม่เฒ่าเย่ฉิน
บ้านหยางอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่พ่อสามียังมีพี่น้องอีก 3 คนเป็นน้องชาย 2 คน น้องสาว 1 คน นายสิบหยางสามีของเธอมีพี่น้องอีกสามคน มีน้องสาวสองคนอายุ 16 กับ14 ตามลำดับและน้องชายคนเล็กอายุ 8 ขวบ
ตอนแรกพ่อสามีได้สืบทอดบ้านหลักตามธรรมเนียมลูกชายคนโตเลี้ยงดูพ่อแม่ บ้านใหญ่นี้เป็นบ้านที่สร้างขึ้นใหม่จากเงินเดือนทหารหลายสิบปีของพ่อสามี ส่วนน้องชายคนอื่นปลูกบ้านใช้ลานบ้านร่วมกันหุงหาอาหารกินด้วยกัน
แต่หลังจากพ่อสามีเสียชีวิตแม่สามีก็ตรอมใจล้มป่วยลง เงินชดเชยจากกองทัพปู่กับย่ายึดเอาไว้เอง ยังบังคับให้หลานชายคนโตไปสมัครเป็นทหารส่งเงินมาเลี้ยงดูปู่ย่าและครอบครัว อาผู้ชายทั้งสองต่างรับปากหลานชายคนโตว่าจะช่วยดูแลแม่และน้องๆอย่างดี
นายสิบหยางมีหน้าที่ทำงานส่งเงินเดือนกลับบ้านมากตัญญูปู่ย่าก็พอ เงินที่เหลือก็ไม่ได้เอาไปไหนจะเก็บเข้าเป็นกองกลาง เวลาหลานชายจะแต่งงานก็จะเอาเงินส่วนนี้มอบให้เป็นเงินสินสอด และจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งให้พี่สะใภ้หลินได้ใช้จ่ายส่วนตัว
ตอนนายสิบหยางสามีเธอยังพักอยู่ที่บ้านคนบ้านหยางทุกคนก็ยังมีสีหน้าดีๆให้เธอและน้องๆสามี พอสามีของเธอกลับไปทำงานได้ไม่ถึงเดือนบนโต๊ะอาหารเริ่มมีแต่แป้งย่างแข็งเหนียวกับน้ำแกงผักป่า แล้วอาสะใภ้ก็เริ่มบีบน้ำตาว่าเงินซื้ออาหารของบ้านหยางไม่มีแล้ว สาเหตุมาจากสามีของเธอมาบังคับเอาเงินเก็บครอบครัวไปเป็นเงินสินสอดสู่ขอเธอ
เงินจะซื้อยาบำรุงให้สองผู้เฒ่าและแม่สามีของเธอก็ไม่มี
ตอนนี้กลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วขอให้เธอเอาเงินออกมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านได้ไหม เซียวนั่วต้องนำเงินสินสอดของตัวเองออกมามอบให้เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด
หลังจากนั้นแม่สามีของเซียวนั่วก็อาการป่วยกำเริบหนักพอถามถึงเงินซื้อยาบำรุง อาผู้ชายและอาสะใภ้กลับบอกว่าในบ้านมีปากท้องกินมากขึ้นไม่มีเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แม่สามีป่วยหนักจนไม่สามารถลงแปลงนารับแต้มทำงานได้อาสะใภ้ก็อ้างว่าในบ้านมีคนทำงานได้น้อยอาหารไม่เพียงพอแบ่งทุกคน
พอถามถึงเงินเดือนของสามีก็บอกว่าไม่ได้ส่งมาหลายเดือนแล้ว ซึ่งคำนึงนิจเห็นว่าจากภาพในความฝันว่านายสิบหยางส่งธนาณัติกลับบ้านทุกเดือน แต่อาทั้งสองซ่อนไว้แล้วแอบไปเบิกทีหลังเพราะแอบเก็บสำเนาใบมอบอำนาจเบิกเงินแทนมีลายนิ้วมือของพี่สะใภ้ใหญ่เอาไว้
เซียวนั่วใช้เงินส่วนตัวของตนไปซื้อยาบำรุงให้แม่สามี ถ้าซื้อธัญพืชดีๆมาน้องสามีไม่ทันจะได้กินจะถูกอาสะใภ้มาแย่งเอาไปบอกว่าต้องให้ปู่ย่าได้กินก่อน ต่อมาเซียวนั่วพบว่าตัวเองตั้งท้องและเธอมีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง จนไม่สามารถทำงานตากแดดลงแปลงนาได้ ต้องใช้เงินเก็บที่มีออกมาซื้อยาแก้แพ้และยาบำรุงครรภ์ทุกเดือน
แรงงานในบ้านเธอเหลือแค่น้องสาวน้องชายสามีเท่านั้นที่ยังลงทำงานเก็บคะแนนได้ จุดพลิกผันสำคัญอาผู้ชายและอาสะใภ้ทั้งสอง ขอให้พวกเธอทั้งครอบครัวย้ายออกจากบ้านหลักไปอยู่บ้านบนลานเก่าที่ไม่มีใครอยู่แล้วซึ่งอยู่ด้านข้างที่ดินปัจจุบันมีเนื้อที่หนึ่งหมู่ เพื่อแยกคนป่วยออกจากคนปกติ ถ้ายังคงอยู่รวมกันต่อไปอาจทำให้ปู่ย่าอาการทรุดหนักกว่าเดิมจะกลายเป็นทั้งบ้านมีแต่คนป่วย
แต่ยังคงให้หุงหากินรวมกันเหมือนเดิมการลงทำงานแปลงนาของน้องๆสามีก็คงนับรวมกับบ้านหยางตามปกติ ที่บอกว่าหุงหากินรวมกันเพราะอาทั้งสองไม่ต้องการแบ่งส่วนธัญพืชและอาหารที่เป็นส่วนแบ่งจากแต้มงานของน้องสามี
ยิ่งเซียวนั่วท้องโตใกล้คลอดก็ยิ่งมีอาการอ่อนแรงหน้ามืดบ่อยครั้ง หลังๆเธอไปเข้าครัวช่วยทำอาหารไม่ไหวอาหารส่วนของครอบครัวเธอก็ค่อยน้อยลงๆ น้องสามีต้องลงแปลงนาทุกวันเธอจึงให้พวกเขากินมากกว่าเพื่อจะได้มีแรงทำงาน
เงินเก็บของเธอเหลือน้อยแล้วข่าวคราวของสามีก็เงียบหายส่งจดหมายไปก็ไม่ตอบกลับ ความจริงนายสิบหยางตอบจดหมายทุกฉบับพร้อมทั้งส่งเงินมามากกว่าปกติไว้ให้ภรรยาคลอดลูก แต่ทั้งจดหมายและเงินธนาณัติกลับไม่เคยถึงมือของเซียวนั่ว
จนกระทั่งเธอคลอดลูกฝาแฝดออกมาตอนต้นเดือนสิงหาคมเพราะระหว่างตั้งครรภ์เธอมีอาการแพ้มากเกินไป พอคลอดลูกก็มีอาการตกเลือดมากผิดปกติร่างกายจึงมีอาการแทรกซ้อนมีไข้และอ่อนเพลียจากการเสียเลือดมาก แม่สามีที่มีโรคประจำตัวคือวัณโรคไม่กล้าเข้ามาดูแล้วลูกสะใภ้กับหลานเพราะกลัวจะแพร่โรคให้คนป่วย
มีเพียงน้องสามีหยางหง หยางเหม่ยผลัดกันเข้าดูแลอาการพี่สะใภ้ใหญ่ เพราะมีไข้จึงต้องกินยาเซียวนั่วเลยไม่สามารถให้นมแก่ลูกฝาแฝดได้ เด็กทารกคลอดใหม่ต้องได้ดื่มนมทุก 2 ชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารเพียงพอแต่เด็กฝาแฝดได้กินนมแม่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น
เซียวนั่วผู้เป็นแม่ร่างกายเสียเลือดไร้เรี่ยวแรงเป็นไข้สูงเพ้อไม่ได้สติ ลูกฝาแฝดของเธอที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงเดือนต้องดื่มน้ำข้าวแทนนมแม่ร่างกายค่อยๆอ่อนแรงลง สองฝาแฝดไขว่คว้าจับแขนผู้เป็นแม่ที่นอนนิ่งอยู่ด้านข้าง
ดวงตาสองคู่ปิดลงหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามการหายใจเข้าออกขยับน้อยลงๆจนกระทั่งหยุดนิ่งในที่สุด เด็กทารกทั้งสองเสียชีวิตจากร่างกายไม่ได้ดื่มนมแม่สารอาหารที่สำคัญสำหรับทารก
ลูกฝาแฝดของเซียวนั่วนอนเสียชีวิตอยู่ข้างๆผู้เป็นแม่ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นด้วยอาการเสียเลือดมากเกินไป
"เฮือกก..."
"พี่สะใภ้!ฟื้นแล้วเหรอคะ พี่ล้มหัวไปฟาดพื้นห้องจนปูดเลยค่ะ ยังดีที่หัวไม่แตก" หยางหงร้องขึ้นมาอย่างดีใจ
"ดีใจจังที่สะใภ้ไม่เป็นไรแล้ว พี่เป็นลมหมดสติตั้งนานเสี่ยวจินเสี่ยวเป่าก็ร้องไห้เสียงดังไม่หยุดเลยค่ะ
แน่ะ พอเห็นหม่าม้าฟื้นล้วก็หยุดร้องทันทีเป็นเด็กรู้ความกันจริงๆนะคะ"
หยางเหม่ยที่นั่งอยู่ข้างๆพูดขึ้นยิ้มแย้มดีใจ
"เจ้าแฝดร้องเสียงดังไม่ซึมเป็นแมวป่วยเหมือนหลายวันก่อนแล้ว แสดงว่าหายป่วยแล้วแน่ ดีจังเลยนะพี่หยางหงเดี๋ยวต้องไปบอกแม่แล้ว"
คำนึงนิจได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าเหมือนเห็นผีหันไปมองเด็กทารกฝาแฝดที่นอนบนเตียงเตาอย่างหวาดหวั่น
'หะ ร้องไห้เสียงดังหายป่วยอะไรนะก็ในฝันเมื่อกี้เธอจำได้ว่า เด็กฝาแฝดขาดสารอาหารจนตายตามคนแม่ไปแล้ว ใช่! สามแม่ลูกนอนเสียชีวิตอย่างเงียบๆตั้งแต่เมื่อคืน'
ทารกฝาแฝดวัยยังไม่ครบเดือนเงยหน้ามองคำนึงนิจ ดวงตาสองคู่วาววับเป็นประกายเจิดจ้าปากเล็กอ้าร้องออกมาพร้อมเพรียง
"แอ๊ะ!"
"เอ๊อะ!" แม่จ๋า หนูนิดโดนผีหลอก!