บทที่ 1 ไลลา...สุดปรารถนา
ไลลา สุขเปรมปรีดิ์ เดินวนไปมาอยู่หน้าบ้านสองชั้นสีขาวเฉดฟ้าที่ตั้งอยู่ชานเมืองจังหวัดนครปฐม
วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบหกปี อทินนัดหล่อนไว้ว่าจะมารับไปดินเนอร์ด้วยกัน โดยย้ำนักหนาว่าให้หล่อนแต่งตัวสวยๆ แล้วรอเขามารับตอนหกโมงเย็น
แต่ตอนนี้เลยเวลานัดมากว่าสี่สิบนาทีแล้ว เขาก็ยังมาไม่ถึงบ้าน พอโทร.ไปหาปรากฏว่าเขาปิดมือถือ ไลลาจึงติดต่อเขาไม่ได้ หล่อนกังวลไปสารพัด กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเขา
“พ่อทินยังไม่มาหรือ”
เสียงจากด้านหลังทำให้คนที่เพิ่งกลับมานั่งเกาะราวระเบียงพลางมองไปทางหน้าบ้านต้องเบือนใบหน้าไปหา แล้วตอบเสียงอ่อย ดวงหน้าที่แต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีตอย่างที่น้อยครั้งจะเห็นนั้นส่อแววกังวลอยู่ไม่น้อย
“ยังค่ะป้า หลิวติดต่อพี่ทินไม่ได้ด้วย มือถือเขาปิดเครื่อง ไม่รู้ว่าแบตหมดหรือเปล่า อีกใจหลิวก็กลัวว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับเขา”
“พี่ทินไม่เป็นไรหรอก พี่หลิวอย่าเพิ่งคิดไปในทางร้าย เจนว่าพี่ทินลืมนัดมากกว่า ป่านนี้นั่งดูหนังกับสาวในโรงหนังอยู่มั้ง เขาเลยต้องปิดมือถือ พี่หลิวรออีกสักสองชั่วโมง หนังก็จบพอดี แล้วค่อยโทร.หาอีกทีก็ได้”
เจนนิสาที่เดินตามมาจากข้างในบ้านให้ความเห็นด้วยสีหน้าจริงจัง จนคนเป็นป้าต้องปรามเสียงเข้ม
“พูดเป็นคุ้งเป็นแควเชียวนะยายเจน วันนี้วันเกิดยายหลิว พ่อทินนัดพี่ของเราไว้ แถมยังมาขออนุญาตป้าเองด้วย ถ้าเขาลืมก็ให้มันรู้ไป”
เมื่อพูดจบคุณรวีก็ตวัดสายตาไปทางอื่น โดยที่หลานสาวทั้งสองคนไม่รู้เลยว่านางกำลังคิดอะไร
ไลลานั่งรอต่ออย่างเงียบๆ โดยมีป้าและน้องสาวอยู่เป็นเพื่อน จนหลายนาทีผ่านไป ทุกอย่างก็ยังคงเดิม ไม่มีวี่แววว่าคนที่หล่อนรอคอยจะมาหา
“ป้าให้เรารอถึงสองทุ่ม ถ้าพ่อทินมารับดึกกว่านี้ ป้าก็ไม่ให้ไปแล้ว”
“แค่สองทุ่มเอง ยังหัวค่ำอยู่เลยนะคะป้า แล้ววันนี้พี่หลิวก็อายุครบยี่สิบหกปี โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ออกจากบ้านดึกกว่านี้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ใครๆ ก็ทำกัน”
เจนนิสสาค้านเพราะความสงสารพี่สาวเป็นสำคัญ ไม่อยากให้ผิดหวังในวันสำคัญของตัวเอง
“ถ้าถึงเวลาสองทุ่ม นั่นหมายถึงเขาผิดนัดสองชั่วโมง ป้าไม่มีวันให้พี่สาวเราหรือเราคนใดคนหนึ่งต้องรอใครนานขนาดนั้น”
เมื่อฟังจากน้ำเสียงของคุณรวี หญิงสาวทั้งคู่ที่อยู่ด้วยกันมาตลอดช่วงชีวิตของพวกเธอก็รับรู้ได้ทันทีว่าหญิงวัยกลางคนยืนยันที่จะให้เป็นไปตามนั้น และไม่ยอมให้ใครมาค้านได้ง่ายๆ ด้วย
ครบสัปดาห์พอดีที่ไลลารอการติดต่อกลับมาจากอทิน ถึงวันนี้เขายังคงเงียบหายอยู่เหมือนเดิม แต่หล่อนก็ได้รู้บางสิ่งบ้างแล้ว...แม้ยากจะทำใจให้รับได้ก็ตาม
‘ผู้จัดการลาออกแล้วค่ะ เห็นว่าได้งานใหม่ที่สิงคโปร์ เขาทำเรื่องลาออกล่วงหน้าไว้ตั้งแต่เดือนก่อน’
นั่นคือคำตอบจากลูกน้องของอทินที่ไลลาพอคุ้นหน้า หลังจากที่หล่อนบุกไปหาเขาถึงสำนักงานย่านสีลม
กระนั้นไลลาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าอทินได้เตรียมการล่วงหน้าก่อนเป็นเดือนแล้ว หล่อนไม่รู้ว่าเขามีเหตุผลอะไรที่ไม่บอกหล่อน ทั้งที่ช่วงนั้นยังไปมาหาสู่กัน อีกทั้งในวันเกิดของหล่อน เขาก็ยังเป็นฝ่ายนัดไปกินข้าวด้วยกันอีก
หญิงสาวออกจากตึกสำนักงาน แล้วเรียกรถแท็กซี่ทันทีเมื่อตัดสินใจได้
“ไปคอนโดช่วงซอยลาดพร้าว 14 ค่ะ”
แล้วรถรับจ้างคันสีเขียวเหลืองคันแรกที่จอดเทียบก็ตอบรับหล่อนโดยไม่ทำให้ผิดหวัง
ไลลาเข้าไปนั่งในรถ ในหัวก็นึกไปสารพัด หล่อนกำลังคาดเดาว่าสิ่งที่รู้มาจากลูกน้องของอทินนั้นเป็นความจริงสักแค่ไหน
หล่อนยังสองจิตสองใจ ยังไม่อยากเชื่อฝ่ายนั้นเต็มร้อย
อทินอาจยังอยู่ในกรุงเทพฯ และอาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเขา ทำให้เขาไม่สามารถติดต่อใครได้เลยสักคน แม้กระทั่งหล่อนเอง
หญิงสาวล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าสะพาย ช่องทางการสื่อสารทางออนไลน์ที่เขามักใช้คุยกับหล่อนยามค่ำคืนนั้นเงียบไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้วเช่นกัน ข้อความสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ทำให้ไลลาขบริมฝีปากไว้แน่นอย่างข่มกลั้นอารมณ์
“พี่รักและปรารถนาดีกับหลิว นางฟ้าของพี่”
การสนทนาจบลงที่สติกเกอร์รูปแมวน้อยโปรยหัวใจจากหล่อน
แม้รู้สึกว่าข้อความของเขาแปลกกว่าทุกวัน แต่นาทีนั้นไลลาก็เต็มตื้นกับคำหวานจนไม่นึกเป็นอื่น
เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา รถแท็กซี่ก็แล่นผ่านป้อมยามของคอนโดมิเนียมสูงห้าสิบสองชั้นริมถนนสายหลักย่านที่อยู่อาศัยแล้วมาจอดเทียบหน้าล็อบบี หลังจากจ่ายค่าโดยสาร ไลลาก็เปิดประตูรถก้าวลงมา แล้วเดินเข้าไปด้านใน
โชคดีที่ตอนออกจากบ้าน ไลลาฉวยคีย์การ์ดและกุญแจคอนโดมิเนียมมาด้วย กุญแจชุดนี้อทินเคยฝากไว้กับหล่อน ด้วยเหตุผลว่าเขาอยู่กรุงเทพฯ เพียงตัวคนเดียว จึงอยากให้หล่อนถือกุญแจสำรองห้องของเขาไว้อีกชุด
ไลลาได้แต่เก็บมันไว้ที่บ้าน หล่อนไม่เคยนำมาใช้งานเอง เพราะเกรงจะเป็นการละลาบละล้วงและล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเขา
เมื่ออทินให้หล่อนเก็บไว้ ไลลาก็ตั้งใจเพียงเก็บสำรองไว้เผื่อเขาเรียกใช้เท่านั้น
หญิงสาวผ่านเข้าไปข้างในคอนโดมิเนียมนั้นไม่ยาก ด้วยใบเบิกทางที่อทินให้ไว้ เมื่อลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นที่ต้องการ หล่อนจึงเดินออกมา แล้วก้าวไปตามทางเดินที่เงียบสงบ
อาคารที่พักใหญ่โตหรูหรา ดูคล้ายว่าไม่มีคนอาศัย มีเพียงความสะอาดเรียบร้อย แถมด้วยระบบต่างๆ ที่บ่งบอกถึงการดูแลรักษาอย่างดีเท่านั้นที่เป็นสัญญาณให้รู้ว่าที่แห่งนี้ยังไม่ร้างจากผู้คน
หญิงสาวมาหยุดหน้าห้อง 523 ตามเลขที่ระบุไว้บนคีย์การ์ดสำหรับเปิดประตูห้องพัก เมื่อแตะสัมผัสก็เห็นว่าสัญญาณตอบรับปรากฏขึ้น หญิงสาวแย้มเรียวปากยิ้มพลางยกมือขึ้นผลักประตูห้องให้เปิดเข้าไปอย่างช้าๆ
หัวใจของไลลาเต้นรัว ดวงไฟในห้องพักสว่างโร่ แสงเงาที่ไหววูบข้างในทำให้หญิงสาวมั่นใจว่าเขายังอยู่ในนี้
หญิงสาวสืบเท้าเข้าไป ลืมสิ้นที่คิดว่าควรส่งสัญญาณให้อทินรู้ตัว...ความดีใจกำลังปรี่ล้นหัวใจของเธอ
อทินยังอยู่ในห้อง เขาไม่ได้หายไปไหน
“พี่ทิน”
ความตื่นเต้นและยินดีทำให้ไลลาหลุดเสียงสั่นเครือโดยไม่อาจระงับไว้ได้ หากระดับเสียงที่ดังเพียงกระซิบนั้นก็ทำให้เจ้าของเงาไหววูบที่อยู่ตรงซอกมุมกำบังสายตาเดินออกมา
พอได้เห็นชัดตา ไลลาถึงกับยืนตัวแข็งเกร็ง หัวใจกระตุกวูบเมื่อสบกับดวงตาคมดุและสีหน้าเกรี้ยวกราดนั้นเข้า
“คุณ! คุณไม่ใช่พี่ทิน...คุณมาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง แล้วพี่ทินไป...”
ไลลาถามอย่างตกใจระคนงุนงงด้วยไม่ทันตั้งรับกับเหตุการณ์ที่พลิกกลับขนาดนี้ พลันต้องสะดุ้งสุดตัว หัวใจแทบร่วงอยู่กับพื้น เมื่อเสียงที่สวนมานั้นดังลั่นห้องโดยที่หล่อนยังพูดไม่ทันจบประโยค
“เธอเป็นใคร! เข้ามาในห้องนี้ทำไม”
ดวงหน้าผุดผ่องกลายเป็นสีขาวซีด หากแค่ไม่กี่วินาทีถัดมาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอย่างน่าอัศจรรย์ จนเจ้าของเสียงตะคอกนั้นต้องนิ่วหน้า เขาไม่ตั้งใจจะทำให้หล่อนตกใจถึงขนาดนี้
“ขะ...ขอโทษค่ะ ฉันคิดว่าเข้าห้องผิด”
หญิงสาวบอกเสียงตะกุกตะกักเมื่อตั้งสติได้ หล่อนหมุนกายออกจากห้องทันที ทิ้งให้คนข้างหลังยืนมองตามด้วยความสงสัย
คุ้นหน้าชะมัด เคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะ