บทที่ 2
เธอหันไปมองสัมภาระ ที่กองอยู่บนพื้นข้างผนังห้องที่คล้ายจะประกาศถึงความสามารถ ของผู้ที่เป็นเจ้าของอยู่ คนแปลกหน้าคนนี้เป็นคนแรกที่ขอสมัครงานกับเธอ ถึงแม้ชาร์ลีอยากจะจ้างเด็กหนุ่มในท้องถิ่น มาทำงานกับเธอมากกว่า แต่ทว่าสถานการณ์ดูจะไม่อำนวยให้ มันแทบจะไม่เหลือทางเลือกไว้ให้เธอเลย
แต่สามัญสำนึก เตือนให้เธอสอบถามไปถึงประสบการณ์ที่เขาเคยผ่านมา
“คุณเคยทำงานที่ไหนมาบ้างล่ะ”
“ผมเคยอยู่ในไร่ปศุสัตว์ของ คอร์ด แฮริส ในเท็กซัส ไร่ของคินเซด ในโอกลาโฮม่า แต่ส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ในไร่ทริพเพิล ซี. ในมอนตาน่าเสีลละมากกว่า”
“แต่ว่าไร่ของเรานี่มันเป็นไร่เล็กๆนะ แค่ทำกันสองคนก็เสร็จแล้ว มันเทียบกับไร่ปศุสัตว์ที่คุณเคยอยู่มาไม่ได้หรอก” ชาร์ลีกล่าว แต่ก็ออกจะประทับใจในประสบการณ์ของเขาอยู่ “และส่วนใหญ่มันก็เป็นงานประเภทที่จะต้องลงแรงทำกันทั้งนั้นเลย” ที่เธอจำเป็นจะต้องพูดเช่นนี้ก็เพราะมีโคบาลบางคน รังเกียจการที่จะทำงานประเภทที่มิได้นั่งอยู่บนหลังม้า
เขาก้มมองมือสากๆของตนเอง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเธอยิ้มๆ
“ผมเคยทำงานประเภทที่ต้องใช้แรงงานมาแล้ว และก็สามารถทำได้ดีด้วย...”
“เราคงมีค่าจ้างให้คุณไม่มากนักหรอก” ชาร์ลีกล่าวอย่างเป็นเชิงเตือน “ถ้าคุณทำ คุณก็จะได้แค่เงินเดือน แต่เรามีอาหารกับที่พักให้” เธอบอกจำนวนเงินค่าจ้างให้เขารับรู้ไว้ ซึ่งเป็นจำนวนที่เธอกับแกรี่เห็นพ้องต้องกันว่าเหมาะสมแล้วสำหรับไร่เล็กๆของเขา
“ก็รู้สึกยุติธรรมดีนี่” เขาไหวไหล่เบาๆอย่างยอมรับ คลายมือออกจากถ้วยกาแฟทาบลงกับเคาน์เตอร์ ก่อนที่จะผลักตัวเองออกมาจากม้ากลมตัวที่นั่งอยู่ เหวี่ยงขาลงมาจากม้ากลมตัวนั้นราวกับกำลังลงจากหลังม้า จากนั้นก็ล้วงลงไปในกระเป๋า หยิบเศษเหรียญออกมาวางบนเคาน์เตอร์เป็นค่ากาแฟ แล้วจึงเดินไปหาชาร์ลี พร้อมกับยื่นมือให้สัมผัส “ผมชื่อแชด รัสเซลล์ ครับ”
“ค่ะ คุณรัสเซลล์” เธอรับทราบการแนะนำตัวนั้นขณะที่วางมือเล็กๆลงในอุ้งมือใหญ่โตของเขา และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชาร์ลีรู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันคล้ายจะมีสัญญาณอะไรบางอย่างที่เตือนเธออยู่ว่า ให้ระวังผู้ชายคนนี้ไว้ให้จงดี
เรือนร่างของเขาค่อนข้างสูง ประมาณ 6 ฟุตเห็นจะได้ ชาร์ลีเลื่อนตัวลงจากม้ากลมและเปรียบเทียบส่วนสูงของเขากับตัวเธออยู่ในใจ ท่าทางเขาดูปราดเปรียวว่องไว แต่กระนั้นก็ยังอำพรางอยู่ด้วยอาการเฉยเมยและสบายๆ เขาเป็นบุรุษ ผู้ปรารถนาต่อการแสวงหาความตื่นเต้นให้กับตนเอง เป็นคนที่มีชีวิตจิตใจ มีประสบการณ์เกี่ยวกับผู้หญิงและการผจญภัยมาแล้วอย่างโชกโชน ในขณะที่ชาร์ลีกำลังอ่านความรู้สึกนึกคิดของเขาผู้นั้น แชดก็ยิ้มออกมา
“คุณเรียกผมว่าแชดดีกว่า ผมไม่ชอบอะไรที่มันเป็นพิธีการ” เขากล่าว
“ก็ได้...แชด” รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนเรียวปาก ชาร์ลีรู้สึกพอใจกับเสน่ห์ของชายผู้นี้อยู่ไม่น้อย “เอาละ ถ้างั้นเราก็ควรจะกลับไร่ได้แล้ว” เธอหันไปทางแฟรงค์ ดอยเยิล ซึ่งยืนจับตามองการเจรจา ระหว่างบุคคลทั้งสองอยู่เงียบๆ “ขอบใจมากนะแฟรงค์ที่เลี้ยงกาแฟ แล้วพบกันใหม่นะ”
“อย่าหายหน้าหายตาไปให้มันมากนัก ก็แล้วกัน” แฟรงค์ตอบ และเสริมต่อขณะที่ชาร์ลีพยักหน้ารับ เตรียมจะเดินออกจากร้านว่า “ฝากความปรารถนาดีไปให้แกรี่ด้วยนะ ชาร์ลี”
“ตกลง” เธอตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะไม่สังเกตว่า แชด รัสเซลล์ สามารถจะเหวี่ยงอานม้าที่ค่อนข้างหนักขึ้นบนไหล่ด้วยมือเพียงข้างเดียวอย่างง่ายดาย ส่วนมือข้างที่ว่างนั้นก็เอมไปหยิบถุงเครื่องหลังขึ้นไว้
“รถฉันจอดอยู่ข้างนอกนั่นแน่ะ” เธอบอกเขา “คุณจะขับตามฉันไปหรือว่าคุณไม่มีรถมา” ที่ต้องถามเช่นนี้เพราะชาร์ลีมองไม่เห็นว่า ยังมีรถคันอื่นนอกจากของเธอจอดอยู่ในบริเวณนั้นอีก
“ผมไม่มีรถหรอก ผมขออาศัยเกาะรถมาโดยตลอด” เขาตอบ และหยุดรอให้เธอก้าวนำออกจากประตูร้านไป
เมื่อเธอออกมาถึงข้างนอก ชาร์ลีชี้มือไปทางกระบะรถบรรทุก
“คุณเอาสัมภาระวางไว้ข้างหลังนั่นเถอะ” พูดจบเธอก็เดินไปทางด้านคนขับ ขณะที่เขาโยนข้าวของลงไว้ในกระบะตามที่เธอแนะนำ เมื่อเขาเดินกลับมานั่งเคียงข้างเธอแล้ว ชาร์ลีก็สตาร์ทรถ
เมื่อเลี้ยวรถขึ้นสู่ทางหลวงเรียบร้อยแล้ว ชาร์ลีจึงได้หันมามองเขา ซึ่งขณะนี้ได้ดึงปีกหมวกให้หลุบต่ำลง บดบังเสี้ยวหน้าและหน้าผากไว้
“ทำไมคุณต้องออกจากงานที่คุณทำอยู่ด้วยล่ะ”
เขาพาดแขนอยู่กับพนัก ไม่ไกลจากช่วงไหล่ของเธอเลย
“อาจเป็นเพราะผมเกิดความเบื่อที่จะทำงานบนพื้นที่ราบ ก็เลยคิดว่าน่าจะได้ออกมาหางานทำตามพื้นที่ที่มันมีภูเขาให้เห็นบ้าง เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศไงล่ะ” คำตอบนั้นฟังดูคล้ายๆกับจะเป็นคำพูดที่ไม่จริงจังอะไรนัก แต่ชาร์ลีเชื่อว่ามันจะต้องมีเหตุผลแท้จริงแฝงอยู่ เพราะนักเดินทางผู้แสวงโชคนั้นมักจะสัญจรร่อนเร่ไปเรื่อยๆ
“แล้วตอนแรกคุณคิดจะไปที่ไหนล่ะ”
“ตั้งใจว่าจะไปบิทเทอร์รูท” เขาตอบเรียบๆ และแล้วก็ตั้งคำถามขึ้นใหม่ว่า “สามีคุณประสบอุบัติเหตุเพราะอะไรล่ะ”
เธอตวัดสายตา มองหน้าเขาอย่างตกใจในตอนแรก แต่แล้วรอยยิ้มอย่างนึกขันก็ปรากฏขึ้นแทนที่ ก่อนที่จะหันกลับไปให้ความสนใจกับเส้นทางตรงหน้า
“แกรี่เขาเป็นพี่ชาย ไม่ใช่สามีฉันหรอก ที่เขาต้องมาบาดเจ็บถึงขนาดนี้ ก็เพราะเจ้าม้าตัวที่เขาขี่อยู่น่ะมันเกิดเหยียบพลาดจนลงไปในโคลน แล้วมันก็เลยล้มลงทับตัวเขาไว้ ก่อนที่แกรี่จะสลัดตัวลงจากหลังมันได้ทัน ผลก็คือกระดูกต้นขาหัก ต้องเข้าเฝือกถึงตะโพกเลย...แล้วก็ยังจะต้องอยู่ในสภาพอย่างนั้นไปอีก 6 อาทิตย์ด้วย”
“ก็แย่หน่อยละสินะ”
มันเป็นคำพูดที่แฝงความหมาย อย่างเป็นที่เข้าใจกันอยู่ซึ่งทำให้เธอต้องเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“แต่เวลานี้ เขาก็ปรับตัวให้เข้ากับสภาพที่เป็นอยู่ได้อย่างดีแล้วละ” เธอมิได้เล่าว่าพี่ชายคนเดียวของเธอเดินงุ่นง่านอยู่ในบ้านเหมือนหมีที่ถูกจับขังไว้ในกรง ดูจะไม่พอใจไปเสียในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรให้ก็ดูจะไม่ถูกใจเขาไปเสียทั้งนั้น อารมณ์ร้อนราวกับวัยรุ่นแทนที่จะเป็นผู้ชายอายุตั้ง 30 เข้าไปแล้ว
“แล้วคุณอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
เธอเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง และพบว่าแชดกำลังพิจารณาเธออยู่ด้วยสายตาคมปลาบที่บอกถึงความสนใจใคร่รู้อย่างแท้จริง ซึ่งทำให้ชาร์ลีต้องพยายามระงับใจไว้ มิให้มันเต้นระทึกจนเกินไป
“26 คุณถามทำไม” เธอพยายามบังคับน้ำเสียงให้ราบเรียบ เมื่อย้อนกลับไป
“หย่าจากสามีแล้วงั้นเรอะ”
ชาร์ลีอยากจะบอกเขาว่า คำถามอย่างนี้มันเป็นการล่วงเกินเข้ามาในเรื่องส่วนตัวของเธอมากเกินไป แต่เมื่อทบทวนแล้วก็เห็นว่าเขาคงไม่มีเจตนาถึงขนาดนั้น อีกประการหนึ่งการที่ได้พูดจากันอย่างตรงไปตรงมานั้น มันเป็นเครื่องช่วยในการสร้างเสริมมิตรภาพ และรักษามิตรภาพนั้นไว้จนกว่าฤดูร้อนปีนี้จะสิ้นสุดลง...ถ้าแชด รัสเซลล์จะอยู่กับเธอไปได้นานถึงขนาดนั้น
“ฉันยังไม่ได้แต่งงานหรอก” เธอตอบไปตามความจริง ด้วยน้ำเสียงที่มิได้บอกความยินดียินร้ายเลยแม้แต่น้อย
“แล้วก็ยังไม่มีคู่หมั้นด้วยหรือนี่” จากปลายหางตาเขาลอบสังเกตความเนียนละไมของผิวพรรณ และเรือนร่างที่บอกความเป็นสาวสะพรั่งของเธออยู่
“ไม่มีหรอก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
“อือม์...สำหรับผู้หญิงสาวที่อายุ 26 นี่ ถ้ายังรักษาความเป็นโสดไว้ได้ มันก็น่าจะหมายความว่า เธอผู้นั้นต้องเคยพบกับความรักแล้วก็ต้องอกหักมาแล้ว” แชดตั้งข้อสังเกต “โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆอย่างคุณ”
คำพูดประโยคสุดท้ายนั้นคล้ายกับเขามีเจตนาที่จะให้บังเกิดผลกระทบแก่จิตใจของเธอ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้น จริงๆ เพียงแต่ชาร์ลีไม่ยอมให้ตัวเองแสดงความรู้สึกออกมาเท่านั้น นอกจากเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ
“ขอโทษนะ บังเอิญ 26 ปีของฉันไม่เคยมีเรื่องตื่นเต้นอะไรพรรค์นั้นผ่านเข้ามาแผ้วพานเสียด้วยสิ”
“อ้าว...แล้วทำไมคุณถึงสามารถดำรงความเป็นโสดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ล่ะ” ดูเหมือนเขาจะสนใจใคร่รู้อย่างแท้จริง ชาร์ลีรู้สึกได้จากน้ำเสียงถามของเขา
“ไม่เห็นจะต้องทำอะไรเลย มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากนี่” เธอตวัดสายตามองหน้าเขาแวบหนึ่ง “ในเมืองเล็กๆอย่างนี้ ถ้าคุณไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่เคยเป็นเพื่อนนักศึกษามาด้วยกัน หรือพยายามแสวงหาผู้ชายสักคนให้ได้โดยหาทางพบปะกันในวิทยาลัยแล้ว ก็รู้สึกว่าออกจะหาผู้ชายยากอยู่สักหน่อย เพราะพวกผู้ชายที่นี่ถ้าไม่ได้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ก็มักจะเหลือแต่พวกที่แก่เกินไปหรือไม่ก็หนุ่มเกินไป หรือไม่ก็ประเภทคุณนั่นแหละ”
“ประเภทผมงั้นรึ หมายความว่ายังไงน่ะ” คำตอบของเธอทำให้เขาต้องเลิกคิ้วถาม มองเธอด้วยสายตาคมปลาบคู่เดิม ที่บ่งบอกทั้งความสงสัยและความขบขันในเวลาเดียวกัน
“ใช่... ก็คุณเป็นคนประเภทที่ชอบเดินทางร่อนเร่ไปเรื่อยๆไงล่ะ ค่ำไหนนอนนั่นแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่เคยอยู่ที่ไหนได้นาน” เธอรู้จักและตระหนักถึงคุณสมบัติในข้อนี้คั้งแต่แรกที่ได้เห็นเขาแล้ว และชาร์ลีก็รู้ด้วยว่าผู้ชายที่เป็นตัวของตัวเอง มีอิสระเช่นม้าป่านั่น มักจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับผู้หญิงมาอย่างโชกโชน และแม้แต่ตัวเธอเองก็คงมิได้เป็นข้อยกเว้นสำหรับเขา แต่อย่างน้อย เธอก็พอจะอ่านสัญญาณอันตรายนั้นออก